The King’s Speech

ทุกคนต้องการเพื่อน

กำกับ : Tom Hooper
นำแสดง : Colin Firth, Geoffrey Rush, Helena Bonham Carter
ความยาว : 118 นาที
ระดับความชอบ : 9.5/10

คว้าลูกโลกทองคำสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมประเภทหนังดรามา เลยทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้ขึ้นมา
แล้วก็ได้ชมในโรงภาพยนตร์ลิโด้

หนังเป็นเรื่องจริงของเจ้าชายในราชวงษ์อังกฤษ ผู้ต่อมาขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์จอร์จที่ 6 พระบิดาของราชินีอลิซาเบ็ธที่ 2
พระองค์มีโรคประจำตัวคือติดอ่าง

ปม ของพระองค์มีมากมายเหลือเกิน เช่น โดนพระพี่เลี้ยงหยิกและให้อดอาหารตอนเด็กๆ โดนพระบิดาบังคับ ขาโก่งยังโดนดัดขาจนตรงทุกทรมานจนฝังใจ
ปัญหาคือพระองค์ต้องกล่าวสุนทรพจน์ให้กับพสกนิกรของจักรวรรติอังกฤษทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
คราวนี้ยิ่งติดอ่างใหญ่เลย พระองค์เรียกเองว่า สุนทรพจน์เงียบ

งานหนักอยู่ที่พระมเหสีที่ควานหาหมอทั่วทั้งแผ่นดินเพื่อช่วยพระสวามี
จนมาเจอ Lionel Logue อดีตนักแสดงชาวออสเตรเลียที่เปิดศูนย์รักษาคนมีปัญหาด้านการพูด เน้นคนมีปม เช่น ทหารผ่านศึก, เด็กๆ เป็นต้น
หมอ Logue มาเฉลยตอนท้ายเรื่องว่าเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสนามเวมบลีย์ครั้งที่เจ้า ชายกล่าวสุนทรพจน์เป็นครั้งแรกและติดอ่างอย่างหนัก หมอบอกว่าคิดไว้ตอนนั้นว่าเราต้องช่วยเจ้าชายคนนี้

แรกๆ คิดว่าไม่เห็นจะยากเลย ก็อ่านตามบทที่เขียนมา แต่หนังทำให้เห็นและเชื่อว่าการติดอ่างเป็นปมด้อย เกิดจากการเลี้ยงดู ทำให้ทุกครั้งที่ต้องพูดที่กดดันจะพูดไม่ทัน แม้แต่เถียงพระเชษฐายังติดอ่างเถียงไม่ทันเลย

การรักษาต้องใช้ความ สนิท บทสนทนาช่วงนี้ตลกมาก ฝรั่งในโรงหัวเราะก่อนเราทุกที เพราะกว่าเราจะอ่านซับเสร็จ ฝรั่งหัวเราะไปแล้ว แต่บทตลกมีเยอะมาก เป็นหนังดรามาที่มีบทตลกเยอะที่สุดตั้งแต่ดูหนังมา
แอบชื่นชมที่เขาเอาเรื่องของราชวงศ์มาทำได้เป็นชีวิตจริงดีมากเลย โดยเฉพาะเรื่องปมด้อยของพระราชา

ช่วงคลายปมในใจของพระราชาดีมากเลยครับ ต้องอาศัยความไว้ใจ เข้าใจ และอดทน และที่แน่ๆ คือมิตรภาพ
พระราชาไม่เคยมีเพื่อนแท้ขนาดนี้ครับ
King จึง Speech ได้เมื่อมีเพื่อนอยู่ข้างกายคอยช่วยเหลือครับ
แม้แต่ตอน Speech สำเร็จยังปล่อยมุก คือ
มีคนทักว่ามีตะกุกตะกักบ้างนะ พระราชาตอบว่า เพื่อให้พสกนิกรรู้ว่าเป็นเราไง (ฮา)

หลังบ้านเป็นอีกเรื่องที่หนังแสดงให้เห็นว่าสำคัญมากในการใช้ชีวิต
ภรรยาของตัวละครทั้งสองตัวในเรื่องทั้งพระราชินีหรือภรรยาของคุณหมอ ให้กำลังใจคู่ของพวกเธออย่างน่าชื่นชม
ฉาก พระมเหสีบอกเจ้าชายว่า “รู้ไหมทำไมถึงรับรักคุณทั้งที่ปฏิเสธตั้งสองครั้ง เพราะคุณติดอ่าง คงไม่มีใครมายุ่งกับเรา” เธอจะบอกว่าเธอภูมิใจในสามีของเธอตลอดเวลา
ฉากภรรยาของหมอคุยกับสามี เมื่อเห็นเครียด ก็ถามหาสาเหตุ เป็นช่วงชิลๆ ของครอบครัว ลูกๆ ก็อยู่ด้วย สุดท้ายภรรยาก็แนะนำให้ไปขอโทษลูกค้าเสีย แล้วหมอก็ทำตาม
ยิ้มเลยฉากนี้ Coach of the coach อยู่ในบ้านนี่เอง

องค์ประกอบอื่นเรื่องรายละเอียด ฉาก ภาพ เพลงประกอบดีมากๆ ไม่แปลกถ้าจะได้รางวัลใหญ่
อยากให้ได้ด้วย เพราะเนื้อหาดี สร้างแรงบันดาลใจได้

ทุกปมมีทางคลายได้ ถ้าคลายเองไม่ได้ก็ต้องหาเพื่อนแท้คอยช่วยนะครับ
ใครมีคนคอยช่วยอยู่แล้ว รักษาเขาไว้ให้ดี
เพราะกัลยาณมิตรคือแสงทองของชีวิตครับ

ชอบมากครับเรื่องนี้

มีความสุขทุกคนครับ

The Godfather

วิถีเจ้าพ่อ

เป็นหนังดีอันดับ 2 ของเวบ IMDb จากการโหวตของคนดูทั่วโลก
หนังยาวร่วม 3 ชั่วโมง กว่าจะดูจบเล่นเอาเหนื่อย

ความ ดีของหนังเรื่องนี้มีให้เห็นเด่นชัด สมราคา เดินเรื่องเยี่ยม ดนตรีทำออกมาเพื่อหนังเจ้าพ่อโดยเฉพาะ ยังมีการนำมาใช้ในโอกาสต่างๆ เป็นระยะๆ จนถึงปัจจุบัน
ดาราที่มาแสดงสุดยอดทุกคน
หนังออกมาดีอย่างนี้ได้เพราะฝีมือผู้กำกับระดับโลก

เปิด เรื่องแสดงให้เห็นอำนาจและการตัดสินใจของ Godfather ผู้พ่อ ดอน โดยจะช่วยคนที่ให้ความเคารพแก่เขาเท่านั้น หากมาแบบกร่างไม่ก้มหัวให้ ไม่ช่วยครับ
แล้วจุดเปลี่ยนก็อยู่เมื่อมีคนมาเสนอธุรกิจยาเสพติด  ซึ่งมาแบบไม่นอบน้อม และเป็นธุรกิจที่ดอนมองว่าเลวร้ายเกินไป
แต่ผลประโยชน์ที่มหาศาลของธุรกิจยาเสพติด ทำให้คนที่มาเสนอไปจ้างวานฆ่า Godfather ผู้พ่อ

ไม เคิล ลูกคนสุดท้องของ ดอน ซึ่งเดิมไม่สนใจธุรกิจการพนันและโรงแรมของพ่อเลย แต่สุดท้ายก็ต้องมาร่วม เริ่มด้วยการสังหารสองหัวโจกเรื่องธุรกิจยาเสพติด
แล้ว ไมเคิลก็ต้องที่กบดานในอิตาลี อยู่นานจนได้ภรรยาชาวอิตาลี น่ารักดีครับในช่วงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวคู่นี้ ใช้ภาพและเพลงคลอ ไม่ต้องมีเสียงพูด

จนซันนี่พี่ชายของไมเคิลโดนถล่มตอนจะขึ้นทางด่วน ไมเคิลเลยได้กลับมาด้วยความช่วยเหลือของพ่อที่ไปตกลงกับอีก 4 ตระกูล

แล้วไมเคิลก็เข้ามามีบทบาทในตระกูลคอลิโอเน่ โดยมีผู้พ่อช่วยอยู่เบื้องหลัง
จนดอนตาย ไมเคิลก็กวาดล้างอีก 4 ตระกูลทันที
ฉากรับพรของไมเคิลตัดกับฉากกวาดล้าง สุดยอดจริงๆ ครับ

ฉาก ตอบภรรยากรณีสังหารพี่เขย ได้อารมณ์ดีจังครับ คำตอบเดียวเปลี่ยนได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายสายตาเคลือบแคลงของภรรยาช่างน่าคิดดีเหลือเกิน
หนังทำได้ดีในทุกๆ อารมณ์เลยครับ

แม้หนังจะยาวแต่ไม่น่าเบื่อเลย องค์ประกอบของหนัง ภาพ เสียง ดนตรี เนื้อเรื่อง สมบูรณ์แบบจริงๆ

ไม่รู้ว่าชีวิตเจ้าพ่อจะมีความสุขไหมนะ เมื่อต้องวิ่งหลบกระสุนตลอดเวลา
ไม่รวย แค่พอกิน ไร้อำนาจ แต่ไปไหนมาไหนสบาย มีคนรู้จักบ้าง จะดีกว่าไหม?

เลือกกันเอาเองครับ

มีความสุขทุกคนและสวัสดีปีใหม่ครับ

The Social Network

สุดท้ายชีวิตต้องการอะไร?

กำกับ : เดวิด ฟินเชอร์
นำแสดง : เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก, แอนดรูว์ การ์ฟีลด์, จัสติน ทิมเบอร์เลค
ความยาว : 120 นาที
ระดับความชอบ : 9.25/10

เปิด ตัวในอเมริกาด้วยอันดับหนึ่ง เนื้อเรื่องก็น่าสนใจ เพื่อนนักดูหนังบอกว่าผู้กำกับคนนี้เก่ง เคยกำกับเรื่อง Se7en หนัง Serial Killer ที่น่ากลัวมาก

เข้า Waiting List ทันทีเรื่องนี้

13/12/53 จัดงานเกี่ยวกับ Social Network ตอนเย็นเลยถือโอกาสไปดูหนังเสียเลย

หนังดีทีเดียว เข้าชิงลูกโลกทองคำด้วย สาขาภาพยนตร์ ดารานำชาย และ ผู้กำกับ ประเภท Drama ชนกับ Inception เลย
แต่เชียร์ Inception มากกว่านะ

หนังพูดเยอะและเร็วมาก แต่เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน

เพลงประกอบเพราะดี

ชอบที่ผู้กำกับที่เล่นกับความรู้สึกของพระเอกในฉากสุดท้าย
หลังจากปูพื้นเรื่องมาทั้งหมด
เริ่มจากแฟนที่เรียนมหาวิทยาลัยอื่นบอกเลิก
พระเอกก็เอาคืนด้วยการเขียน Blog ด่า แล้วก็ทำเรื่องมากมายเพื่อระบาย
แล้วฉากสุดท้ายจะมาขอเธอคนนั้นเป็น Friend ใน Facebook
พระเอกกด Refresh หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
หนังตัดตรงนี้

ถามว่าถ้าเราเป็นนางเอกจะรับพระเอกเป็น Friend ไหม?

เห็นสีหน้าพระเอกที่ไม่มีใครเป็นเพื่อนในชีวิตจริงเลย
ดูไม่มีความสุขเลย
สุดท้ายชีวิตต้องการอะไรครับ?
เงิน หรือ เพื่อน
หากได้ทั้งสองอย่างคงดี
แต่ถ้าต้องเลือกเหมือนที่พระเอกเลือก ทั้งที่ตั้งใจเลือกหรือไม่ตั้งใจเลือกก็ตาม ผลก็เป็นแบบฉากสุดท้าย

เคยอ่านเจอว่า มีเพื่อนไม่ต้องเยอะ แต่ขอให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็พอ
เราต้องหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์เหล่านั้นให้ดี เพราะเขาเป็นเพื่อนเรา
ยิ่งเป็นกัลยาณมิตรที่จะนำเราไปสู่ทางสว่าง ทางนิพพาน ยิ่งต้องดูแลไว้

Facebook เป็นแค่เครื่องมือทำให้พบเพื่อนเก่าง่ายขึ้น แต่เพื่อนใหม่ที่ดีไม่น่าจะหาได้ในนี้ ผมเลยไม่ Accept คนไม่รู้จักครับ

ผม ว่าที่พระเอกเขียน Facebook ออกมาได้ตอบโจทย์การหาเพื่อน เพราะเขาไร้เพื่อนเลยต้องค้นหาวิธีการหาเพื่อนด้วยวิธีการต่างๆ แต่นำมาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้เพราะต้องใช้อะไรมากกว่านั้นในเรื่องมิตรภาพ

ผล ประโยชน์เป็นอีกเรื่องที่ทำให้มิตรภาพจบลงได้ง่าย ดังเช่นหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็น ดังนั้นเลี่ยงๆ เรื่องนี้บ้างก็ดี ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน

เลือกให้ดีนะครับ เงิน หรือ เพื่อน

มีความสุขทุกคนครับ

Defending your life

ทำอะไร อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น

กำกับ : Albert Brooks
นำแสดง : Albert Brooks, Meryl Streep
ความยาว : 112 นาที
ระดับความชอบ : 9/10

ดร.วรภัท ร์ ภู่เจริญ เคยเปรียบไว้ว่า ตรงกลางหน้าอกของเราจะมีแผ่นซีดี ทำอะไรไว้จะบันทึกเอาไว้ทั้งหมด เมื่อเราตายไปพญายมบาลจะเอาแผ่นซีดีแผ่นนี้มาอ่านแล้วตัดสินว่าเราจะไปทาง ไหน นรก สวรรค์ หรือไปเกิดใหม่
รวย จน ยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ต้องผ่านท่านยมบาลหมด ไม่มีอำนาจต่อรองด้วย ดังนั้นหมั่นทำความดี ละความชั่ว กันเถอะครับ เวลาอ่านแผ่นซีดีของเราจะได้มีแต่เรื่องดีๆ
เหมือนนางเอกในเรื่องนี้ เธอทำดีมาตลอดชีวิต เมื่อเอาซีดีเธอมาเปิดจึงมีแต่ความดีและรอยยิ้ม

หนังเรื่องนี้เแปลงยมบาลเป็นห้องพิจารณาว่าเราจะไปต่อหรือกลับไปเกิดใหม่เพื่อก้าวผ่านความกลัวในการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์
และหลักฐานในการพิจารณาคดีคือสิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิต
คือซีดีตรงหน้าอกเรานี่เอง

หนังเรื่องนี้ต้องสั่งซื้อมา เป็นหนังตั้งแต่ปี 1991 Meryl Streep ยังสาวอยู่เลย

หนังทำให้เห็นชีวิตหลังความตายอย่างเป็นรูปธรรม และยืนยันเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ได้เป็นอย่างดี

ทำอะไรไม่ต้องบอกว่าไม่มีใครเห็น หลวงปู่ชาถามไว้ว่า “แล้วคนที่พูดน่ะไม่ใช่คนหรือไง?”
ต้องรอให้ใครเห็นหรือ? ในเมื่อเราเห็น เรารู้ทุกการกระทำ ความคิด ความรู้สึกของเราเป็นอย่างดี
หากยังไม่รู้ สร้างตัวรู้เสียนะครับ
เพราะทุกอย่างในชีวิตเราถูกบันทึกไว้หมดเรียบร้อย
เอาไว้ใช้ในการ Defending your life

ขอให้ชนะในการพิจารณาและได้ไปต่อ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
นี่แหละครับเรียกว่าความสุข

มีความสุขจากการหลุดพ้นทุกคนนะครับ

เปนชู้กับผี


หนึ่งตัวอย่างของการเอาจิตไปผูก

กำกับ : วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง
นำแสดง : ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เป็น นวลจัน
สุพรทิพย์ ช่วงรังษี เป็น รัญจวน
ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา เป็น สมจิต
ความยาว : 97 นาที
ระดับความชอบ : 9/10

ดร.วรภัท ร์ ภู่เจริญ สอนเสมอว่า เมื่อเราจิตเกิดเพราะเรื่องอะไรจะถูกบันทึกไว้ แล้วเราก็วนมาเจอเรื่องนั้นๆ อีกจนกว่าเราจะสอบผ่าน จิตไม่เกิด
ดังนั้นหากจิตเรานิ่ง ไม่กระเพื่อม ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ก็ไม่มีข้อมูลบันทึก ก็ไม่ต้องมาเกิดใหม่ ก็ไปนิพพานนั่นเอง
การควบคุมจิตใจไม่ให้ไปผูกกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงสำคัญมาก หากเราไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

หนัง ไทยดีๆ เรื่องนี้เป็นฝีมือของสองประสาน วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และ ก้องเกียรติ โขมศิริ เคยดูผลงานของสองคนนี้จากเรื่อง เฉือน ครั้งนั้นคุณก้องเกียรติกำกับ คุณวิศิษฏ์ไปช่วยเขียนบท
ในเรื่องนี้กลับกัน

เค้าโครงเรื่องได้รับแรงบรรดาลใจจากนิยายสยองขวัญของครูเหม เวชกร ที่ผู้กำกับกลัวมากเมื่ออ่านตอนเด็กๆ

หนังทำได้น่ากลัว ค่อยๆ เฉลยอย่างมีชั้นเชิง น่าติดตามดีแท้
ไม่แปลกใจเลยเมื่อชวยคุยเรื่องหนังไทย จะมีชื่อหนังเรื่องนี้มาให้รับรู้อยู่เรื่อยเลย

ดนตรี เพลงประกอบ บรรยากาศ ทำได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

นักแสดงก็แสดงดีมาก

เสียดายที่ผมไม่ค่อยชอบหนังผี และเมื่ออยู่คนเดียว ยิ่งทำให้น่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก

หนัง สอนหลักศาสนาพุทธได้ตรงจุด เมื่อนางเอกเอาจิตไปผูกไว้กับเรื่องการตามหาสามี เธอก็จะวนไปเจอเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วเธอไม่ใช่คนแล้วยิ่งแก้ยากใหญ่

เรายังเป็นมนุษย์ยังมีโอกาสก้าวข้ามเรื่องที่เราเคยพลาดจิตเกิด เอาจิตไปผูกไว้ได้ พยายามเข้านะครับ
เคยจิตเกิดกับเรืื่องไหน กับใคร เอามาเป็นครู หากผ่านไปได้ ไม่จิตเกิด ได้บุญทัั้งคู่ครับ
ที่ดีกับเราที่สุดคือไม่ต้องเกิดมาเจอกับเรื่องเหล่านั้นอีก

เป้าหมายชีวิตคือจิตไม่เกิด
ไม่ง่ายแต่ต้องเริ่มวันนี้ครับ
หรือจะรอให้เวียนมาเจอแล้วเจออีก
ผมว่าเจอครั้งเดียวก็พอแล้วครับ

หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนที่เจอเรื่องจนจิตเกิด แล้วจบชีวิตตัวเอง หมดโอกาสทดสอบเพื่อก้าวข้ามเลย
การฆ่าตัวตายจึงเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำในชีวิตนี้
หากยังอยากต้องการหลุดพ้นจากวังวน
ไม่ต้องรีบตายหรอกครับ ได้ตายทุกคน

นับว่าเป็นหนังไทยชั้นดีอีกเรื่องหนึ่งเลย ลงตัวแถมให้แนวคิดดีๆ อีกด้วย

ชื่อสองประสาน วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และ ก้องเกียรติ โขมศิริ คงเป็นชื่อที่ต้องติดตามกันต่อไป

ผมรักหนังไทยครับ

Aftershock

ปมก้อนใหญ่ของใครบางคน

ระดับความชอบ : 9.5/10

หนังจีนเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก ไปดูที่ลิโด้ ว่ากันว่าน้ำตาท่วมโรงเลยทีเดียว

เปิดเรื่องด้วยภาพความอบอุ่นของครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกฝาแฝดต่างเพศ ผู้หญิงเป็นพี่
แล้วก็เกิดแผ่นดินไหวในเมืองถางชานในปี 1976 พ่อเสียชีวิต ลูกสองคนติดอยู่ใต้ซากตึก
เด็กทั้งสองคนถูกทับด้วยแผ่นคอนกรีตเดียวกัน คนช่วยเลยให้แม่เลือกว่าจะช่วยคนไหน คุณแม่ร่ำร้องให้ช่วยทั้งคู่
สุดท้ายแม่เลือกลูกชาย โดยลูกสาวก็ได้ยินสิ่งที่แม่เลือก เมื่อช่วยออกมาได้ แม่อุ้มศพลูกสาวมานอนใกล้ศพพ่อ แม่คิดว่าลูกคงตายแล้ว

แต่เธอไม่ตาย ปมที่แม่ไม่เลือกเลยติดในหัวเธอตลอดเวลา ซึ่งน่าสงสารเธอมาก
เมื่อเธอพลาด ท้องตอนเรียน เธอเลยเลือกที่จะเอาลูกไว้ ยอมทิ้งทุกอย่าง คงไม่อยากให้ลูกไม่ถูกเลือก เหมือนเธอ

เข้าใจความรู้สึกคุณแม่ในตอนนั้นเลยครับ
แล้วปมนี้ก็อยู่กับคุณแม่มาตลอดเช่นกัน
ทุกปีใหม่แม่จะเผากงเต๊กและบอกทางบ้านใหม่ให้สามีกับลูกสาวเสมอ และเธอไม่ยอมย้ายจากบ้านเล็กๆ หลังนั้น กลัวสามีกับลูกจะหาไม่เจอ

มุกมะเขือเทศที่บอกว่าแม่ไม่เคยลืมสัญญากับลูกนี่จุกอกดีจังเลยครับ แม่เป็นอรหันต์ของลูกๆ จริงๆ

ฉาก ที่คุณย่าให้ลูกชายลงจากรถเมล์มาสู่อ้อมกอดแม่ สุดยอดเลยครับ ไม่รู้ใครเก่ง ผู้กำกับ นักแสดง หรือความเป็นแม่ แต่เธอวิ่งเข้ากอดลูกไม่คิดชีวิตเลยครับ

ฉากคุณแม่เจอลูกสาวหลังจาก 32 ปีผ่านไป ซึ้งสุดๆ คุณแม่ทำในสิ่งที่คิดไว้ ได้ปลดล็อคหัวใจ คงเป็นความสุขที่สุดของคนเป็นแม่นะครับ

ความรักแท้จริงของสามีภรรยาสองคู่ ที่มั่นคง มีให้ชมในหนัง รักแท้ๆ ดีๆ มีอยู่ในโลกครับ

กิจกรรม มาเป็นอาสาสมัครช่วยคนนี่น่าทำมากครับ เช่นตอนแผ่นดินไหวที่เสฉวน นางเอกตัดสินใจมา เลยได้ปลดล็อคหัวใจที่มีมาตลอดชีวิต อานิสงส์ของการทำดีทั้งแม่แะลูกสาว

ปมในชีวิตบางคนมีอยู่จนตาย แต่บางคนโชคดีคลายได้ และชีวิตก็จะมีแต่ความสุข
ปมบางอย่างไม่ตั้งใจให้เกิดอย่างสถานการณ์ของคุณแม่ แต่หมั่นทำความดี อาจทำให้ได้คลายปมก่อนตายก็ได้ครับ
เรื่องบางเรื่องเกิดไปแล้ว ต้องปล่อยวาง ทำความดีไปเรื่อยๆ สักวันผลดีจะย้อนกลับมาหาเราเอง

เป็นหนังที่ดีมากๆ นักแสดงเล่นดีมากโดยเฉพาะคนเป็นแม่
ดูแล้วจะได้รู้ว่ารักของแม่ยิ่งใหญ่มาก
ขอกราบเท้าคุณแม่ครับ

อีก อย่างจากหนังเรื่องนี้บอกผมว่า อย่ากร่างกับโลกมากนัก หากเราทำร้ายโลกมากๆ จะถูกเอาคืนอย่างสาสม มนุษย์เป็นแค่เห็บที่มาเกาะโลกใบนี้เท่านั้น
ดีกับโลกไว้เถอะครับ แล้วเขาจะดีกับเราเอง

ยังดูได้ในโรงภาพยนตร์นะครับ
เตรียมผ้าเช็ดหน้าไปด้วยนะ น้ำตาไหลเพียบ

เป็นหนังอีกเรื่องที่ดีมากในชีวิตการชมภาพยนตร์

หาปมให้เจอ แล้วคลายมันเสียนะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Nobody Knows

อีกภาพของสังคมทุนนิยม

กำกับ : Hirokazu Koreeda
นำแสดง :
Yûya Yagira … Akira Fukushima
Ayu Kitaura … Kyoko
Hiei Kimura … Shigeru
Momoko Shimizu … Yuki
Hanae Kan … Saki
You … Keiko, the mother
ความยาว : 141 นาที
ระดับความชอบ : 8/10

เป็นหนังในดวงใจของหลายคน ส่วนใหญ่จะแนะนำมาพร้อมกับเรื่อง All about Lily Chou-Chou ประมาณว่าดูสองเรื่องนี้จบจะเหงาไปร่วมอาทิตย์

เรื่อง นี้เป็นเรื่องราวในโตเกียว คุณแม่ลูกสี่ย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นที่ใหม่ โดยพาลูกชายวัย 11 ขวบมาคนเดียว ส่วนลูกอีก 3 คนใส่กระเป๋าเดินทางส่งมา เนื่องจากอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้พักจากเจ้าของได้หากเห็นเด็กๆ มากขนาดนี้

เด็กๆ ทั้งสี่คนล้วนต่างพ่อกัน ไม่ได้เรียนหนังสือ คุณแม่ยังเสเพลดื่มเหล้าเมามายตลอด จนสุดท้ายทำในสิ่งที่นึกไม่ถึงคือ ทิ้งลูก

แล้ว สี่ชีวิตในเมืองใหญ่ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ พี่ชายหาทางให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัวทุกวิถีทาง แต่ก็ทำได้ตามกำลังของเด็ก 11 ปีจะทำได้

สุดท้ายเจอเด็กหญิงวัย เดียวกันที่เข้ามาสุงสิงที่ห้องของสี่ชีวิตบ่อยๆ เธออาสาหาเงินให้โดยไปร้องคาราโอเกะกับผู้ใหญ่ แล้วนำเงินมาให้พระเอก พระเอกปฏิเสธที่จะรับ แล้วก็วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง เพื่อให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ชอบฉากนี้นะ ได้อารมณ์ดี

เมื่อนานวันเข้าก็เกินกำลังของเด็กๆ จะหาเลี้ยงตัวเองได้ บ้านก็รกมาก น้ำก็ถูกตัด ชีวิตช่างเลวร้าย
แล้วฉากจบก็ไม่มีอะไรในชีวิตที่ดีขึ้นจนหนังจบไป

หนังสอนอะไรเราบ้าง หากเรารักจะมีชีวิตสนุก ป้องกันเรื่องการมีลูกเถอะครับ น่าสงสารเด็กๆ มาก เขาน่าจะมีชีวิตดีๆ จากน้ำมือพ่อแม่ครับ

สังคม ปัจจุบันทำให้คนเราทำในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หลายครั้งเมื่อได้ข่าวเรื่องของคนไม่ดี ก็ได้แต่คิดว่าทำตัวเองให้ดีเถอะครับ แล้วเมื่อถึงยุคที่ต้องล้างโลก เราจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกองค์ ถ้าเราดีพอ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจะเลวลงๆ แค่เราอย่าเอาใจไปผูก หมั่นสร้างความดี ยกระดับเราขึ้นมาให้ได้นะครับ

โลกมีคนเลวพอแล้ว เว้นเราซักคนเถอะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

Link ที่เกี่ยวข้อง : หนังในดวงใจ

Living Proof

เกิดมาทั้งที เพื่อ…

กำกับ : Dan Ireland
นำแสดง : Harry Connick Jr., Paula Cale, Angie Harmon
ความยาว : 91 นาที
ระดับความชอบ : 9.5/10

Denny Slamon เป็นคุณหมอที่ทำงานวิจัยยารักษาโรคมะเร็งเต้านมที่ UCLA อเมริกา
คุณหมอเป็นนักวิ่งมาราธอนด้วย
ทดลอง มาได้ซักระยะ บริษัทยาก็หยุดการสนับสนุนเงินทุน แต่เพื่อนของครอบครัวนี้ก็จัดงานการกุศลหาเงินทุนมาช่วยให้โครงการนี้ดำเนิน การต่อได้

ในหนังแสดงให้เห็นความทุกข์ของคนที่เป็นมะเร็งเต้านมอย่างชัดเจน คนรอบข้างของพวกเธอพลอยเป็นทุกข์กันถ้วนหน้า
คุณหมอที่รักษาต่างก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
เมื่อใช้คีโม ผลที่ตามมาจะหนักหน่วงมากสำหรับคนที่ได้รับการบำบัด มึนศรีษะ อาเจียน เป็นเรื่องปกติ จนหลายคนหันหลังให้กับการทำคีโม

แล้วเมื่อมีทางเลือกกับยาที่กำลังทดลอง เฮอร์-2 ทุกคนก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ยาเพาะเชื้อในหนู เมื่อเอามาฉีดในคนเป็นครั้งแรกก็มีมุกให้คุณหมอต้องวิ่งแล้วไปหัวเราะ

เมื่อทดลองด้วยทุนที่หาเองเริ่มได้ผล บริษัทยาที่เคยตัดงบสนับสนุนก็หวนกลับมา
และ เพื่อให้ผ่านการรับรองยาตัวนี้ ขั้นตอนมากมาย อุปสรรคหลากหลาย และบางครั้งต้องตัดใจไม่รักษาบางคนต่อ เพื่อการใหญ่ ผ่านการรับรองตัวยา

เมื่อปฏิเสธคนไข้ คุณหมอต้องมาร่ำไห้ที่บ้าน
“You are my long distance runner” เป็นคำที่ศรีภรรยาใช้ให้กำลังใจสามี
ฉากนอนในเปลสองสามีภรรยา ดีจริงๆ ครับ
คงทำการใหญ่ไม่ได้หากหลังบ้านไม่ดี

คุณหมอดูแลตัวเองและวิ่งสม่ำเสมอเลยครับ
แม้หนทางจะไกลคุณหมอก็พร้อมจะวิ่ง ท่านทำเพื่อผู้หญิง 40,000 คนต่อปี ขอชื่นชม

หนึ่งชีวิตเกิดมาแล้วได้ทำเพื่อผู้อื่นอย่างนี้ เป็นชีวิตที่มีคุณค่าจริงๆ ครับ
เหมือนชื่อหนังที่ว่า บทพิสูจน์ของการมีชีวิตอยู่ ตอบคำถามที่ว่า เกิดมาทำไม?
การได้รับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นการลดอัตตาของตัวเองได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ

หนังเรื่องนี้คุณหมอควรจะได้ดู เพราะอาชีพนี้ช่วยคนได้เป็นล่ำเป็นสัน ก็อย่าให้เสียโอกาสทำความดีนี้นะครับคุณหมอทั้งหลาย

มีความสุขทุกคนครับ

Link ที่เกี่ยวข้อง : The doctor ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้

Tokyo Tower : Mom and Me, and Sometimes Dad

รักของแม่ ยิ่งใหญ่มาก

ระดับความชอบ : 9.5/10

ตั้งใจจะดูหนังเรื่องนี้ในช่วงวันแม่ เพราะสรรพคุณที่ได้รับทราบมาเหมาะเหลือเกิน
หนังได้รับห้ารางวัลในประเทศญี่ปุ่น

เป็นเรื่องของแม่ที่อดทนและรักลูกมากๆ ซึ่งเป็นของคู่กันกับแม่ทุกคน
เป็นหนังสือมาก่อนครับเรื่องนี้

หนังเปิดเรื่องด้วยการแยกทางของแม่จากพ่อขี้เมา แม่พาลูกชายออกจากโตเกียวไปอยู่บ้านเกิด
จนลูกต้องเข้าโรงเรียนเลยส่งลูกกลับมาโตเกียวอีกครั้ง ตอนนั้นอายุ 15 ปี
แล้วลูกก็หักอกแม่ด้วยการเรียนไม่จบ แต่ก็ยังดีที่โทร.บอกแม่
แม่ขอร้องให้เรียนจนจบ ลูกก็เลยกลับไปเรียนจนได้รับปริญญา ซึ่งถือว่าลูกตัดสินใจถูกอย่างยิ่ง เพราะใบปริญญานั้นสำคัญกับแม่มาก

แม่ทำงานหนักเพื่อส่งลูกเรียนมาโดยตลอด จนลูกอายุ 30 ปี คุณแม่เป็นมะเร็ง ลูกเลยชวนแม่มาอยู่โตเกียวด้วยกัน
ชอบฉากที่คุณแม่ถามแล้วถามอีกว่าจะให้แม่มาอยู่จริงเหรอซ้ำกันหลายครั้ง อารมณ์ดีใจบวกกับฉงนมีมาจากแม่อย่างเห็นได้ชัด
คนที่แสดงเป็นแม่แสดงดีมากเลย เป็นธรรมชาติมาก รู้สึกจะได้รางวัลดารานำหญิงในประเทศญี่ปุ่นปี 2008 ด้วยนะครับ

หลายฉากทำให้นึกถึงแม่ เช่น ฉากจูงมือแม่ข้ามถนน ปลื้ม ต้องทำบ้างแล้ว ไม่ค่อยได้จูงมือแม่ แต่ได้นอนกอดแม่ในเดือนนี้
ดูหนังจบรีบโทร.คุยกับแม่เลย

Tokyo Tower มีให้เห็นในหนังเป็นระยะๆ ครั้งแรกเห็นในรูปถ่ายคุณพ่อ
ต่อ มาตอนแม่มาอยู่โตเกียวในตอนแก่ เป็นจุดที่สัญญาระหว่างแม่กับลูกที่จะขึ้นไป เสียดายที่แม่จากไปเสียก่อน น่าจะได้พาขึ้นไปตอนมีชีวิตอยู่นะ

ชอบการเขียนจดหมายให้ลูกของแม่ และให้เปิดหลังจากแม่เสียแล้ว
ในจดหมายบอกความรู้สึกแม่จนหมด
แม่ไม่ต้องการอะไรมากหรอกครับ แค่ได้อยู่ใกล้ลูก ได้ความรักจากลูก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ประเด็นการรักษาโรคมะเร็งก็ยังคาใจเสมอ ว่าจะรักษาแบบไหนดีนะ ทรมานแต่อาจรอด หรือมีความสุขแต่อายุจะสั้นลง

สรุปว่าหนังดีมาก สมควรจะเอามาชมในเดือนแม่เป็นอย่างยิ่งครับ
ดูจบจะคิดถึงแม่ แล้วอย่าลืมทำอะไรดีๆ เพื่อท่านบ้างนะครับ
เพราะท่านรักเรามากเหลือเกิน

ขอกราบเท้าคุณแม่ครับ

นาคปรก

ห่มผ้าเหลืองไม่รู้เรื่องธรรมะ

กำกับ : ภวัต พนังคศิริ
นำแสดง : สมชาย เข็มกลัด, เร แม็คโดแนลด์, อินทิรา เจริญปุระ, สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์
ความยาว : 93 นาที
ระดับความชอบ : 8.75/10

ได้ ยินหนังเรื่องนี้จากน้องแอมป์ ลูกสาววัยสิบขวบที่มาเล่าเรื่องและตบท้ายว่า “…แต่ที่เด็ดที่สุดเลยพ่อต้องคำนี้ ศาสนาไม่เสื่อม แต่คนเสื่อม” สนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
อ่านเจอในนิตยสารสีสันว่าเรื่องนี้ต้องผ่านการ เซ็นเซอร์ร่วมสามปี ยิ่งน่าสนใจ ผู้กำกับบอกว่าไม่ได้ลบหลู่ศาสนา แต่ตั้งใจจะจรรโลงศาสนา

คนไทยนับถือศาสนาพุทธมาช้านาน แต่เอาแนวทางมานำชีวิตอย่างจริงจังมากน้อยขนาดไหนกันนะ?

เมื่อ เจอสิ่งเร้าหรือบททดสอบหนักๆ อย่างเช่นเงินทองจำนวนมากๆ แม้แต่คนที่บวชในพุทธศาสนาที่ภูมิคุ้มกันไม่ดีพอก็ไม่อาจต้านทานได้เหมือน กัน นับประสาอะไรกับปุถุชนธรรมดาที่จะไม่หวั่นไหว หรือยอมเปลี่ยนตัวเองแม้ในทางที่ผิด เพื่อเงิน

แต่สุดท้ายทุกคนก็หนีผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ไม่พ้นครับ
ตอน แรกยังงงกับที่หลวงพ่อชื่นพูดถึงเรื่องปลงอาบัติหลายครั้งก็คงไม่ดีขึ้น ตอนท้ายของเรื่องเลยเข้าใจ เรื่องบางอย่างทำผิดไป เมื่อคิดได้ก็สำนึกแล้วรีบทำดีมาเจือจาง ลืมเรื่องร้ายๆ ไปเสีย
ครูบา อาจารย์เคยสอนว่าทำบาปดั่งก้อนเกลือ เมื่อทำแล้วก็อยู่อย่างนั้น การทำดีดั่งน้ำ หากทำดีมากเท่าไหร่ก็จะมาเจือจางก้อนเกลือนั้น ให้ความเค็มลดลงตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น
ที่สำคัญคืออย่าสร้างเกลือก้อนใหม่ นั่นคือหยุดทำความชั่วนั่นเอง

ตัวอย่างของคนที่หยุดกรรมชั่วได้ในเรื่องนี้คือโจรผู้น้อง ปอ แต่ก็ต้องแลกด้วยการสูญเสียพี่ชาย และการติดคุก 4 ปี
สุดท้ายก็ตัดสินใจมุ่งไปในทางสายเอก อดีตเป็นไงช่างมัน ปัจจุบันคือพระสงฆ์ที่มุ่งสู่นิพพาน และได้ทดแทนบุญคุณแม่อย่างน่าปลื้มใจ
ผิดกับทิดชื่นที่แม้จะอยู่ในฐานะพระสงฆ์ในตอนแรก แต่ไม่อาจต้านทานกิเลสได้ ชีวิตก็ลงเอยตามที่เลือกเอง

พุทธ พจน์ที่พระปอสวนทิดชื่นช่างถูกใจ ไม่แปลอีกต่างหากในหนัง แต่เป็นคำที่โรงเรียนลูกสาวใช้เป็นคำเตือนใจนักเรียน เลยไปถามคำแปลจากลูกเอา
นสิยา โลกวัฑฒโน…..อย่าเป็นคนรกโลก
คือพุทธพจน์นั้น

หนัง ดีมากครับ แต่สื่อตามรายทางน่ากลัวจะถูกคนหาว่าลบหลู่ศาสนาได้ แต่ในชีวิตจริงมีพระดีๆ จริงๆ มากน้อยขนาดไหน เราคงพอรู้ ไม่ต้องปล้นเอาเหมือนโจรในเรื่องหรอกครับ บวชตามพิธีกรรมแบบทิดชื่นนี่แหละ หลายๆ พรรษานี่แหละน่ากลัว
แต่ก็ไม่ใช่ว่าพระดีๆ จะไม่มีครับ มีอยู่เยอะทีเดียว เลือกสัมผัส และรับแนวทางของพุทธศาสนามาปรับใช้กับชีวิตให้มากที่สุด
อย่า มัวไปสนใจพระไม่ดี พยายามหลีกเลี่ยง อย่าเอาจิตไปผูก มาเร่งปฏิบัติตัวเองให้ดีดีกว่า หรือหากอยากได้พระดีๆ เพิ่มขึ้น กรุณาไปบวชเสีย อาจารย์วรภัทร์เคยบอกไว้เพื่อลดเสียงบ่นว่าไม่แต่มีพระดีในปัจจุบัน

กา ลามสูตรยังจำเป็นเสมอในการใช้ชีวิต อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ หากยังไม่ได้ตรึกตรองหรือลองทำ แม้จะห่มผ้าเหลืองก็ตาม ห้ามเชื่ออย่างขาดสติ เพราะวันนี้ต่างจากเมื่อวานเสมอ สิ่งไหนดี ไม่เดือดร้อนคนอื่นและตัวเรา ก็น้อมนำมาใส่ตัว แค่นี้จะดูหนังเรื่องนี้ได้แก่น

ขอชื่นชมผู้กำกับและทีมงานที่สร้างหนังเรื่องนี้ออกมา ยืนยันว่า ทุกคนเป็นไปตามกรรม
แต่ ผมว่าน่าจะมีเนื้อเรื่องแบบอื่นที่จะสื่อ พระแบบพระสิงห์มีเยอะพอแล้ว ไม่ต้องเอามาตอกย้ำก็ได้ อาจทำให้กระเทือนคนดูบางกลุ่มได้ ตายไปคงมีทางเลือกทางเดียว
พระปานนี่ไม่แน่ใจว่าตายแล้วจะไปไหน แต่แนวโน้มจะไปที่เดียวกับพระสิงห์

โดยรวมชอบเนื้อหาหลักที่สื่อสารออกมา
คนเราทำอะไรก็ได้อย่างนั้นแหละครับ
ชีวิตเรา เรากำหนดเองได้ครับ ว่าจะตามกระแสกิเลสหรือว่ายทวนน้ำ
ลองเลือกกันดูนะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

ปล. สมัคร Thailand Blog Awards 2010 ไว้ อ่านแล้วถูกใจ อย่าลืมไปโหวตให้ด้วยนะครับ
Me in Thailand Blog Awards 2010