พื้นที่เสี่ยงต่อสึนามิ

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 21 July 2009 เวลา 0:16 ในหมวดหมู่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี #
อ่าน: 7222

พื้นที่ชายฝั่ง มีความเสี่ยงต่อสำนามิทั้งนั้นครับ แต่สึนามิไม่ไช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาเฉยๆ แต่เกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่ง มุดลงใต้อีกแผ่นหนึ่ง (subduction zone) นานๆ ไปก็เกิดความเค้นขึ้นมหาศาล จนเมื่อความเค้นเพิ่มขึ้นจนถึงจุดวิกฤต แผ่นเปลือกโลกตรงรอยต่อทนไม่ไหว ก็ดีดตัวขึ้นมา ดันเอาน้ำที่อยู่เหนือแผ่นดินตรงนั้นเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว เป็นคลื่นที่มีมวลน้ำมหาศาล เคลื่อนที่ไปจนไม่มีอะไรหยุดยั้งการทำลายล้างชายฝั่งได้

นอกจากนี้ สึนามิยังเกิดขึ้นได้จาก ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด แผ่นดินชายฝั่งถล่ม หรืออุกาบาตขนาดใหญ่ตกลงในมหาสมุทร ซึ่งทั้งหมดก่อให้เกิดคลื่นที่มีมวลหลายล้านตัน กระจายออกไปจากจุดศูนย์กลาง

ในกรณีของ subduction zone นั้น หากที่ใดเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้น ก็อาจเรียกได้ว่ามีการปลดปล่อยความเค้นออกแล้ว โอกาสที่จะเกิดสึนามิขึ้นบริเวณนั้น จะน้อยลงไปมากเนื่องจากแผ่นเปลือกโลก จะต้องอาศัยเวลาอีกนานกว่าจะมีความเค้นในระดับที่มีอันตราย

ทั่วทั้งโลก มีพื้นที่อยู่สองจุดที่ยังมีความเสี่ยงสูง คือเมืองปาดัง ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ในอินโดนีเซีย บน Sunda Subduction Zone (ซุนดา) และรอยแยกนอกชายฝั่งรัฐบริติชโคลัมเบียของคานาดา มาจนมลรัฐวอชิงตัน-โอเรกอน-คาลิฟอเนียเหนือของสหรัฐ ที่เรียกว่า Cascadia Subduction Zone (คาสเคเดีย)

เมื่อคราวที่เกิดสึนามิขึ้นตามชายฝั่งอันดามันเมื่อปลายปี 2547 แผ่นเปลือกโลกสองอันคือแผ่น Indo-Australia Plate มุดลงใต้แผ่น Sunda หรือแผ่น Eurasian ที่เป็นทวีปเอเซีย ในครั้งนั้น เกิดแผ่นดินไหวเป็นแนวยาวประมาณ 1200 กม. จากหัวเกาะสุมาตรา (ที่เมืองบันดาอาเจะห์) ไปจนหมู่เกาะนิโคบา ของอินเดีย (อยู่ตรงกับระนอง) แผ่นดินไหวใหญ่ในปี 2548 เกิดขึ้นเป็นแนว 400-500 กม หน้าเมือง Nias (นีแอส) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบันดาอาเจะห์ เหลือแนวรอยแยกประมาณ 100 กม หน้าเมืองปาดัง ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศทางตอนใต้ของเกาะสุมาตราพอดี “ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหว”​ (ซึ่งไม่เคยทายถูก) เชื่อว่าหากเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ อาจจะมีความแรง M8.5-8.9 ซึ่งมีโอกาสเกิดสึนามิ ประกอบกับรอยแยกอยู่ไม่ไกลจากเมือง แถมเมืองเป็นพื้นที่ราบ มีประชากรแปดแสนคน จึงมีความเสี่ยงสูงมาก ที่จะเจอคลื่นสูง 5.5 เมตร พัดเข้าไปในฝั่งถึงสองกิโลเมตร และจะทำลายไปครึ่งเมือง [แผนที่]

รอยแยกอีกอันหนึ่งคือรอยแยกคาสเคเดีย มีความเสี่ยงที่น่าหวาดเสียวมาก คือเป็นส่วนต่อมาจากรอยแยกซานแอนเดีรยสอันมีชื่อเสียงของคาลิฟอเนีย คาสเคเดีย ไม่มีแผ่นดินไหวใหญ่มา 300 ปีแล้ว คาดกันว่าพื้นที่ตรงนั้นมีความเค้นมหาศาล และ “รอบปกติ” ควรจะเป็นเพียง 200 ปีเท่านั้น

เช้าวันพรุ่งนี้จะมีสุริยุปราคาไม่เต็มดวง ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นกลัวสึนามิครับ เพราะการเกิดสุริยุปราคาไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดสึนามิ


เกิดอะไรขึ้นในท้องวัว

อ่าน: 9428

ฝรั่งว่าวัวตด/เรอ ปล่อยมีเทน ทำให้โลกร้อน ผมไม่อยากเถียงแทนวัวหรอกนะครับ เพราะไม่รู้ว่ายังไงกันแน่… แต่มีคำถามในใจ

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่สาม ให้ข้อมูลไว้ว่า

วัวควายที่กินหญ้าเพียงอย่างเดียวเป็นอาหาร  สามารถดำรงชีพและให้ผลิตผลได้  ทั้งนี้เพราะวัวควาย  มีกระเพาะแบบพิเศษผิดไปจากหมู หมา เป็ด ไก่ ซึ่งเป็นสัตว์กระเพาะเดี่ยว (simple stomach) วัวควายเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีกระเพาะแบ่งเป็นหลายช่อง  เรียกว่า  กระเพาะรวม (compound  stomach) กระเพาะรวมนี้แบ่งได้เป็น ๔ ช่อง คือ ช่องแรก เรียกว่า กระเพาะรูเมน (rumen) หรือ กระเพาะขอบกระด้ง หรือ ผ้าขี้ริ้ว เป็นช่องที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นกระเพาะที่ทำให้วัวควาย เป็นสัตว์ที่มีความสามารถพิเศษ เพราะในกระเพาะนี้มีจุลินทรีย์อยู่มากมายหลายชนิด  ทำหน้าที่ในการช่วยย่อยหมักหญ้า และอาหารหยาบอื่น ๆ  ให้มีคุณค่าต่อร่างกายของวัวควายได้   ถ้าวัวควายปราศจากจุลินทรีย์ในกระเพาะรูเมนนี้  จะไม่สามารถดำรงชีพด้วยหญ้าเพียงอย่างเดียวได้  ช่องที่สอง เรียกว่า กระเพาะรวงผึ้ง (honey comb หรือ reticulum)  ช่องนี้เป็นช่องที่เล็กที่สุด ช่วยในการดูดซึมน้ำและโภชนะบางอย่าง ที่ได้จากการย่อยหมักหญ้าในช่องแรก ช่องที่สาม เรียกว่า กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum) ทำหน้าที่ในการดูดซึมน้ำจากอาหาร และช่วยลดขนาดของอาหารที่มาจากช่องที่สองให้เล็กลง และยังเป็นทางผ่านของนมจากหลอดอาหารไปกระเพาะช่องสุดท้ายขณะวัวควายยังเล็ก อยู่ด้วย ช่องสุดท้าย เรียกว่า กระเพาะธรรมดา (abomasum) เทียบได้กับกระเพาะของสัตว์กระเพาะเดี่ยว เพราะในช่องนี้จะมีการสร้างน้ำย่อยมาย่อยอาหารอย่างแท้จริง ก่อนที่จะส่งไปย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายที่ลำไส้เล็กต่อไป

การที่วัวควายเติบโตและให้ผลิตผลได้   ด้วยการกินหญ้าเพียงอย่างเดียว เพราะมีกระเพาะรูเมนซึ่งเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ ที่ทำหน้าที่หมักและย่อยหญ้า และอาหารหยาบอื่น ๆ จนในที่สุดให้ผลพลอยได้จากกระบวนการนั้นเกิดขึ้น  ในรูปวิตามินบางชนิด  กรดอะมิโน และกรดไขมันบางชนิด อันจำเป็นต่อร่างกายวัวควาย

ตรงนี้ต่างหาก น่าสนใจ… ในเมื่อวัวควาย ใช้จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ช่วยย่อยหมักหญ้าจน crack เซลลูโลสและปล่อยมีเทนออกมาได้ บางทีจุลินทรีย์นั้น น่าจะมีประโยชน์ในการเปลี่ยนหญ้า/วัชพืช ซึ่งมีอยู่มากมายในเมืองไทย ให้เป็นพลังงานได้

ฝรั่งอีกนั้นแหละ บอกว่าแบคทีเรียตัวนั้นชื่อ Moorella thermoacetica ซึ่งเปลี่ยนเซลลูโลสเป็นเอทิลอะซิเตท ซึ่งเปลี่ยนเป็นเอทานอลได้

วี๊ดวิ่ว เท่ไม่เบาแฮะ ฝรั่งเรียนรู้ แล้วหาประโยชน์; พี่ไทยรู้ไว้เพื่อสอบ สอบได้แล้วภูมิใจ แต่ทำไม่เป็น ซื้อเค้าอย่างเดียว

ทำไมไม่ลองเป็นผ้าขี้ริ้ว(ในวัว)ดูบ้างล่ะครับ


คณิตศาสตร์ชี้ คนจำนวนน้อยก็ปฏิวัติสำเร็จได้!

อ่าน: 3381

นักสังคมศาสตร์พยายามจะหาทางอธิบายการเป็นผู้นำสังคมอย่างมีประสิทธิผลมานานแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าคนในสังคม มีความเป็นปัจเจกอยู่เหมือนกัน ต่อให้กดขี่บังคับก็จะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเสมอ — นักฟิสิกส์ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะรู้เรื่องนี้กลับมีคำตอบ ซึ่งสอบทานด้วยแบบจำลองในคอมพิวเตอร์แล้วใช้ได้

คิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม ผลเหมือนเดิม

เพราะนักสังคมศาสตร์ พยายามหาคำตอบเบ็ดเสร็จ คำตอบเดียว/ทฤษฎีเดียวอธิบายได้ทุกอย่าง มาจนปัจจุบัน จึงยังไม่ได้คำตอบ top-down ที่ดี

ในทางตรงกันข้าม นักฟิสิกส์รู้ว่าวิธีการแบบนั้น ใช้กับคำตอบที่ซับซ้อนไม่ได้ (จนปัจจุบัน ยังหาทฤษฎีที่อธิบายแรงทุกชนิดยังไม่ได้ หลังจากวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามาหลายร้อยปีแล้ว) นักฟิสิกส์เริ่มต้นจากการกำหนดขอบเขตของปัญหา ตั้งสมมุติฐาน แล้วอธิบายแบบ bottom-up

สมมุติฐานก็คือ แม้ปัจเจกชนจะมีความเป็นเอกเทศ เขาก็ยังมอง “ศูนย์กลาง” ของกลุ่มคนอยู่ดี

ถ้าศูนย์กลางของฝูงชนเคลื่อนที่ไปทางซ้าย เขาก็มีแนวโน้มจะเคลื่อนไปทางซ้ายด้วย ชาวบ้านเรียกว่าตามไปดูแห่

ผมคิดว่าสมมุติฐานนี้ก็มันดีเหมือนกัน อย่างตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีนักเศรษฐศาสตร์มาออกทีวีมากมาย คนไทยในตอนนั้น กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์กันไปหมด แม่บ้านก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แม่ค้าก็เป็น คนทำงานในโรงงานก็ใช่ โอย นักเศรษฐศาสตร์ตัวจริงเป็นเทพไปเลย… พูดย้อนหลัง ชี้ความผิดของคนอื่น ยังไงก็มีส่วนถูก ฮี่ฮี่

ฝูงนก ฝูงปลา ไปไหนไปกัน พอเลี้ยวขวาก็ขวากันหมด ทำไมล่ะครับ ไม่ใช่ว่าเชื่อผู้นำชาติพ้นภัยหรอก แต่เป็นเพราะเวลาอยู่รวมกันแล้ว ต่างคนต่างทำตามใจตัว ก็จะชนกันเองที่ความเร็วสูง สัตว์ยังรู้เรื่อง มีแต่คนนั่นแหละสันดานไม่ดี ผิวเผินแล้วนึกว่าเจ๋ง

ในกรณีของฝูงสัตว์ที่เคลื่อนที่เร็วนั้น ผู้นำส่งสัญญาณ ผู้ตามไม่ต้องคิดอะไรเลย ตามไปลูกเดียว… แต่กรณีของฝูงคน ซึ่งเคลื่อนที่ช้ากว่าสัตว์นั้น ยังหลอกได้ง่ายแม้แต่ละคนคิดว่าตนมีสมองเป็นเลิศครับ ตั้งเครือข่ายของคนที่สังเกตได้ง่ายขึ้นมา แล้วนัดแนะให้คนเหล่านี้กระทำการในทางเดียวกัน พร้อมกัน คนดูซึ่งเป็นปัจเจกชน ก็มีแนวโน้มจะทำตาม

อาการอย่างนี้เป็นเรื่องน่าวิตกมากกับสถานการณ์ของข่าวทีวี ซึ่งนิยมเอาหนังสือพิมพ์ที่เป็นอภินันทนาการ มานั่งอ่านอย่างออกรสออกชาติ การที่มีรายการข่าวเป็นจำนวนมาก ข่าวสารถูกส่งออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ข่าวระเบิดก็ระเบิดกันอยู่นั่นทั้งวัน ข่าวฆาตกรรมก็ออกจนตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว ความรู้สึกของผู้บริโภคข่าวสาร ก็จะโน้มเอียงไปตามข่าวที่ขาดความหลากหลาย มีแต่ภาพของปัญหา

และในกรณีที่สังคมนั้นมีผู้นำอยู่แล้ว ผู้ที่ต้องการจะขึ้นเป็นผู้นำแทน สามารถใช้วิธีการแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน ทำให้ “คนดู” รู้สึกคล้อยตามด้วยความรู้สึกว่าใครๆ ก็ว่าแบบนี้ โฆษณาในลักษณะ testimonial ก็จัดเป็นวิธีการแบบนี้เช่นกัน

Effective Leadership in Competition


จุดแท้จริงของความเป็นคน

6 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 18 July 2009 เวลา 0:22 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 2980

ข้าพเจ้าเคยพบคนหลายคนที่มีความรู้สึกภายในใจรุนแรง จนแสดงออกมาทางกายวาจาว่า ท่านแน่ใจเป็นที่สุดแล้วว่า ท่านเป็นคนเต็มเปี่ยมตามคำแปล หรือความหมายของคำว่า คน. ท่านหยิ่งตัวเอง เพราะเหตุนี้ และเห็นว่า เรื่องที่พวกเพื่อนๆ นำมาคุยมาเล่า ให้ฟังนั้นยังต่ำเกินไป ไม่ถึงขีดของความเป็นคน หรือเป็นเรื่องลัทธิครึ เก่าเกินสมัยเรื่องใด เรื่องหนึ่งเท่านั้น

ทีนี้ ข้าพเจ้า ตั้งอกตั้งใจ พิจารณาดู จุดแท้แห่งความเป็นคน ของท่าน เหล่านั้นว่า คืออะไรกันแน่ ในที่สุด พบว่า จุดแห่งความเป็นคน ของท่านเหล่านี้ ตามที่ท่านเข้าใจ ก็คือ การที่ ท่านสามารถหารายได้มากๆ ทำงานเบา มียศศักดิ์สูงๆ และสามารถหาความเพลิดเพลินทุกประการ มาให้แก่ตนได้ ตามวิธีหรือลักษณะที่นิยมกันว่า เป็นการกระทำของคนชั้นสูง หรือ จะสรุปให้สั้นที่สุด ความเป็นคนของท่าน ก็คือ ความมีเกียรติอันสูงสุด นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เข็มอันชี้จุดแห่งความเป็นคนของท่าน ก็ได้ชี้บ่งไปยัง การได้ทำงานชนิดมีเกียรติมาก มีผลมากนั่นเอง และทำด้วยตัณหา คือ ความอยาก เป็นนั่น เป็นนี่.

ความเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ได้ขยายตัว ออกไป ตามแนวนั้น อีกว่า คน คือสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งเห็นแก่ตัวจัด เป็นทาสแห่งความทะเยอทะยานของตัวยิ่งกว่าสัตว์อื่นๆ ทุกชนิด และ คน คงมิใช่ สัตว์ที่เกิดมาเพื่ออิสรภาพ และความสุขอันสงบ เพราะถ้าเกิดมาเพื่อความสุขสงบ ก็คงไม่ยอมตน เป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ที่บังคับให้ทำให้คิดเพื่อตัวทุกๆ ชั่วโมง แม้เวลาหลับก็ยังฝัน แม้บนเตียง ที่นอนเจ็บ ก็ยังครุ่นคิด เพื่อการหาสิ่งบำเรอตัว สัตว์ที่ไม่ใช่คน ย่อมได้รับการพักผ่อน หรือ ความสงบ ยิ่งกว่า สัตว์ที่เรียกว่า คน ประเภทนี้ มากนัก

อีกอย่างหนึ่ง คนคือสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่ง ขยาย “พวงอัตตา” หรือ “พวงตัว” ออกเรื่อยๆ โดยไม่มีเวลาสิ้นสุด และการขยายนั้น ก็เพื่อตนจะได้แบกไว้เองเท่านั้น ครั้งแรก มีอัตตาหรือ ตัวเพียงตัวเดียว พอ “ความเป็นคน” มากขึ้น ก็มี ภรรยา สามี ลูกหลาน ข้าทาสบริวาร หรือ อันเตวาสิก สัทธิวิหาริกพอกขึ้นเป็นพวง เมื่อสิ่งที่เรียกว่า “บุญบารมี” มากขึ้น บริวารเหล่านั้น ต่างก็มี การขยายพวงของตัว ออกไปๆ และพวงน้อยๆ เหล่านั้น รวมกันเป็นพวงใหญ่ พวงเดียว อีกต่อหนึ่ง โดยมี อัตตา ตัวแรกนั่นเอง อ้าออกรับ เป็นเจ้าของพวง ผู้มีเกียรติ หยิ่งตัวเอง เสมอว่า การที่สามารถ หิ้วพวงใหญ่ๆ เช่นนั้น ไว้ได้นั้น เป็น “เกียรติอันสูงสุด” นี่เป็น จุดหมายของความเป็นคนปริยายหนึ่ง ซึ่งน่าจะสรุปได้สั้นๆ ว่า เกียรติของความเป็นคนก็คือ การเกิดมาเพื่อแบกพวงอัตตา พวงใหญ่ๆ นั่นเอง กระมัง

อีกปริยายหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะเด่นอยู่มาก ก็คือว่า คนได้แก่สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งเอาเปรียบผู้อื่นเป็น และรู้สึกว่า ผู้อื่นเอาเปรียบตนก็เป็น. ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากในสัตว์ จำพวกนกหนู เมื่อ “ความเป็นคน” ยังน้อยอยู่ ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าใครเอาเปรียบตน หรือ ลูบคมตน เมื่อความเป็นคนชนิดที่กล่าวนั้น มีมากขึ้น เรื่องนิดเดียว และ ชนิดเดียวกันนั่นเอง กลับเห็นเป็นเรื่องที่ ผู้อื่นลูบคมตน เอาเปรียบตน ไม่เคารพตน ผู้เป็นหัวหน้าหมู่อย่างใหญ่หลวง และมักหาเรื่อง ลงโทษ ลูกหมู่ หรือ ลูกพวง เป็นการประดับเกียรติของตน ถ้าจะกล่าว อีกอย่างหนึ่ง ก็ได้ว่า คน คือ สัตว์ที่รู้จักผูกโกรธ หรือแก้แค้นเพื่อนฝูงด้วยกัน ในกรณีที่สัตว์ซึ่งต่ำกว่าคนทำเช่นนั้นไม่เป็น จุดหมายของความเป็นคนตามนัยนี้ น่าจะได้แก่ การไม่ยอมให้ใครมาลูบคม เล่นได้นั่นเอง

เมื่อข้าพเจ้า ได้สังเกต ลักษณะแห่งความเป็นคนของบรรดาท่าน ซึ่งท่านแน่ใจตัวเองว่า ถึงขีดสุด ของความเป็นคน จนพบว่า ท่านหมายถึงอะไร โดยนัย ที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่า ข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านเหล่านั้น ได้ถูกต้องทำให้ต้องซักซ้อมดูอีกเป็นหลายครั้ง แต่ในที่สุด ก็ไม่พบอะไร มากไปกว่านั้น จึงยุติว่า ความเป็นคน ตามความหมายธรรมดา เท่าที่มีที่เป็นกันอยู่ในจิตใจมนุษย์เรานั้น ไปได้ไกล เพียงแค่นั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังไม่พอใจว่า ความเป็นคน มีเพียงเท่านั้นเอง น่าจะมี เป็นอย่างอื่น.

ทีนี้ เราจงชวนกัน มามองไปยัง บุคคลประเภท ที่ไม่มีอัตตา เห็นตนเอง และผู้อื่น เป็นเช่นกับ พืชพรรณ ธัญญชาติ ซึ่งต่างก็เกิดขึ้นแล้ว เจริญงอกงาม และดับไปในที่สุด ตามเรื่องของตนๆ พวงอัตตา ของคนประเภทนี้ ก่อขึ้นไม่ติด ครั้นหนักเข้า ตัวเองก็ไม่มี คน หรือ สัตว์ก็ไม่มี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ถือพวกถือพวง ไม่รู้สึกว่า ได้เกียรติหรือเสียเกียรติ ทำงานเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้ของร่างกายนี้ เพียงเพื่อต้านทาน ธรรมชาติ ใช้หนี้ธรรมชาติ ตามที่ปัญญา บ่งให้ทำเฉพาะในด้านกาย เช่น พ่อแม่เลี้ยงตนมา ก็เลี้ยงตอบแทน เมื่อยังไม่หลุด ก็ต้องเลี้ยงลูกหลานของตนเอง ใช้หนี้ธรรมชาติอันนี้ ไม่รู้สึกว่ามีใคร เสียเปรียบได้เปรียบในโลกนี้ มีแต่สิ่งทั้งหลายที่หมุนไป ตามเหตุตามปัจจัย ยินดีที่จะให้อภัยกันเสมอ ถือหลักความจริง เป็นแนวแห่งการครองชีพ ไม่แสวง”บุญบารมี” มาเพื่อใช้ อำนวยการ สำเร็จความใคร่ ให้แก่ ความทะเยอทะยานอยากของตน ไม่อ้าออกรับ สิ่งทั้งหลาย มาเป็นของตน เหล่านี้ เมื่อเรามอง ซึ้งลงไปถึงหัวใจของเขา เรากลับพบว่า จุดแห่งความเป็นคนของเขานั้น ตรงกันข้าม จากของคนจำพวก ที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น ในที่สุด ข้าพเจ้า ก็กระทบกันกับ ปัญหาว่า ถ้าเช่นนั้น พวกไหนเล่า เป็นคนที่แท้จริง ตามความหมาย ซึ่งอาจเป็นที่พอใจได้ด้วยกันทุกฝ่าย.

๒๐ กันยายน ๒๔๘๔

คัดจาก หนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

อ่านต่อ »


อุดมศึกษา

อ่าน: 3012

อาทิตย์ก่อน ผมไปร้านหนังสือ จะไปหาความรู้พื้นฐานเพิ่มเติมเรื่องเกี่ยวกับเคมีอินทรีย์ เพื่อพยายามเข้าใจให้ได้ว่าเซลลูโลส เปลี่ยนไปเป็นน้ำมันได้อย่างไร ปรากฏว่าพบจริงๆ ครับ เป็นหนังสือภาษาไทยด้วย คือหนังสือประมาณว่าคัมภีร์เคมีรวบยอด ม4-5-6 สำหรับเอ็นทรานซ์/เอเน็ตอะไรประมาณนั้น

นอกจากดีใจแล้ว ยังตกใจอีกด้วย ว่าเดี๋ยวนี้การเรียนการสอนในระดับมัธยมนั้น กำลังทำอะไรกัน เอา “ความรู้” แบบไหนใส่ให้กับเด็ก ให้เด็กนักเรียนมัธยมปลายเรียนเป็นแสนคน คุ้มค่าหรือครับ


สรรพลี้หวน

3 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 16 July 2009 เวลา 0:08 ในหมวดหมู่ ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม บันเทิง #
อ่าน: 4749

เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมไปเพ่นพ่านในบล็อกพี่สร้อย แล้วด้วยอารมณ์สนุกในตอนนั้น จึงแสดงความคิดเห็นไปเป็นคำผวนทั้งย่อหน้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่ามีผู้ผวนไม่ออก (ต้องแปลกันทางช่องทางอื่น) ผมก็เลยไปค้นดูว่ามีโปรแกรมอะไร ที่ช่วยผวนกลับหรือไม่ — ไม่เจอหรอกครับ แต่ไปเจอเรื่องอื่น

ไปเจอวรรณกรรมเก่าอันหนึ่ง ชื่อ “สรรพลี้หวน” (อ่านว่า สับ-ลี้-หวน) ซึ่งวิกิพีเดียภาษาไทยให้ความหมายไว้ว่า

สรรพลี้หวน (อ่านว่า สับ-ลี้-หวน) เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นทางภาคใต้ (จังหวัดนครศรีธรรมราช) ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ประพันธ์ สันนิษฐานกันว่าคงจะเป็นปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะการประพันธ์ เป็นแบบ นิทานคำกลอน หรือ กลอนสุภาพหรือ กลอนแปดตาม ขนบนิยม เนื้อหาเป็นคำผวนเกี่ยวกับเรื่องเพศและอวัยวะเพศ มีเนื้อหาชวนให้ขบขันมากกว่าก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศ มีความยาว 197 บท เนื้อหายังไม่จบสมบูรณ์

สรรพลี้หวนสำนวนเก่าพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 โดยขุนพรหมโลก (นามแฝง) ซึ่งผู้พิมพ์ให้ความเห็นไว้ว่า ผู้แต่งอาจเป็นชาวนครศรีธรรมราช แต่งขึ้นประมาณ พ.ศ. 2425 - 2439 ต่อมามีผู้แต่งเลียนแบบขึ้นอีกหลายสำนวน ในหอพระสมุดเองมีหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อ “ศัพท์ลี้หวน” ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน

ในวิกิซอร์ซซึ่งมีข้อความฉบับเต็มนั้น บรรยายไว้ว่า

สรรพลี้หวน เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ มีเนื้อหาหยาบโลน แต่แสดงภูมิทางกาพย์กลอนของผู้แต่ง เป็นหนังสือหายากเล่มหนึ่ง

วรรณกรรม”สรรพลี้หวน”นี้ ควรอ่านออกสำเนียงเป็นภาษาใต้ จะสามารถผวนคำได้ถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากคำบางคำไม่มีในภาษาภาคกลาง หรือภาษาที่คนใต้เรียกว่า แหลงข้าหลวง

ถ้าสนใจ อ่านได้ตรงนี้ครับ อ่านแล้วก็อย่าคิดอะไรมาก


เรือโนอาห์

8 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 15 July 2009 เวลา 0:09 ในหมวดหมู่ สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 4176

เรือโนอาห์​ (Noah’s Ark) เป็นเรื่องที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์ไบเบิ้ล พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน (เรียกว่า นูห์ /Nuh/) และศาสนาอันเก่าแก่ที่เกิดขึ้นจากบริเวณตะวันออกกลาง ว่าพระเจ้าทรงมีพระวัจนะ บัญชาให้สร้างเรือใหญ่ แล้วนำสัตว์โลกอย่างละเป็นคู่ขึ้นเรือไป หนีจากน้ำท่วมโลก

แนวคิดเรื่องเรือโนอาห์ในฐานะของเครื่องมือเก็บรักษาตัวอย่างของวัฒนธรรม ความรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ เอาไว้หลังจากที่ “ภัย” เกิดขึ้น เหมือนเป็นหลักประกันความต่อเนื่องของชาติพันธุ์หลังการทำลายล้าง ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ สงคราม ความล่มสลายทางเศรษฐกิจ หรือภัยจากการทำลายล้างตัวเอง

ที่กลับมานึกถึงเรื่องเรือโนอาห์ ก็เพราะชีวิตและสังคมในปัจจุบันนี้ วุ่นวายเกินไป ต่างสนใจแต่เรื่องของตนเองจนเบียดเบียนคนอื่นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คนสมัยนี้ลืมไปว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อ่อนแอ และจำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นและธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวแต่หลอกตนเองว่าเห็นแก่ชาติบ้านเมือง จะนำคนไปสู่ความล่มจม ตายหมู่ และจะเป็นหมู่ใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะร่วมด้วยหรือคัดค้าน โลกนี้ไม่ใหญ่พอที่จะแบกรับความขัดแย้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เรือโนอาห์สมัยใหม่ในความคิดของผมนี้ ไม่ได้เป็นเรือหรอกนะครับ มันเป็นสถานที่ที่มีความมั่นคงทางปัจจัยสี่ น้ำ อาหาร และพลังงาน มีต้นไม้ใหญ่ มีสมุนไพร ปลูกพืชอาหารกินเอง เก็บกินไม่ใช่ทำกิน มีน้ำไหลแต่ไม่ท่วม ทำให้คนใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโลกภายนอกมากนัก ฝันไว้ว่า (1) ไม่ต้องใช้เงินก็มีชีวิตอยู่ได้ (2) ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโลกภายนอก (3) ไม่ได้ปฏิเสธเงินหรือธุรกิจ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนัก (4) ถ้ามีเงินอยากใช้ก็ใช้ ไม่ห้าม (5) ความรู้ที่มีในนี้ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ต่อชีวิต ไม่ต้องสูงส่ง แต่มีประโยชน์ ถ้าสูงส่งแล้วมีประโยชน์ก็ยิ่งดี (6) ถนัดอะไร/รักอะไรก็ทำอย่างนั้น มีเหลือก็แจก/ขาย (7) ใช้เน็ตทำสิ่งที่ไม่ต้องเดินทาง หรือฝึกอบรม พักฟื้นหลังป่วย ดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ (8) เริ่มช่วยชุมชนใกล้ๆ ก่อน ใครอยู่ไกลแต่อยากมาดูก็มา

เรือโนอาห์ลำนี้ มียาดีอยู่อย่างหนึ่ง บางทีอาจบรรเทาความโลภลงได้บ้าง คือเนื่องจากปัจจัยสี่บริบูรณ์ ความร่ำรวยจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ใครเป็นอย่างไรก็เป็นไป แต่ดูกันที่ว่าใครเป็นของจริงหรือไม่ กินมื้อหนึ่งเกินปริมาตรท้องไม่ได้อยู่ดี ถ้าอยากสะสมไว้กินมื้อหน้า ก็ปลูกต้นไม้เอาไว้ตั้งแต่วันนี้ — เมื่อชีวิตอยู่ได้แล้ว ทีนี้จะทำประโยชน์อะไรก็ทำเลยครับ

อาจจะคล้ายสถาบันสถาปนาของอาซิมอฟในบางมิติ หรืออาจคล้ายสังคมอุดมคติในสตาร์เทร็ค ซึ่งก็แล้วแต่จะคิดกันไปครับ แต่ผมเรียกว่าหมู่บ้านเฮ

ที่เขียนในบันทึกนี้ไม่ใช่ทั้งหมดของหมู่บ้านเฮหรอกครับ การบรรยายถึงชุมชนอะไรก็ตามนั้น ไม่สามารถทำได้ในเพียงไม่กี่ย่อหน้า จะค่อยๆ ขยายต่อไปในโอกาสต่อๆ ไป


มิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ

3 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 14 July 2009 เวลา 0:15 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 4295

แมวเฝ้ารูหนูก็มีสมาธิ นักย่องเบาก็มีสมาธิ  แต่ไม่ใช่สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิของสัตว์เดียรัจฉาน  ไม่ใช่บ่อเกิดของปัญญา พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า มิจฉาสมาธิ  หลวงพ่ออธิบายว่า

“สมาธิทั้งหลายเหล่านี้ แบ่งเป็นมิจฉาสมาธิอย่างหนึ่ง  คือเป็นสมาธิในทางที่ผิด เป็นสัมมาสมาธิอย่างหนึ่ง  คือสมาธิในทางที่ถูกต้อง นี่ก็ให้สังเกตให้ดี

มิจฉาสมาธิคือความที่จิตแน่วแน่เข้าสู่สมาธิ เงียบหมด  ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้ นั่งอยู่ ๒ ชั่วโมงได้  กระทั่งทั้งวันก็ได้ แต่จิตไม่รู้ว่ามันไปถึงไหน มันเป็นอย่างไร  ไม่รู้เรื่อง

นี้สมาธิอันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ  มันก็เหมือนมีดที่เราลับให้คมดีแล้ว แต่เก็บไว้เฉย ๆ ไม่เอาไปใช้  มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างนั้นเป็นความสงบที่หลง คือ ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว

เห็นว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไป  จึงเป็นอันตราย เป็นข้าศึก ในขั้นนั้นเป็นอันตราย  ห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ปัญญาเกิดไม่ได้ เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ

ส่วนสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน  ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บริบูรณ์  รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ

เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไปในทางอื่นได้  นี้ก็ให้นักปฏิบัติเข้าใจไว้ให้ดี จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้  จะต้องรู้ตั้งแต่ต้นจนปลายทีเดียว ถึงจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง  ขอให้สังเกตให้มาก”

และอีกโอกาสหนึ่งหลวงพ่อพูดถึงสมาธิสองอย่างอีกนัยหนึ่ง

“ความสงบนี้มีสองประการคือ ความสงบอย่างหยาบอย่างหนึ่ง  และความสงบอย่างละเอียดอีกอย่างหนึ่ง อย่างหยาบนั่นคือ เกิดจากสมาธิ  ที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุข แล้วถือเอาความสุขเป็นความสงบ

อีกอย่างหนึ่งคือความสงบที่เกิดจากปัญญา  นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ  แต่ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณาสุขทุกข์เป็นความสงบ  ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข  ฉะนั้นความสงบที่เกิดจากปัญญานั้นจึงไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความสงบ

เพราะว่าความสุขความทุกข์นี้เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน  จะไม่พ้นจากวัฏสงสาร เพราะติดสุขติดทุกข์ ความสุขจึงไม่ใช่ความสงบ  ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข

ฉะนั้นความสงบที่เกิดจากปัญญานั้น จึงไม่ใช่ความสุข  แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุขความทุกข์  แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา  ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นเป้าหมาย  ของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง”

หลวงพ่อชา สุภทฺโท


เลื่อนตำแหน่งเป็นรางวัลผลงานในอดีต อาจเป็นการทำลาย

7 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 13 July 2009 เวลา 0:01 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการ #
อ่าน: 4971

ผมอ่านบล็อกฟิสิกส์ที่ MIT ตามลิงก์ไปเรื่อยๆ ไปเจอเรื่องประหลาดแต่โดนมากครับ เรียกว่าหลักของปีเตอร์

ดร.ลอว์เรนซ์ เจ ปีเตอร์ เขียนหนังสือชื่อ The Peter Principle เมื่อปี พ.ศ. 2511 หลังจากศึกษาพฤติกรรมขององค์กรที่มีการปกครองเป็นลำดับชั้น โดยกล่าวไว้แบบขำๆ ว่า “In a Hierarchy Every Employee Tends to Rise to His Level of Incompetence.” หรือ ในที่ที่ปกครองแบบเป็นลำดับชั้น ทุกคนมีแนวโน้มจะถูกเลื่อนชั้นขึ้นไป จนถึงระดับแห่งความไม่เอาไหนของตนเอง

ซึ่งก็แปลกที่ไปตรงกับ บันทึกแรกที่เขียนเอาไว้ที่ gotoknow เมื่อตอนปลายปี 2549 ตอนนี้เอามาปรับปรุงสำหรับลานปัญญาดังนี้

คนทำงานนั้นหวังความก้าวหน้าเป็นธรรมดา แต่การให้รางวัลและการสร้างแรงจูงใจโดยการให้ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นนั้น ในหลายครั้งกลับกลายเป็นผลเสียโดยตรงต่อตัวพนักงาน ต่อเพื่อนร่วมงาน และต่อองค์กร

บริษัทที่ผมเคยทำงานอยู่นั้น มีแนวคิดเรื่องการเลื่อนตำแหน่งที่ไม่ค่อยเหมือนใคร แต่ไม่ได้ปิดบัง-เพราะว่ามันเป็นความคิดของผมเอง กล่าวคือบริษัทไม่เลื่อนตำแหน่งให้พนักงานเพียงเพราะ

  1. อาวุโส - การมีอายุมาก เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของบริษัท อาวุโสในสังคมไทยนั้น ได้รับการเคารพโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เพียงการที่มีคนเคารพ ไม่ได้เป็นเหตุผลที่เพียงพอในการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้า
  2. อายุงาน - อันนี้ก็เช่นกัน หากอยู่มาได้นาน คงพูดไม่ได้ว่าไม่มีดีเลย แต่การอยู่มานาน ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ดีพอ ที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้า อายุงานไม่ใช่ตบะ แต้มลอยัลตี้โปรแกรม หรือแสตมป์สมนาคุณเพื่อแลกซื้อของ ไม่ได้ใช้วิธีการสะสมเอา
  3. อันที่ค่อนข้างแปลกคือ บริษัทก็ไม่เลื่อนตำแหน่งเพื่อให้เป็นรางวัลสำหรับผลงานในอดีตเช่นกัน ผลงานในอดีตนั้น ตอบแทนด้วยโบนัส และการยกย่องอื่นๆ แต่ไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้า

ทั้งนี้เป็นเพราะว่าความเป็นหัวหน้านั้น ต้องมีความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ต้องเสียสละ และมีทักษะที่จะต้องพัฒนาขึ้นอีกหลายอย่าง ดังนั้นคนที่จะเป็นหัวหน้า จะต้องมีความพร้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเตรียมตัวมาก่อน ฝึกฝนมาล่วงหน้า และได้รับโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเอง

ดังนั้นหากไม่ต้องการที่จะเสียพนักงานที่ดีไป แล้วได้หัวหน้าห่วยๆ มาแทน (เสียสองเด้ง) ก็ต้องพยายามคัดสรรผู้ที่มีความพร้อม และได้รับการยอมรับ ให้ขึ้นมาครับ

เรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกันจนเข้าใจก่อนการเลื่อนตำแหน่งก็คือ บทบาทและหน้าที่จะเปลี่ยนไป อย่าทำแบบเดิม; ถ้าอยากจะทำแบบเดิม ก็ไม่เห็นต้องเป็นหัวหน้าคนอื่นเลย แล้วถ้าจะต้องทำแบบเดิม จะเรียกว่าก้าวหน้าได้หรือครับ

อ่านต่อ »


ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 A

5 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 12 July 2009 เวลา 0:04 ในหมวดหมู่ การแพทย์ สุขภาพ สุขภาวะ #
อ่าน: 7244

แปลอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลในเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ CDC เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2552 ถ้าแปลไม่ถูกใจก็ขออภัยนะครับ เชิญแปลแบบที่ดีกว่าได้เลย อิอิ เพราะให้ลิงก์ไว้แล้ว

อ่านต่อ »



Main: 0.078119039535522 sec
Sidebar: 0.22482800483704 sec