Entries Tagged 'หนังสือ' ↓

ปุชิตา

ยอดเยี่ยมครับพี่ต้อ

ผู้เขียน : บินหลา สันกาลาคีรี
สำนักพิมพ์ : วงกลม
จำนวนหน้า : ๔๑๐ หน้า
ราคา : ๒๘๐ บาท
ระดับความชอบ : ๑๐/๑๐

เป็นเล่มที่เพื่อนๆ หลายคนใน Blog มักจะพูดถึงบ่อยมากเมื่อพูดถึงนักเขียนคนนี้ บินหลา

ผมอ่านผลงานของบินหลามาแล้วสามเล่มคือ เจ้าหงิญ, คิดถึงทุกปี และ หลังอาน นอกจากเล่มแรกที่ไม่ค่อยโดน อีกสองเล่มอ่านแล้วชอบมากเลย
มาอ่านปุชิตา ชอบสุดๆ เลยครับ
บินหลาเขียนได้ไหลลื่น สนุก มีลูกล่อลูกชน บทจะหวานในช่วงมีความรักก็น่ารักดีเหลือเกิน เก่งจังเขียนได้ขนาดนี้

เนื้อ เรื่องเกิดในประเทศสมมติ คีรีสถาน ตัวเอกเกิดการจับพลัดจับผลูของเข้าไปพัวพันในเหตุการณ์ความไม่สงบของประเทศ นี้ จนเกิดรักระหว่างรบ

ปุชิตาเป็นชื่อเจดีย์ในประเทศคีรีสถาน แต่เป็นเจดีย์ที่ชาวสิงขรชนกลุ่มน้อยในประเทศนี้สร้างไว้ ประมาณว่าเอาไว้ไถ่บาปของผู้สร้าง จึงต้องสร้างให้สูงเท่านกเขาเหิร อารมณ์เดียวกับพระปฐมเจดีย์ในไทย
และปุชิตาเจดีย์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในประทศสมมตินี้ และนำมาเป็นฉากสำคัญในเรื่อง

อ่านเรื่องนี้ทำให้สนใจอยากอ่านมหาภารตยุทธ อันมีตัวละครเอกคือพี่น้องปาณฑพ ๕ คน ได้แก่ ยุธิษเฐียร, ภีมะ, อรชุน, นกุล, สหเทพ
โดยทั้งห้าชื่อนี้นำมาเป็นชื่อของตัวละครในปุชิตาด้วย
ชอบ ตอนอรชุนเปลี่ยนชื่อเป็นภีมะ เพื่อต้องการเปลี่ยนแนวการดำเนินชีวิต ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ชาญฉลาด จากคนเก่ง ไม่ทำสงคราม มาเป็นคนแข็งกระด้าง และชอบการต่อสู้ เพราะพี่ชายตายไปในการปฏิบัติการ

เสน่ห์ ของนิยายเล่มนี้นอกจากเรื่องความรักของตัวละครแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือการหักมุมในช่วงท้าย ทั้งการแสดงตัวตนแท้จริงออกมาของนายพลสงเสป ทีแนบเนียน โหดเหี้ยมมาก การเจรจาโดยใช้การข่มขู่และสวมรอย ทำได้เนียน แต่สุดท้ายก็มาเฉลยทั้งหมดภายหลัง
ไม่แปลกที่ตอนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสาร จะได้รับการติดตาม จนเกิดเป็นกระแสในช่วงนั้น คาดเดากันว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรในตอนต่อไป

อ่านสนุกมาก มีรอยยิ้มเป็นระยะๆ ลุ้นในหลายฉากหลายตอน

น่าอ่านเป็นอย่างยิ่งครับเล่มนี้ ใครอ่านแล้วชอบตรงไหน บอกกันบ้างนะครับ

เป็น หนังสือในดวงใจ เล่มล่าสุดเลยครับ

มีความสุขทุกคนครับ

ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน “ตัน โออิชิ”

ผู้เรียบเรียง : สรกล อดุลยานนท์, วทัญญู รณชิตพานิชยกิจ
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : ๒๐๖ หน้า
ราคา : ๑๕๕ บาท
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

เล่มนี้เป็นหนึ่งในสี่ที่หนุ่มเมืองจันท์แนะนำให้แก่นักศึกษา สามเล่มก่อนที่อ่านและเขียนถึงไปแล้ว คือ หลังอาน, หนังสือชุดคุยกับประภาส และ ความฝันโง่ๆ

เมื่อได้อ่านเล่มนี้ก็ทำให้หมดสงสัยเกี่ยวกับแคมเปญต่างๆ ของโออิชิที่ออกมาได้น่าสนใจมาก คุณตันคิดเรื่องแบบนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วครับ

เล่มนี้เป็นประวัติของคุณตัน ภาสกรนที โดยคนเรียบเรียงก็ใช่ใครที่ไหน หนุ่มเมืองจันท์นั่นแหละครับ

คุณ ตันเป็นคนที่คิดสม่ำเสมอ ประเมินเรื่องต่างๆ อย่างมีเหตุผล การทำธุรกิจทุกอย่างต้องมั่นใจ และไม่เป็นแฟชั่น เช่น ชาไข่มุก ที่มีคนมาชวนหลายครั้ง แกก็ไม่ทำ เพราะเห็นว่าเป็นแฟชั่น อยู่ไม่นาน
แต่ กับธุรกิจถ่ายภาพแต่งงาน ที่ทำเพราะถามเพื่อผู้หญิงว่า “แหวนเพชรกับรูปแต่งงาน อยากได้อะไรมากกว่ากัน?” เพื่อนตอบว่า “แหวนเพชรก็อยากได้นะ แต่รูปแต่งงานอยากได้มากกว่า เพราะชีวิตนี้มีครั้งเดียว” เท่านั้นแหละครับ มั่นใจ หาข้อมูลทันที วิธีหาข้อมูลคือเข้าไปคุยกับผู้รู้ครับ เรื่องถ่ายรูปก็ไปถึงแหล่งเลย ไม่ว่าไต้หวัน สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย คุยๆ แล้วก็คุย จนทำให้มั่นใจ ร้านถ่ายรูปแต่งงานเลยเกิดขึ้นมา
แคมเปญต่างๆ ก็ออกมามากมายในช่วงนั้น

อีก ช่วงที่ประทับใจคือธุรกิจแรกนั่นคือร้านขายหนังสือที่ท่ารถทัวร์เมืองชล ไม่มีประสบการณ์เลย แต่หมั่นถามจนรู้ว่าจะต้องซื้อหนังสืออะไรมาบ้าง แต่หนังสือ Lot แรกเสียหายจากน้ำฝนไปหมด ก็ไม่ท้อ ไปซื้อมาใหม่จนได้เปิดร้านหนังสือ
ที่โดนมากๆ คือ Service Mind ลูกค้าคนไหนชอบอ่านหนังสือเล่มไหน ชื่ออะไร คุณตันรู้หมด ลูกค้าคนนั้นเดินมา เตรียมนิตยสารเล่มนั้นไว้เลย ในฐานะคนซื้อหนังสือ ขายแบบนี้รักตายเลยครับ
ความขยันไม่ต้องพูดถึง เวลาว่างก็เอาหนังสือพิมพ์ไปขายบนรถทัวร์ รู้จักสังเกตทุกอย่าง จนขยายกิจการร้านเป็นร้านเครื่องเขียน จนกระเป๋าที่ร้านคุณตันแจกกลายเป็นของที่วัยรุ่นในชลบุรีต้องมีในยุคหนึ่ง ช่างเป็นคนที่มีหัวด้านนี้จริงๆ

อีกเรื่องคือเป็นคนที่คิดไว และ ซื่อสัตย์ โดนช่วงฟองสบู่แตกเหมือนกัน แต่หั่นบางส่วนมาใช้หนี้อย่างสม่ำเสมอ จนเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคาร จนกลับมากู้ธนาคารเดิมได้ด้วยความเต็มใจ

การคบคน การหมั่นให้ความรู้กับพนักงานในทีม ดูแลพนักงาน ให้เขามาเป็นหุ้นส่วนในบริษัทให้ได้ มีให้เห็นหมดครับ ในชีวิตผู้ชายคนนี้

การหาทางในธุรกิจก็คิดได้เสมอ เปิดโออิชิ เพราะคุณพ่อเพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่าเคยทานแบบนี้ที่อเมริกา
เมื่อเปิดแล้วก็เอาข้อมูลมาดูว่าชาเขียวขายดีสุด ก็เลยตัดสินใจทำชาเขียวขาย

ทุกครั้งที่ทำเขาทำเต็มที่ครับ ไปแต่เช้า กลับหลังคนอื่น ไม่เคยปฏิเสธงาน

จุด เด่นอีกอย่างคือ Spider marketing เหมือนที่เป็นรูปในหน้าปก นั่นคือเอาธุรกิจที่เริ่มแข็งแรงแล้วมาช่วยธุรกิจเปิดใหม่ เช่น แจกบัตรโออิชิ ในร้านถ่ายรูป เพราะร้านถ่ายรูปเริ่มไปได้แล้ว และก็มีเทคนิคในการแจก เพราะต้องกำหนดให้หมดเขตภายในหนึ่งสัปดาห์ ตามนิสัยคนไทยที่จะทานเมื่อใกล้หมดเวลา

อ่านแล้วจะหมดสงสัยในชีวิตของชายคนนี้
ไม่ประมาท และเป็นคนดี เป็นสองข้อคิดที่ได้ยินจากทีวี

เหมาะแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ หนังสือเล่มนี้ ได้อะไรเยอะเลย

ลับแล, แก่งคอย

แก่งคอยรำลึก

ผู้เขียน : อุทิศ เหมะมูล
สำนักพิมพ์ : แพรว
จำนวนหน้า : ๔๔๘ หน้า
ราคา : ๒๗๕ หน้า
ระดับความชอบ : ๙/๑๐

To: uthi...@yahoo.com
Sent: Wednesday, December 02, 2009 8:50:05 PM

เรียน คุณอุทิศ เหมะมูล
ผมเคยทำงานที่โรงปูนแก่งคอยเป็นเวลาหกปีก่อนย้ายมาทำงานกรุงเทพฯ ผมย้ายมาที่แก่งคอยเดือนมิถุนายน ๒๕๔๕ จน เมษายน ๒๕๕๒ ถึงย้ายจากไป

ตั้งใจ จะบันทึกเรื่องราวประทับใจต่างๆ ขณะใช้ชีวิตที่แก่งคอย ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ผมทำงานแล้วมีความสุขมาก คนที่นี่รักกันมาก ในบ้านพักรู้จักกันทุกบ้าน เย็นๆ ตั้งวงเหล้ากัน เข้าไปแจมได้หมด
การสั่งงานที่นี่ก็มาจากวงเหล้า นี่แหละครับ เป็นช่วงก่อนเมาครับที่ยังเป็นการเป็นงาน ที่นี่เข้าทางมากเพราะปรัชญาโกวเล้งติดใจเสมอ “ข้าพเจ้าไม่ได้ชอบรสชาติของสุรา แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศในวงสุรา”

จนตอนนี้ก็ยังเขียนไปไม่ถึงไหนเลย
แต่มาอ่านนิยายเล่มนี้ของคุณ อย่างน้อยก็ทำให้ภาพรำลึกของแก่งคอยเห็นชัดขึ้นครับ

โรงเรียนแสงวิทยาในตลาดได้ผ่านประจำเลยครับ วันก่อนผ่านไปยังเห็นรูปคุณอยู่หน้าโรงเรียนเลย

โดยส่วนตัวจึงชอบส่วนที่เล่าเรื่องแก่งคอย และโรงปูนครับ เพราะใกล้ตัว อ่านส่วนนี้ไปก็ยิ้มไป น่าจะเป็นชีวิตคุณบางส่วนด้วยสินะ
ส่วนเรื่องต้นแหน ลองถามพี่ๆ ที่ใกล้เกษียณเขาก็เล่าแบบเดียวกัน ว่าเคยมี และโดนถนนตัดผ่านไปหมดแล้ว เหมือนที่คุณเล่าไว้

น้องใน Blog บอกว่าคุณชอบดูหนัง เลยเล่าเรื่องเป็นฉากๆ เหมือนหนัง ผมเห็นด้วยครับ
ว่า แต่มีหนังในดวงใจไหม? บอกกันบ้างสิครับ ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amp-atom&month=10-2007&date=09&group=2&gblog=45
น้องคนนี้แหละชอบเล่มนี้มาก เขียนถึงเสียน่าอ่าน ออกปากขอยืมก็ไม่ได้ เพราะให้คนอื่นยืมไปเสียแล้ว
เลยต้องซื้อเลย

ปกติผมจะไม่ค่อยนิยายที่กำลังดังครับ แต่เล่มนี้ของคุณอ่านในปีที่ได้รางวัลเลย เพราะทนแรงเชียร์ไม่ไหว แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

มี อีกเรื่องที่ชอบคือทำให้หวนรำลึกชีวิตในวัยเยาว์ของผมเหมือนกัน ของขวัญหลังพ่อแม่ผมเมื่อกลับจากตลาด เป็นการ์ตูนเล่มละบาท หรือถ้าพิเศษหน่อย จะเป็นเล่มละห้าบาท และคุณลุงปรีชา ทรัพย์โสภา นี่ ฟังทุกเช้าเลยครับ จนแกเสียชีวิตไปนั่นแหละ จึงอดฟัง เรื่องราวเราคงใกล้เคียงกันนะครับ นายลับแล

อ่านหนังสือจบแล้วก็มาอ่านบทวิจารณ์ของคุณจรูญพร ป. ในนิตยสารสีสัน ก็กระจ่างขึ้นถึงที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัว

โดยรวมก็ถือว่าคุ้มกับสองปีที่คุณทุ่มเทนะครับ ขอชื่นชม

แนว คิดที่ได้จากเรื่องนี้คือต้องไม่คิดว่าเราเป็นใหญ่ในทุกอย่าง แม้เราจะมีปมด้อยมามากเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องลืมมันให้ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบกับคนรอบข้างของเรา โดยเฉพาะลูกน้อยของเรา
หากเราทำพฤติกรรมเช่นใดไว้ ลูกของเราจะรับพฤติกรรมนั้นๆ ไปปรับใช้อย่างแน่นอน
ทำดีให้เด็กดู เหมือนที่เขาชอบว่ากันนั่นแหละดีที่สุด

ฝืนหน่อยนะครับ แต่ก็ต้องทำ

อ่านเล่มนี้คิดได้อย่างนี้ครับ

ว่าแต่ ลับแล นี่ ใช่คุณหรือเปล่าครับ?

ขอแสดงความนับถือ

โมโม่

อย่าบอกนะว่าคุณไม่มีเวลา

ผู้เขียนและวาดรูป : Michael Ende
ผู้แปล : ชินนรงค์ เนียวกุล
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน (ในเครืออัมรินทร์)
จำนวนหน้า : ๓๒๐ หน้า
ราคา : ๑๔๐ บาท (พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, ก.ย. ๔๔)
ระดับความชอบ : ๑๐/๑๐
เจ้าของหนังสือ : คุณนัทธ์

หากถามถึงวรรณกรรมเยาวชนในดวงใจผม จะมี ต้นส้มแสนรัก ที่ต้องอ่านครับเล่มนี้
จากนั้นจะมีจากฟากญี่ปุ่นเล่ม เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เล่มนี้ก็ชอบมาก
ส่วนเล่ม เจ้าชายน้อย ต้องใช้ความพยายามในการอ่านมากมายจึงจบได้ และแน่นอนว่า ไม่ประทับใจ

เล่ม โมโม่ นี้เป็นอีกเล่มที่อยู่ใน Waiting List มานาน ได้เห็นตัวเล่มครั้งแรกในห้องสมุดมารวย แต่ก็ยังไม่ได้ยืมมาอ่าน
จนวันหนึ่งถามยืมจากสหายทางการอ่าน คุณนัทธ์ และแน่นอนไม่ผิดหวัง

เล่ม หนาเหมือนกัน แต่อ่านสนุกจริงๆ อ่านครึ่งเล่มแรกบรรยายสรรพคุณของโมโม่ เด็กน้อยหัวหยิกที่มีความสามารถในการฟังอย่างมาก บางครั้งคนทะเลาะกัน มาคุยกันต่อหน้าโมโม่ ขุดคุ้ยกันจนเจอว่าทำไมถึงโกรธกัน ซึ่งจริงๆ เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันนั่นเอง ในครั้งนี้โมโม่ไม่ได้พูดซักคำ

หรืออย่างตอนจินตนาการของเด็กๆ ในการเล่นน้ำฝน กลายเป็นเรื่องล่องเรือท่ามกลางพายุอย่าสนุกสนาน

โม โม่จึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฟังที่ดีมาก วันก่อนไปอบรมสุนทรียสนทนาที่เชียงราย ลูกสาวเจ้าสำนักขวัญแผ่นดิน อาจารย์ณัฐฬส ชื่อว่า โมโม่ ผมถึงกับยิ้มเมื่อได้ยินชื่อ การตั้งชื่อครั้งนี้หวังจะให้เด็กน้อยเป็นผู้ฟังที่ดีเหมือนโมโม่ในเล่มนี้ ทำได้

ครึ่งเล่มหลังเป็นแฟนตาซีที่สนุกมาก แต่แฝงความหมายได้อย่างน่าชื่นชม กลุ่มโจรขโมยเวลาที่เข้ามาดำเนินการในเมืองนี้ช่างเหมือนปัจจุบันจริงๆ แสดงว่าในทุกยุคทุกสมัยคนที่บอกว่า “ไม่มีเวลา” มีอยู่เสมอ
ดังนั้นบุรุษสีเทาจึงยังทำงานอยู่เสมอ

เวลา น้อยเลยไม่สนใจสิ่งดีๆ รอบตัว มุ่งแต่สิ่งที่ตอบแทนความต้องการของตัวเราเท่านั้น จินตนาการของเด็กๆ การเล่นสนุกของพวกเขาก็จะเป็นเรื่องเสียเวลา หากเป็นเช่นนั้นเรากำลังฝากเวลาไว้กับกลุ่มบุรุษสีเทาแล้ว

อย่าเท ทุกวินาทีไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องหาจุดสมดุลในเรื่องต่างๆ ให้ได้ หากคิดไม่ออกว่าเรื่องอะไรบ้าง ในเรื่อง 7 Habitsฯ หัวข้อสุดท้าย Sharpen the saw ได้บอกไว้ ๔ ด้านที่ต้องสมดุล คือ
๑. ด้านร่างกาย ดูแลตัวเอง ทานอาหารที่มีประโยชน์หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
๒. ด้านหัวใจ ทำอะไรด้วยใจบ้าง เช่น เสพศิลปะ ดูแลครอบครัว ให้ความรักแก่คนรอบข้าง เพิ่มบัญชีออมใจส่วนตัว หรือแม้แต่ทำงานด้วยใจ ด้วยจิตว่าง
๓. ด้านสมอง หาความรู้ อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว ฝึกทักษะใหม่ๆ
๔. ด้านจิตวิญญาณ ทำสมาธิ ทบทวนตัวเองเงียบๆ เขียนบันทึก สวดมนต์ รับข้อมูลบำรุงจิตวิญญาณ

เหมือนเป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่เนื้อหาเปรียบเทียบ สะท้อนใจการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้ดี

แล้วคงไม่บอกว่า ไม่มีเวลา กับเรื่องสำคัญที่เราไม่ยอมแบ่งเวลามาให้กับมัน เช่น ครอบครัว, พ่อแม่ หรือสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิต

ก็โมโม่ปลดปล่อยเวลากลับให้คุณแล้วนี่

หรือว่าคุณเอาไปฝากกับสุภาพบุรุษสีเทาอีกแล้ว

ความทรงจำ…ระหว่าง…รัก ครั้งแรกกับหนังสือทำมือสำหรับผม

ได้ยินมานานแล้วกับหนังสือทำมือ สมัยก่อนตอนวัยละอ่อน เคยคิดว่าคือหนังสือที่เราเย็บเล่มเอง กล่าวคือมีเรื่องสั้นวางให้เลือก แล้วนำมาเย็บรวมเป็นหนังสือ ๑ เล่ม
หลังๆ เลยเริ่มรู้ว่าเป็นหนังสือแบบทำเองขายเอง

หนังสือทำมือเล่มนี้มีส่วนร่วมเพราะ คุณสายลมอิสระ หลังไมค์มาชวน เห็นโครงการเป็นการกุศลด้วย โดยช่วย กลุ่มเด็กรักป่า ที่จังหวัดสุรินทร์ของครูหน่อย อีกทั้งเป็น Blogger ใน GotoKnow ชื่อ ดอกแก้ว อ่านประวัติแล้วเคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวกับเขาด้วย รางวัลนี้รับประกันความดีได้ ที่เคยรู้จักคือจ่าวิชัยจอมปลูกป่า ที่เคยมาปลูกต้นไม้ที่โรงงานด้วย

บนปกโปรยไว้ว่า รวมเรื่องเล่าเบาๆ ของคนมีรัก
ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ความรักมีแง่มุมให้จดจำเสมอ

หลังจากเขียนเรื่องส่งไป คุณสายลมอิสระ ก็แจ้งความคืบหน้าเป็นระยะๆ
สั่งซื้อหนังสือไป ๔ เล่ม เมื่อได้รับเล่มนี้มา ก็แซงทุกคิวที่มีอยู่ อ่านแล้วทำให้รู้ว่าชาว Bloggang นี่ เขียนหนังสือน่าอ่านกันทุกคนเลย

บางคำโดนใจ ต้องจดเลย อย่างเช่น
ออกเดินทางไปอยู่บางที่…ไม่มีใครรู้จักเรา ได้มองสิ่งอื่นๆ บ้าง บางทีจะได้คิดถึงตัวเองน้อยลงจาก ……..A MERRY HEART LIVE ON ของ ::ไฮยาซินธ์::

ของ คุณสายลมอิสระ บก. ประจำเล่ม ก็ยิ่งตอกย้ำว่าทำไมถึงทำหนังสือเล่มนี้ออกมา จนตอนนี้เริ่มรู้จัก กลุ่มเด็กรักป่า มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังวางแผนจะพาลูกๆ ไปเข้าร่วมกิจกรรมอยู่เหมือนกัน เห็นคุณสายลมอิสระแนะนำกิจกรรมอุ้มช้างอาบน้ำ อยู่
อีกความคิดที่อ่านและพูดคุยกับคุณสายลมอิสระทาง MSN คือ เรื่องการให้ไต จริงๆ ผมเคยสัมผัสเรื่องการให้ไต มาครั้งหนึ่งแล้ว กล่าวคือพี่ในบริษัทที่รับไตข้างหนึ่งจากภรรยา ได้ยินแล้วทึ่งในความเสียสละ แต่ลึกๆ ต้องใช้โชคช่วยด้วย กล่าวคือได้ไตมาอาจใช้ไม่ได้ก็ได้นะครับ ต้องเข้ากันได้ด้วย แบบว่าต้องเป็นคู่แท้กัน
เคยเห็นในละครตอนเย็นเอามุกบริจาคไตมาใช้ด้วย น่าจะให้รายละเอียดหน่อยนะว่าไม่ง่าย และอาจไม่ได้ผล
เคยแซวภรรยาว่าหากเขาต้องการไต จะบริจาคให้ข้างหนึ่ง โดนตอบว่าไม่เอาหรอก หาว่าของเราสกปรกกว่า ดูซิคนอุตส่าห์จะทำซึ้ง (ฮา) แต่เชื่อว่าทำได้แน่นอน หากจำเป็น

ลองคิดเล่นๆ ไว้บ้างก็ได้นะครับว่า เราพร้อมจะบริจาคไตให้ใครได้บ้าง หรือกลับกัน จะมีใครบ้างไหมพร้อมจะบริจาคไตข้างหนึ่งให้เรา แล้วลองคิดต่อว่าเราจะรับไหมหากเสี่ยง และเป็นอันตรายต่อเขา คิดไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ประมาท เมื่อถึงเวลาจริงจะได้ไม่ต้องคิดนาน

มีสองเรื่องในเล่มที่เล่นกับความรักในสังคมที่เสื่อมโทรมทางจิตใจ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดในปัจจุบัน คือ ของ เมฆชรา และ ส.ปาลกะวงศ์ แต่เรื่องหลังจบดี สร้างสรรค์ แต่กลางๆ เรื่องแสดงสังคมที่เสื่อมโทรมได้ชัดจริงๆ

ถ้าถามเรื่องที่ชอบที่สุด เป็นเรื่อง หยาดโศกที่บึงบอด ของ ธีรวิชย์ วงศ์มุสิก อ่านแล้วเอาไปคิดต่อได้มากมาย โดยเฉพาะคำถาม “เราจะยังดื่มเหล้าอีกไหม?”

ส่วนผลงานของชาว Bloggang หากต้องเลือกที่ชอบที่สุด คงต้องยกให้ คุณสายลมอิสระ ในเรื่อง หนึ่งช่วง(ลม)หายใจ สะดุดสองประโยคเด็ด
เราไม่จำเป็นต้อง “รวย” หรือต้องรอให้มีเงินเหลือใช้จึงจะ “ให้” ผู้อื่นได้ เพียงแค่แบ่งปันในส่วนที่เราให้ได้ โดยที่เราไม่เดือดร้อน
ลมหายใจที่เหลืออยู่นับจากนี้ ฉันจะทำสิ่งใดและเพื่ออะไร เท่านี้ก็คงพอ กับชีวิตเล็กๆ ของฉันในโลกใหญ่ๆ ใบนี้

อ่านจบแล้วนึกถึงคำในหนัง The Polar Express ที่เพิ่งดูไป “มันไม่สำคัญหรอกว่ารถไฟจะไปไหน ที่สำคัญคือการตัดสินใจขึ้นรถไฟ”

ดีใจครับที่ได้ร่วมรถไฟขบวนนี้ที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุรินทร์

อีกเรื่องที่เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ คือ หากเจอหนังสือทำมือ ต้องพิจารณาซื้อเป็นลำดับแรก เพราะมันมีหัวใจคนทำซ่อนอยู่ในเล่มด้วย

ไม่ลองทำเองไม่รู้หรอกครับ เหมือนคนขับมอเตอร์ไซค์จะไม่รู้ว่าการขับกลางถนนอันตรายกว่าการขับข้างทาง ถ้าไม่เคยขับรถยนต์แบบนั้นเลยครับ

ปล.เล่มนี้มีให้ยืมในโครงการ Lend It Forward ด้วยนะครับ

ธุรกิจปั้นลูก

Mission Possible

ผู้เขียน : พงษ์ ผาวิจิตร
จัดทำโดย : บริษัท ดิ แอสไพเรอร์ส กรุ๊ป จำกัด
จำนวนหน้า : ๑๔๒ หน้า
ราคา : ๑๕๙ บาท
ระดับความชอบ : ๙.๕/๑๐

เคยคิดไว้ว่าจะเขียนรวบรวมสิ่งที่ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ สอน โดยเฉพาะการเลี้ยงลูก เพราะก็นำแนวทางนั้นๆ มาใช้จนทุกวันนี้
แต่มาเจอหนังสือเล่มนี้ เลยคิดว่าคงไม่ต้องเขียนแล้วครับ ก็พูดเหมือนกันเลย คนสองคนนี่ช่างมีอะไรคล้ายกันมากจริงๆ

เล่มนี้ภรรยาซื้อมาโดยไม่ได้รู้จักชื่อผู้เขียน สำหรับผมเคยฟังคุณพงษ์บรรยายที่บริษัทมาแล้วครั้งหนึ่ง ความคิดนอกกรอบดี ลองอ่านดูตอนที่แกมาบรรยายที่บริษัท จดไว้ด้วย

เมื่อได้อ่านก็มีเคล็ดในการเลี้ยงลูกอยู่มากเหมือนกัน ที่คิดว่าจะเอามาใช้ เช่น
• การเข้าค่ายปิดเทอม ต้องต่างโรงเรียน จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
• การสอนด้วยปากไม่ได้ผล ต้องทำให้ดู
• ต้องให้ลูกรู้ผลกรรม เช่น นอนดึกก็จะตื่นสาย แล้วโดนทำโทษที่โรงเรียน ปล่อยให้เด็กรู้เอง จะได้ไม่นอนดึก
• ต้องหมั่นแนะนำตอนดูทีวี
• ต้องทำให้นึกถึงคนอื่น อาจชวนไปทำงานสาธารณประโยชน์
• ต้องหมั่นตรวจสอบการบ้าน เพื่อนลูก เรื่องต่างๆ ของลูก
• ให้เรียนเสริมในสิ่งที่โรงเรียนไม่มี เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะเฉพาะด้าน
• เสริมที่โรงเรียนให้ความสำคัญไม่พอ เช่น ภาษา
• เสริมสร้างคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์-ภาษา อันจะเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตต่อไป
• ต้องสร้างแรงดลใจให้ลูกให้ได้ ดังนั้นเราต้องใส่สิ่งดีๆ ไว้ ต้องมีซักเรื่องแหละที่เป็นแรงดลใจเขาได้ บางครั้งต้องใช้ที่เรียนพิเศษช่วยเสริม
• พ่อแม่ต้องสมาคมกับพ่อแม่ท่านอื่นบ้าง เพื่อดูว่าเขาเรียนอะไรเสริมกันบ้าง สำหร้บผมให้ลูกนั่นแหละสอบถามว่าเพื่อนๆ เรียนที่ไหนบ้าง แล้วถามลูกว่าอยากเรียนอะไรบ้าง
• Internet และ หนังสือ ก็เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญสำหรับลูก บ้านเล็กๆ ของผมมีห้องสมุดด้วยครับ เป็นห้องที่คนอยู่มากที่สุดเลย เป็นตำแหน่งมังกรของบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ยด้วย
• วิธีที่สอนได้ดีที่สุดคือ ทำให้ดู ครับ ดังนั้นอยากให้ลูกเป็นคนดี ต้องทำตัวดีๆ อย่างน้อยก็ต่อหน้าลูก
• มีกิจกรรมดีๆ ร่วมกันบ่อยๆ โดยเฉพาะที่ช่วยคนอื่น เรื่องจิตอาสา ซึ่งสำคัญมาก
• ข้อสังเกตในการดูหนัง ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น จะดูหนังดรามา แนวชีวิต เพื่อเอาไปคิดต่อ ส่วนประเทศกำลังพัฒนาจะเน้นดูหนัง Action ตลก ประมาณว่าเอาบรรเทิงอย่างเดียว

ถ้าเป็นสิ่งที่ ดร.วรภัทร์ สอน ที่จำมาใช้เสมอ คือ
• พ่อแม่ต้องมีธรรมะ อย่างน้อยก็ต่อหน้าลูก
• เวลาพาลูกไปวัดให้ตามใจ สนุกให้สุดๆ แต่เวลาไปห้างฯ ให้ดุ ลูกๆ จะได้ฝังใจชอบไปวัด
• เลี้ยงสัตว์บางครั้งไม่ต้องเลี้ยง ไปแอบชื่นชมบ้านเพื่อนสนิทเอาก็ได้ ที่บ้านผมลูกอยากเลี้ยงหมามานาน ยังไม่ได้เลี้ยงเลย ตอนนี้เลยได้เลี้ยงปลาเงินปลาทองแทน
• เวลาลูกโกรธ เราต้องไม่โกรธด้วย เอาเขามาทดสอบจิต ต้องไม่จิตเกิดตามเขา
• อย่าคิดว่าลูกเป็นเด็ก เขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ดังนั้นเขารู้ทุกเรื่อง คุยกันได้ ปรึกษากันได้
• ต้องอ่านตำราเลี้ยงลูก เพราะเราไม่ได้เป็นพ่อแม่มาแต่กำเนิด ทีตีกอล์ฟ เล่นกีฬา ยังต้องหาตำรามาอ่าน ฝึกซ้อม ดังนั้นเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน ต้องอ่านตำราและฝึกซ้อม
• ต้องดูอารมณ์ลูกด้วย ต้อง ให้ความรักก่อนให้ความรู้ เป็นแนวของ ครูสมพร คนสอนลิง (เป็นซีดี/หนังสือ ที่พ่อแม่ควรสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง)
• คิดว่าเราให้สิ่งที่ดีให้มากที่สุด ส่วนลูกของเราจะเป็นอย่างไร ดี/ไม่ดี เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง
• ต้องทำตัวอายุเท่ากับลูก จะได้เข้าใจเขาอย่างจริงจัง
• อาจารย์วรภัทร์เป็นที่ปรึกษาของ KUMON ส่วนลูกผมเรียนแล้ว ไม่ชอบ ก็ไม่บังคับให้เรียน ทางเลือกการศึกษามีมากกว่าหนึ่งทางครับ
• เกม ก็มีข้อดี โดยเฉพาะเกม Simulation ต่างๆ พ่อแม่ต้องเลือกมาไว้ในบ้าน อย่ามองว่าเกมมีแต่ข้อเสียไปหมด
• หนัง ที่จะเอาเข้าบ้าน ต้องเปิดดูเองก่อน ถึงจะเอามาวางไว้ในบ้าน ข้อนี้ผมทำอย่างเคร่งครัดครับอาจารย์
• ลูกอาจารย์เรียนโรงเรียนแนววอลดอร์ฟ

ใครมีเคล็ดลับเลี้ยงลูกอะไร บอกกันบ้างนะครับ

มีความสุขทุกคนครับ

ทักทายกัน…ด้วยความสุข

ผู้เขียน : ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
สำนักพิมพ์ : DMG
จำนวนหน้า : ๑๕๑ หน้า
ราคา : ๑๒๐ บาท
ระดับความชอบ : ๙/๑๐

หนังสือเล่มนี้ได้จากเวบแลกของที่ตอนนี้เริ่มเก็บเงินบำรุงเวบแล้ว www.coolswop.com แต่ก็ยังไม่ได้โอนเงินเลยจนป่านนี้
แลกมาเพราะชื่อคนเขียน ดนัย จันทร์เจ้าฉาย นักธุรกิจแนวธรรมะที่โด่งดัง เรื่องราวดีๆ ของหนุ่มคนนี้มีให้อ่านเป็นระยะๆ ล่าสุดก็อ่านจากนิตยสาร Secret ทำให้ทราบเรื่องราวของเขามากขึ้น ประทับใจเรื่องที่ให้พระพี่นางฯ ทรงตรวจงานของเขาด้วย ปลื้มแทนครับ
ชอบมากๆ คือที่บริษัทของเขา ให้พนักงานลาไปปฏิบัติธรรมได้ เจ๋งจริง

หนังสือเล่มนี้รวมบทความในปี ๒๕๔๖ ดังนั้นเหตุการณ์ในเล่มที่นำมากล่าวถึงก็จะเป็นช่วงนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรด (9/11) ที่เกิดในปี ๒๕๕๔ และมีการรำลึกครบรอบ ๑ ปี โดยผู้เขียนยกข้อเขียนของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต มาประกอบ โดยมุ่งหวังให้โลกนี้สันติสุข
ก่อนอื่นต้องทำตัวเราให้พบความสันติสุขก่อน ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่โกรธใคร ทำใจให้สงบไม่ว่าจะกระทบเรื่องใดๆ ฟังเหมือนยาก แต่เป็นไปได้ครับ ที่ต้องมีคือความพยายามและมุ่งมั่นที่จะทำครับ

พระที่คุณดนัยมักยกคำมากล่าวอ้างในเล่มนอกจากท่าน ป.อ.ปยุตฺโต แล้ว ก็จะมีท่านพุทธทาส แน่นอนหัวข้อที่ต้องกล่าวถึงคือ ความว่าง
เคยท่องคำสั้นๆ ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง คราวนี้ได้อ่านเต็มบทเลย
จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง
ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น
กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน
ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที
ท่านผู้ใด ว่างได้ ดังว่ามา
ไม่มีท่า ทุกข์ทน หม่นหมองศรี
ศิลปะ ในชีวิต ชนิดนี้
เป็น”เคล็ด”ใครคิดได้ สบายเอยฯ

จิตว่างที่ว่านี้คือว่างจาก ตัวกู-ของกู นั่นคือละความเห็นแก่ตัว ทำงานเพื่อให้เนื้องานออกมา โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนจากงานนั้นๆ เช่น คำชม, เงินรางวัล เป็นต้น ส่วนเรื่องพวกนั้นจะตามมาเอง ไม่ต้องคาดหวัง
เมื่อมีความว่างเราก็สามารถใส่สิ่งดีๆ ลงไปในจิตใจได้อีก เพราะของที่รกๆ หรือกิเลสในจิตใจได้หายไปแล้ว
หัวใจของคำสอนของท่านพุทธทาสจะวนๆ อยู่แถวนี้แหละครับ
โดยทั้งหมดต้องอาศัยสติในทุกๆ การกระทำ พินิจพิจารณาให้รอบคอบก่อนทำอะไร จริงๆ ใน 7-Habits อุปนิสัยแรก Be Proactive ก็เป็นแนวนี้ ให้มีสติก่อนตอบสนองสิ่งเร้าที่เข้ามา เราจัดการในสิ่งที่จะตอบสนองได้ อย่าตอบสนองอะไรโดยอัตโนมัติ โดยมิได้ตรึกตรอง อาจเกิดผลเสีย และเรานี่แหละต้องรับผลกรรมนั้นๆ
แถมอีกสามข้อ (สองข้อแรกจาก ดร.อาจอง) เพื่อประกอบการพิจารณา ถามตัวเองว่า สิ่งที่คิด หรือจะทำนั้น
• ดีต่อผู้อื่นไหม?
• ดีต่อตัวเองไหม?
• ดีต่อโลกใบนี้ไหม?
หากตอบว่าใช่ทั้งหมด ทำได้เลยครับ
อาจทำให้ช้าลงบ้าง แต่ไม่ดีกว่าหรือถ้าตอบสนองช้า แต่ล้วนเป็นสิ่งดีๆ จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขภายหลัง

ในเล่มพูดถึงแฮปปี้คิดส์ สถานที่ฝึกธรรมะให้เด็กๆ ก่อตั้งโดยคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง และ คุณชยาทร เตชะไพบูลย์ แฮปปี้คิดส์ เพรสซิเด้นท์พาร์คคอมเพล็กซ์ สุขุมวิท ๒๔ เบอร์โทรศัพท์ ๐๒-๖๖๑ -๐๑๓๑
ตัวอย่างกิจกรรม ได้แก่ นิทานธรรมบันเทิง
น่าสนใจเข้าไปสัมผัสมาก
ลูกเราได้ไปเข้าค่ายยุวพุทธปีนี้ด้วย ดีใจมากเลย

มีหลักการสร้างสุข ๒๔ ข้อ จาก Reader Digest คือ
1. เปลี่ยนความคิด ทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นต้องทำหลายๆ อย่างเดี๋ยวนี้
2. บันทึกสิ่งดีๆ เป็นหนทางของอัจฉริยะทุกคน
3. มองสิ่งต่างๆ ทุกแง่มุม และให้คิดว่า คุณอยากให้คนรุ่นหลังจำคุณว่าอย่างไร
4. อย่าปล่อยให้สิ่งเล็กน้อยรบกวนจิตใจ
5. ทำในสิ่งที่คุณคิดว่ายาก ฝืนใจ หรือสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะ การได้เจอ ได้ทำในสิ่งที่ไม่พอใจ เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาตนเอง
6. เปลี่ยนตารางชีวิตประจำวันบ้าง
7. อย่าพยายามเปรียบเทียบกับคนอื่น
8. ทำความสะอาดบ้านหรือที่ทำงาน
9. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
10. ตระหนักตลอดเวลาที่จะรักคู่ของตน
11. ควรเกรงใจคู่ชีวิตให้มากๆ
12. บอกคู่รัก ครอบครัว และเพื่อนของคุณว่าคุณรักพวกเขา
13. เป็นเพื่อนคู่คิดให้กับเพื่อนที่มีปัญหา
14. โทรศัพท์ ส่ง E-Mail ถึงเพื่อนเก่าที่ขาดการติดต่อ
15. กระตุ้นชีวิตด้วยธรรมชาติ
16. เที่ยวทะเล
17. สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
18. หายใจด้วยอากาศบริสุทธิ์
19. เดินเล่น
20. เช่าวีดีโอตลกมาดู
21. ย้ายเฟอร์นิเจอร์ เปลี่ยนห้อง
22. พยายามหาอะไรทำ
23. ยิ้ม
24. ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง
ลองเลือกไปใช้กันนะครับ

สรุปว่าอ่านเล่มนี้มีเรื่องราวดีๆ เหมาะแก่การอ่านและขบคิดตามครับ

มีความสุขทุกคนครับ

จุดหมายที่ปลายเท้า : ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เล่มที่ ๑๓

 

ผู้เขียน : หนุ่มเมืองจันท์

สำนักพิมพ์ : มติชน

จำนวนหน้า : ๒๒๔ หน้า

ราคา : ๑๔๐ บาท

ระดับความชอบ : ./๑๐

 

เป็นคอลัมน์ที่อ่านเป็นประจำ

เป็นนักเขียนในดวงใจเลยครับคนนี้ ลีลาการเขียนน่าติดตามเร้าใจดีมาก ได้ความรู้ไปต่อยอดเพิ่มเติมเสมอ

 

เล่มนี้มียกคำสุนทรพจน์ของ JK Rolling ที่พูดที่ Harvard ให้กับบัณฑิตที่กำลังจะจบ

เรื่องนี้เคยอ่านแล้ว เคยจดคำคมนี้มาใช้งานอยู่พักหนึ่ง ชอบจริงๆ ครับ

ชีวิตก็เหมือนกับนิทาน ไม่สำคัญว่ามันยาวแค่ไหน หากสำคัญว่ามันดีเพียงใด เซเนกา (คนโรมันโบราณ) กล่าวไว้ครับ

 

JK Rolling ใช้คำนี้เป็นข้อเตือนใจ

ทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ไม่ง่ายนะครับที่จะได้เกิดมา

 

ในเล่มมีเรื่องของ CEO เถ้าแก่น้อย สาหร่ายทอดกรอบให้อ่านด้วย

คนนี้อายุยังไม่ถึงเบญเพสเลย แต่แนวคิดและวิธีการทำธุรกิจเหลือร้าย

แค่การแจกขนมให้ชิมยังเลือกแจกผู้หญิง เพราะธรรมชาติของผู้หญิงได้ของกินแล้วจะชวนกันกิน ผิดกับผู้ชายที่ได้ของกินมาแล้วงุบงิบทานคนเดียว ปัจจุบันเถ้าแก่น้อยเลยมียอดจำหน่ายสูงทีเดียว

 

มีเรื่องค่ายนักเขียนเยาวชนที่น่าสนใจมากเหมือนกัน ชอบครับค่ายแบบนี้ ทำไงลูกเราจะได้เข้าบ้างหนอ น่าจะดี

 

มีหนังสือน่าสนใจชื่อ ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์ เป็นเรื่องราวของนักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ที่ทำอะไรก็ทำสุดๆ เข้าไปทำจริงจัง จนทำเป็นในสิ่งนั้นๆ ที่เขาสนใจ และให้ความสุขแก่เขา เขาจึงเป็นทั้ง นักเปิดเซฟมือฉมังในช่วงชีวิตหนึ่ง หรือ เป็นจิตรกรในช่วงหนึ่ง ซึ่งทุกครั้งต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างหนัก

 

อีกคำที่โดนคือ ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่จำปี พ.. ได้แม่นยำ แต่ได้ข้อเรียนรู้ข้อดีข้อเสียจากอดีตมาปรับใช้ ยิ่งวิเคราะห์บทเรียนมาใช้ได้มากเท่าไหร่ ประวัติศาสตร์ก็มีคุณค่ามากเท่านั้น

 

บทสุดท้ายชื่อเดียวกับเล่ม เป็นเรื่องของนักวิ่งชาวแทนซาเนีย ที่วิ่งเข้าเส้นชัยจนได้แม้จะบาดเจ็บ เขาบอกว่า ประเทศผมไม่ได้ส่งมาเพื่ออกสตาร์ท แต่ส่งมาให้วิ่งถึงเส้นชัย ได้ใจเลยครับสำหรับคนที่กำลังท้อแท้ ใจสู้ซะอย่าง ทำได้แน่นอน นักวิ่งคนนั้นชื่อ จอห์น สตีเฟน อัควารี ครับ

 

ยังอยู่ในมาตรฐานครับเล่มนี้ น่าอ่านเหมือนเดิม

 

Link ที่เกี่ยวข้อง : ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มก่อนๆ

มิลินทปัญหา (ฉบับการ์ตูน) ทุกการเรียนรู้เริ่มต้นที่คำถาม


เรื่อง : เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย
ภาพ : พงษ์พัฒน์ เพชรรัตน์
สำนักพิมพ์ : วงกลม
ระดับความชอบ : ๙/๑๐
การ์ตูนชุดนี้มี ๓ เล่มครับ

ซื้อ การ์ตูนชุดนี้มานานแล้วครับ ตั้งแต่เริ่มออกเลย เพราะ SCG Paper ให้การสนับสนุน และมาขายพนักงานในราคาย่อมเยา ลูกสาวคนโตอ่านจบไปนานแล้ว ส่วนผมเพิ่งได้อ่าน จริงๆ เป็นแรงส่งมาจากเล่ม everybodyeverything ที่อ่านก่อนหน้านี้ ดูเหมือนการ์ตูนจะอ่านจบไวดี ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

สนุก ครับ จริงๆ เชื่อมั่นอย่างนี้ตั้งแต่เห็นชื่อคนเขียนเรื่องแล้ว กาเหว่าไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย เล่มนี้ก็เป็นเช่นนั้น ผมว่าหลังๆ ชอบหนังสือในแนวธรรมะของเธอนะ ยังติดใจเล่ม ภูมิคุ้มใจ จนป่านนี้

ได้ ยินชื่อมิลินทปัญหามานานพอสมควร ได้อ่านในชุดนี้ แต่ละคำถามเด็ดมาก พระเจ้ามิลิน ถามได้โดนใจ พระนาคเสน ก็ตอบได้ตรงประเด็น มีการอุปมาอุปมัยให้เห็นภาพชัดเจนในทุกๆ คำตอบ สุดยอดครับ
นึกไวๆ ในคำถาม ได้ดังนี้
• ทำไมต้องบวชถึงจะไปนิพพาน? ตอบว่าเรือลำเล็กก็ไปถึงฝั่งไว้ เพราะของรกรุงรังน้อย บรรพชิตก็จะมีห่วงน้อยกว่าฆราวาส
• อะไรไม่มีในโลก? ตอบว่าของที่ไม่เปลี่ยนแปลง เสื่อมลง ไม่มีในโลก
• ทุกข์ทางกาย ควบคุมไม่ได้ แต่ทุกข์ทางใจควบคุมได้ โดยเฉพาะไม่เอาความคิดไปปรุงแต่งทุกข์ทางกายที่ผ่านเข้ามา เพียงเข้าใจว่าทุกข์ทางกายนั้น ผ่านมาเป็นธรรมชาติ มาทดสอบเรา
• การทำดีควรทำดีตลอดชีวิต ปืนจะได้ตรงตลอดลำ

มี อีกหลายคำถามเลยครับ เป็นคำถามของพุทธศาสนิกชนที่อยากถามทั้งนั้นเลย บางคนยังสงสัยเรื่องทางสายเอกสายตรงสายนี้อยู่ ลองอ่านมิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูนชุดนี้ครับ ย่อยง่าย เข้าใจได้ดีเลยทีเดียว

อีกประเด็นที่ชอบในมิลินทปัญหาคือ หากอยากได้ความรู้ ต้องเริ่มจากมีคำถามครับ
พระเจ้ามิลินมีข้อสงสัย จึงเกิดคำถาม เมื่อเจอผู้รู้ช่วยตอบ แล้วนำไปปฏิบัติ ก็จะกระจ่างได้อย่างง่ายดาย
แต่ทั้งหมดต้องเริ่มด้วยคำถามก่อนนะครับ หากไม่มีคำถาม การเรียนรู้ก็ไม่เริ่มขึ้น
มิลินทปัญหา บอกผมแบบนี้ครับ

ขอให้มีคำตอบในทุกๆ คำถามของชีวิตครับ

๑๕ นาที ๑๕ เล่ม

๑๕ นาที ๑๕ เล่ม

เข้า Blog คุณอั๊งอังอา เจอหัวข้อนี้ เลยสนใจ ลองมาทบทวนของเราดูบ้าง
เอ้า เริ่มจับเวลา
๑. ก่อนสายหมอกเลือน - โบตั๋น
๒. แผ่นดินนี้เราจอง - Richard Powell แปลโดย เทศภักดิ์ นิยมเหตุ
๓. เกาะโลมาสีน้ำเงิน - Scott O Dell แปลโดย วิลาวัณย์ ฤดีศานต์
๔. ต้นส้มแสนรัก
๕. เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม
๖. หนังสือชุด คุยกับประภาส - ประภาส ชลศรานนท์
๗. หนังสือชุด ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ - หนุ่มเมืองจันท์
๘. คิดนอกคอก ทำนอกคัมภีร์ - ดร.ไสว บุญมา
๙. สามก๊กฉบับคนกันเอง - เอื้อ อัญชลี
๑๐. คิดถึงทุกวัน - พิมปาย
๑๑. คิดถึงทุกปี - บินหลา สันกาลาคีรี
๑๒. จดหมายรัก - ‘ปราย พันแสง
๑๓. โตเกียวไม่มีขา - นิ้วกลม
๑๔. แผ่นดินอื่น - กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
๑๕. สีของหมา - จำลอง ฝั่งชลจิตร

ก่อนสายหมอกเลือน เป็นเล่มที่อ่านตั้งแต่มอต้น นอนกลิ้งซ้ายกลิ้งขวาอ่านเล่มนี้จนจบ นับจากนั้นนักเขียนนาม โบตั๋น คือนักเขียนในดวงใจเสมอมา งานของท่านปลอดสารพิษโดยสิ้นเชิง แถมอ่านแล้วจะเห็นใจเพศหญิงมากขึ้น
“เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่เป็นหญิงชาวจีนลำบากเป็นสองเท่า” ประโยคนี้ยังตรึงใจ

แผ่นดินนี้เราจอง เล่มนี้อ่านตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นมีเมื่ออ่านจบก็แนะนำให้พี่รูมเมทที่อยู่คณะทันตแพทย์อ่าน พี่เขาไปกวาด Powell+เทศภักดิ์ มาอ่านทุกเล่มเลย บ้าแซงหน้าเราไปอีก ตอนนั้นมีข่าวว่ามีหนังไทยทำเลียนแบบเรื่องนี้ชื่อ ดวงยี่หวา แต่ยังไม่ได้ดูเลย
จนถึงตอนนี้หากอ่านหนังสือแปลที่เข้าขั้น Best Seller แล้วไม่รู้เรื่อง จำเลยแรกคือคนแปลครับ จะไล่ให้มาอ่านเล่ม แผ่นดินนี้เราจอง ครับ จะได้รู้ว่านักแปลที่ดี เป็นอย่างไร ขอคารวะดวงวิญญาณคุณเทศภักดิ์ นิยมเหตุ คุณคือนักแปลในดวงใจตลอดกาลครับ

ลำดับ ๓-๕ เป็นวรรณกรรมเยาวชนในดวงใจ ชีวิตนี้หาโอกาสอ่านให้ได้นะ
ตอนนี้กำลังอ่าน โมโม่ อยู่ครับ

คุยกับประภาส
พี่ จิก ประภาส ชลศรานนท์ ชื่อนี้ไม่ต้องพูดถึง เมื่อเขียนหนังสือรับรองว่าน่าอ่าน ถ้าอยากเพิ่มรอยหยักในสมอง อ่านหนังสือชุดนี้เลย มี ๘ เล่มครับ

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
อีกคนที่เป็นนักเขียนในดวงใจ คือ คุณสรกล = หนุ่มเมืองจันท์
คนนี้ลีลาการเขียนเหลือกำลังรับครับ
มุกมากมาย แถมเกร็ดความรู้เพียบ หากไม่อยากอ่านแบบรวมเล่ม ลองพลิกหน้า ๒๔ ของมติชนสุดสัปดาห์ รับรองได้เรื่องดีๆ แน่นอน

มีช่วงหนึ่งชอบอ่านบทความเกี่ยวกับธุรกิจ ช่วงนั้นจะอยู่ในห้องสีลม ไปเจอเล่ม คิดนอกคอก ทำนอกคัมภีร์ ในร้านหนังสือ เป็นการถอดใจความสำคัญของหนังสือทางธุรกิจ ๙ เล่ม ที่ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณแนะนำให้อ่าน
เมื่อ อ่านประวัติ ดร.ไสว บุญมา ยิ่งชอบ ท่านเป็นเศรษฐกรอาวุโสประจำธนาคารโลก ลูกชาวนา เรียนครู มีความเชื่อว่าต้องไปเรียนเมืองนอกถึงจะได้ดี เลยดิ้นรนขวนขวาย แต่ท่านเก่งภาษาอังกฤษ ผมเลยพยายามมากระตุ้นลูกให้รักภาษาอังกฤษ

เล่ม ๙-๑๓ อ่านรายละเอียดได้ใน Blog ทำไมถึงต้องเลือกมา

เล่ม โตเกียวไม่มีขา แม้จะชอบเล่ม กัมพูชาพริบตาเดียว มากกว่า แต่อ่าน โตเกียวฯ ก่อน เลยนึกถึงมากกว่า

สองเล่มสุดท้ายทำให้รักนักเขียนสองท่านนี้มาก

คุณล่ะครับ ภายในเวลา ๑๕ นาที นึกถึงเล่มไหนกันบ้างครับ