ก่อนอื่นมีคำศัพท์ที่ต้องทำความเข้าใจ 2 คำ คือ
เสียงเอกฉันท์ (unanimity) กับ ฉันทามติ (Consensus) ลองค้นหาความหมายกันเองนะครับ ตัวเองก็สับสน ไม่ค่อยเข้าใจคำว่าฉันทามติ สงสัยอยู่ว่ามันเป็นไปได้เหรอ? ไม่ต้องลงคะแนนเสียง แล้วจะตกลงกันได้อย่างไร? เลยดั้นด้นมาอบรมครั้งนี้
วันที่ 11 กันยายน 2557 ช่วงเช้าเป็นกิจกรรม “การประชาเสวนาหาทางออก” หรือ Public Deleberation โดยอาจารย์ชลัท ประเทืองรัตนา ที่ตั้งใจมาเล่าเรียนโดยเฉพาะ ก่อนจะคุยกันก็ต้องมีกฏกติกาพื้นฐานร่วมกัน ซึ่งกฏกติกาที่ดี ต้องมาจากการมีส่วนร่วม แต่ในการทำกิจกรรมจริงๆ วิทยากรกระบวนการก็พยายามจะให้กลุ่มช่วยกันกำหนดกติกา แต่คงต้องใช้เวลานานพอสมควร อาจไม่ได้ทำกิจกรรมประชาเสวนาหาทางออกแน่ๆ เพราะสมาชิกในกลุ่มเล่นบทบามสมมติได้สมบทบาทจริงๆ แต่วิทยากรกระบวนการก็เก่ง จนกลุ่มยอมให้วิทยากรกระบวนการเป็นคนกำหนดกติกาเลยโดยไม่ต้องลงมติและไม่มีใครโต้แย้ง
อันนี้ก็ทำให้เห็นฉันทามติ ปิ๊งเลยครับ !!!!!!
จะเห็นว่าแค่จะกำหนดกฏกติกาในการประชุมหรือทำกิจกรรมด้วยกันแบบมีส่วนร่วม ยังต้องใช้เวลาพูดคุยกันมาก และมีประเด็นต้องพูดคุยกันมากมาย เลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากฏกติกาการอยู่ร่วมกันของคนในชาติ (รัฐธรรมนูญ) คงยุ่งยากและใช้เวลามากพอสมควร ถ้าจะช่วยกันกำหนดกฏกติกาแบบที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม แต่ถ้าทำแบบรวบรัด ไม่ต้องมีส่วนร่วมคงจะเสร็จเร็ว แต่ตอนนำมาใช้คงเกิดปัญหามากมายภายหลัง
๖&$@!(&%*)_(+@!+^%@*(^%)_(_)!*@_)%!+!+!
กลับมาเรื่องฉันทามติดีกว่า
กติกาการพูดคุยกันในกระบวนการประชาเสวนาหาทางออก
- มองอดีตเป็นบทเรียน มองไปข้างหน้า มาฝันร่วมกัน
- ฟังกันอย่างตั้งใจ ไม่ชี้หน้าด่ากัน
- เห็นต่างไม่ต้องเป็นศัตรูกัน
- การตัดสินใจใช้ฉันทามติ ไม่ยกมือหรือลงคะแนนเสียงถ้าไม่จำเป็น
- ทุกความคิดมีคุณค่า เราไม่ฆ่าความคิดกัน ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น
อาจารยชลัทออกแบบมาดังนี้ครับ
โจทย์รอบแรก “ท่านอยากเห็นอนาคตการเมืองไทยเป็นเช่นใด” โดยให้แบ่งเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละประมาณ 10 คน ไปเข้ากลุ่มคุยกัน
ผลการพูดคุย กลุ่มแรกได้ผลสรุปออกมาว่า
- อยากให้บ้านเมืองมีกฏหมายที่ดี มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง
- ไม่มีการคอรัปชั่น
- มีความโปร่งใส
- ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
ผลการพูดคุย กลุ่มที่สองได้ผลสรุปว่า
- ต้องพัฒนาหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ
- การเมืองที่มีธรรมาภิบาล
- ศาสนานำการเมือง
ทั้งสองกลุ่มก็กลับมารวมกัน นำเสนอผลของการพูดคุยทั้งสองกลุ่ม วิทยากรกระบวนการ (พี่ภณเป็น Fa ,พี่น้ำฝนเป็นคุณลิขิต) ก็จะให้แบ่งเป็นสองกลุ่มใหม่ นำผลของกลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สองไปพูดคุยกันว่า ต้องทำอย่างไร? และใครเป็นคนทำ? เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
คราวนี้ก็เป็นเรื่องเลยครับ สมาชิกกลุ่มก็เริ่มแสดงความคิดเห็นว่าทำไมแยกสองกลุ่มทำกันคนละเรื่อง โจทย์ที่อาจารย์ใหมา “ท่านอยากเห็นอนาคตการเมืองไทยเป็นเช่นใด” ทั้งหมดต้องมองเห็นเป็นภาพเดียวกันก่อน (Shared Vision) จะแยกกลุ่มกันทำก็ไม่เป็นไร
ทั้งกลุ่มก็เลยต้องมาตกลงกัน เอาภาพฝันของทั้งสองกลุ่มมารวมกันเป็นภาพฝันเดียวกัน ลองนึกภาพดูนะครับ แต่ละคนก็เล่นบทบาทสมมติกันเต็มที่ บางคนเอาหัวโขนมาด้วยซ้ำ ต่างคนต่างมีเหตุผล ความคิดเห็นแตกต่างกัน พูดคุยถกเถียงกันตั้งแต่ประเด็นการแบ่งกลุ่มจะแบ่งอย่างไร? ใช้ภาพฝันสองภาพที่แตกต่างกันหรือจะยุบรวมกัน? ถ้ายุบรวมกันจะใช้แนวคืดของกลุ่มไหน? กว่าแต่ละกลุ่มจะได้ผลสรุปมาก็ชุลมุนกันมากพอสมควร
วิทยากรกระบวนการ (พี่ภณ) ก็เก่งนะครับ จัดบรรยากาศการพูดคุยได้ดี
มีการเสนอว่าการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาของกลุ่มสองเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่ภาพที่ต้องการ ทางสมาชิกกลุ่มสองก็ยอมรับ ยอมให้ตัดประเด็นนี้ออก
มีการเสนอว่า บ้านเมืองมีกฏหมายที่ดี มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง, ไม่มีการคอรัปชั่น, มีความโปร่งใส, ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม, ศาสนานำการเมือง ก็เป็นองค์ประกอบของธรรมาภิบาล ภาพรวมควรจะเป็นประเทศมีระบบการเมืองที่มีธรรมาภิบาล
มีคนเสนอว่า
- อยากให้เน้น “บ้านเมืองมีกฏหมายที่ดี มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง”
- ถ้ายังงั้นก็ควรจะใช้คำว่า “นิติรัฐ”
- อยากให้คงคำว่า “บ้านเมืองมีกฏหมายที่ดี มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง”
- ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เลยสรุปว่าที่พูดคุยกันมา “อยากเห็นอนาคตการเมืองไทยเป็นการเมืองที่มีธรรมาภิบาล บ้านเมืองมีกฏหมายที่ดี มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง”
ไม่ต้องลงคะแนนเสียง ไม่ต้องยกมือ ไม่มีคนโต้แย้ง ……..ปิ๊งแว๊บเลยครับ “ฉันทามติ” ไม่ต้องนิยาม จำไปตลอดชีวิตเลยครับ
เที่ยงเศษแล้ว เลยไม่ได้ทำกิจกรรมต่อ แต่แค่นี้ก็พอแล้วครับ…………..
Facebook