เมืองไทยทำธุรกรรมทางการเงินไม่ง่ายเลย

5 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 11 July 2009 เวลา 0:11 ในหมวดหมู่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม #
อ่าน: 4374

เมื่อสองวันก่อน ไปเบิกเงินทดรองจ่ายออกจากบัญชีออมทรัพย์ ให้อาสาสมัครของมูลนิธิเดินทางไปร่วมซ้อมการจัดการภัยพิบัติทางทะเลที่สงขลาครับ พบกับความประหลาดใจเป็นอย่างมาก…

ทางธนาคารบอกว่าจะต้องให้เจ้าของร่วมของบัญชีนิติบุคคล มาลงชื่อต่อหน้าจึงจะเบิกเงินได้ อันนี้ใช้บังคับกับบัญชีร่วม นัยว่าเป็นไปตามกฏหมายป้องกันการฟอกเงิน ทุกธนาคารใช้ระเบียบเดียวกันหมด — ทางมูลนิธิก็พยายามจะให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างโปร่งใส จึงใช้บัญชีร่วมซึ่งจะต้องให้กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม เซ็นร่วมกันสองในสามคน มาเซ็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคาร

ผมเคยทำธุรกิจมา ก็ไม่เคยรู้ว่ามีกรณีอย่างนี้ด้วย ซักไปซักมาปรากฏว่าเป็นกรณีที่ธนาคารที่ใช้นั้น รู้จักบริษัทดี; ถ้าเป็นบัญชีร่วม แล้วมีการมอบอำนาจ หากจะทำให้ถูกต้อง ก็ต้องไปเซ็นเบิกเงินต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของธนาคาร แต่เพราะเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ธนาคารรู้จักดี จึงอลุ่มอล่วยให้ โดยเจ้าหน้าที่ของธนาคารเซ็นรับรองว่ามาเซ็นชื่อต่อหน้า ถ้าทำตรงไปตรงมา กลับติดขัดไปหมดเลย — ให้กรรมการไปเซ็นชื่อต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคารนั้น เป็นเหมือนให้อธิบดีไปธนาคารทุกครั้งที่มีการเบิกจ่ายครับ บ้าสิ้นดี

ในกรณีของมูลนิธิ ธนาคารแนะว่าให้เปิดบัญชีกระแสรายวัน แล้วเบิกเงินออกด้วยเช็ค (แต่การโอนจากบัญชีออมทรัพย์เข้าบัญชีกระแสรายวัน ก็ยังมีปัญหาเดิม) ในเมื่อเป็นกฏหมาย/เป็นกติกาสังคม ก็ต้องปฏิบัติตามครับ แต่สงสัยจริงๆ ว่าทำไมประเทศนี้ ถึงได้ลงโทษคนที่ตั้งใจจะทำถูกต้องด้วย พิลึกจริงๆ (บ่น)

IMD จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ มากว่ายี่สิบปี ปีนี้เมืองไทยเลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 27 มาเป็น 26 แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราเก่งขึ้น/แข่งขันได้ดีขึ้น แต่เป็นเพราะว่าประเทศอื่นๆ ย่ำแย่กันไปหมดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก จึงมีอันดับที่ลดลง หลายประเทศลดลงถึง 10 อันดับ


อยู่เพื่ออะไร

4 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 10 July 2009 เวลา 0:09 ในหมวดหมู่ ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม บันเทิง #
อ่าน: 3487

๏ ฉันอยู่เพื่อบุคคลที่ฉันรัก
ซึ่งใจซื่อถือศักดิ์สุจริต
และรักฉันมั่นมานปานชีวิต
ในความผิดความหลงปลงอภัย ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ที่พันผูก
เพื่อฝังปลูกความหวังพลังไข
เป็นท่อธารรักท้นล้นพ้นไป
หล่อดวงใจแล้งรื่นให้ชื่นบาน ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ
กลางโมหะอาเกียรณ์เบียฬประหาร
เพื่อสื่อแสงแจ้งสว่างพร่างตระการ
กลางวิญญานมืดมิดอวิชชา ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อดวงใจที่ไร้ญาติ
ที่แร้นแค้นแคลนขาดวาสนา
เพื่อรอยยิ้มพริ้มยลปนน้ำตา
บนดวงหน้าโศกช้ำระกำกรม ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อเยื่อใยใจมนุษย์
บริสุทธิ์สอดผสานงานผสม
เป็นเกลียวมั่นขันแกร่งแรงกลืนกลม
พายุร้ายสายลมมิอาจรอน ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อความฝันอันเพริศแพร้ว
เมื่อโลกแผ้วหลุดพ้นคนหลอกหลอน
เมื่ออามิสฤทธิ์แรงแท่งทองปอนด์
มิอาจคลอนใจคนให้หม่นมัว ฯ

๏ ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก
ที่เขาถากทรกรรมซ้ำปั่นหัว
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว
เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม ฯ

๏ เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ
เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยขำ
เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นลำ
สว่างนำน้องพี่มีชัยเอย ๚ะ๛

จาก ขอบฟ้าขลิบทอง โดย อุชเชนี


เสร็จกับสำเร็จ

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 9 July 2009 เวลา 0:25 ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 3832

คำสองคำนี้ ดูเผินๆ คล้ายจะใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนกัน

เสร็จ (finish) เป็นคำกริยาแปลว่าจบ/ทำให้จบ แต่สำเร็จ (success) นั้น ไม่ใช่แค่จบธรรมดา แต่ยังบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ด้วย

ย้อนกลับไปเรื่องของ KPI และ Balanced Scorecard ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้หรอกนะครับ ทุกเครื่องมือมีวัตถุประสงค์ มีข้อดีข้อเสีย อย่าใช้เครื่องมือโดยไม่เข้าใจเครื่องมืออย่างถ่องแท้ อย่ากำหนด KPI เพียงเพื่อให้ผ่าน KPI โดยง่าย อย่าตั้ง KPI โดยไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ หรือสิ่งที่องค์กรพยายามจะทำ

KPI บางอย่างควรกำหนดลงมาจากระดับสูง เช่นเรื่องเกี่ยวกับทิศทาง และมีบางเรื่องที่ไม่ควรกำหนดลงมา เช่นรายละเอียดของการปฏิบัติการ เพราะว่าเมื่ออยู่สูง จะมองไม่เห็นรายละเอียด/ข้อจำกัดมากนัก แต่ถ้ามองเห็น บางทีอาจเล่นผิดบทบาทไปแล้วก็ได้ ประสบการณ์ช่วยสอน ช่วยเตือนล่วงหน้าได้ ส่วนความรับผิดชอบนั้นก็ต้องมีร่วมกัน แต่ทว่าในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีความไว้ใจผู้ปฏิบัติงานให้เขาได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะร่วมงานกันไปทำไม

ในส่วนของผู้ปฏิบัตินั้น คงต้องแยกแยะระหว่างคำว่าเสร็จกับสำเร็จให้ได้ ถ้าเป็นการบรรยายเพื่อถ่ายทอดความรู้/ประสบการณ์ แค่บรรยายจบ-รักษาเวลาตามกำหนด เป็นการ “เสร็จ” แต่อาจไม่ “สำเร็จ” บรรยายเสร็จ ผู้บรรยายได้พูดในสิ่งที่เตรียมมาพูด แต่ถ้าการบรรยายนั้นประสบความสำเร็จ ผู้ฟังน่าจะได้ประเด็นอะไรไปคิด-ไปทำต่อ ซึ่งยังขึ้นกับองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมาย

ในเรื่ององค์ประกอบของความสำเร็จ “อย่างสูง” นั้น คุณ bojs เคยกล่าวถึงหนังสือชื่อ Outliers ของ Malcolm Gladwell ผมยังไม่ได้อ่านหรอกครับ แต่อ่านรีวิว และเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้แล้วหลายอัน Gladwell กล่าวถึงกฏหมื่นชั่วโมงตลอดเล่ม กล่าวโดยย่อคือหากใครทำเรื่องใดมาหมื่นชั่วโมงแล้ว เขาน่าจะรู้จริงในเรื่องนั้น จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นเป็นอย่างสูง

In the introduction, Gladwell lays out the purpose of Outliers: “It’s not enough to ask what successful people are like. [...] It is only by asking where they are from (เจ้าเป็นไผ) that we can unravel the logic behind who succeeds and who doesn’t.”

“…We are far too impatient with people when we assess whether someone has got what it takes to do a certain job. We always want to make that assessment after six months or a year. That’s rediculous, you know? The kind of jobs we have people do today are sufficiently complex that they require a long time to reach mastery. And what we should do is to setup an institution instructor that allows people to spend the time and efforts to reach mastery, not judging them prematurely…”

พูดง่ายๆ คือ เวลาตัดสินคน ต้องระมัดระวังครับ

การสอน ไม่ใช่แค่บอกสิ่งที่ผู้สอนอยากจะบอก แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้แน่ใจว่าผู้เรียนนำเอาไปใช้ได้จริง


บุพการี

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 8 July 2009 เวลา 0:10 ในหมวดหมู่ ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ #
อ่าน: 5060

๏ ใครแทนพ่อแม่ได้ ไป่มีเลยท่าน
คือคู่จันทร์สุรีย์ศรี สว่างหล้า
สิ้นท่านทั่วปฐพี มืดหม่น
หมองมิ่งขวัญซ่อนหน้า นิ่งน้ำตาไหล ฯ

๏ พ่อแม่เสมอพระเจ้า บนสวรรค์
ลูกนิ่งน้อมมิ่งขวัญ กราบไหว้
น้ำตาต่างรสสุคันธ์ อบร่ำ หอมฤา
หอมค่าน้ำใจไซร้ ท่านให้หมดเสมอ ฯ

๏ ถึงตายเกิดใหม่ซ้ำ ไฉนสนอง
คุณพ่อแม่ทั้งสอง สั่งฟ้า
น้ำนมที่ลูกรอง ดูดดื่ม
หวานใหม่ในชาติหน้า กี่หล้าฤาสลาย ฯ

๏ รอยเท้าพ่อแม่ได้ เหยียบลงใดแล
เพียงแค่ฝุ่นธุลีผง ค่าไร้
กราบรอยท่านมิ่งมง คลคู่ ใจนา
กายสิทธิ์ใส่เกล้าไว้ เพื่อให้ขวัญขลัง ๚ะ๛

อังคาร กัลยาณพงศ์


รอบปีแรกในการเป็นบล็อกเกอร์ที่ลานปัญญา

1 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 7 July 2009 เวลา 0:00 ในหมวดหมู่ ลานปัญญา #
อ่าน: 3189

ผมเริ่มเป็นสมาชิกลานปัญญาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เป็นสมาชิกคนแรกถัดจาก Admin เปิดบล็อกลานซักล้างนี้เมื่อวันที่ 7 โดยเป็นบล็อกแรกของลานปัญญาถัดจากบล็อกลานปัญญาเองที่หน้าแรก ก่อนผมสมัครสมาชิก เม้งและโสใช้ระบบอยู่ แต่ว่าทั้งคู่ใช้บัญชีชื่อ Admin (ก่อนถูกผมยึดอำนาจเมื่อตอนย้ายกลับเมืองไทย ฮี่ฮี่)

ผมเขียนหน้า “เกี่ยวกับบล็อกนี้” เป็นหน้าแรกเมื่อตอนเปิดบล็อก และเขียนบันทึกแรกในวันที่ 8 กรกฎาคม

ในรอบปีแรก ผมเขียนบันทึกต่อเนื่องทุกวัน รวม 470 บันทึก ในปริมาณมหาศาลนี้ ผมไม่คิดว่าบันทึกที่ผมเขียนเป็นเรื่องเรื่อยเจื้อย เขียนอะไรเรื่อยเปื่อยไปเพื่อให้เป็นสถิติ แต่ทุกบันทึกพยายามอย่างยิ่งให้มีแง่คิด ถ้าเขียนแล้วไม่มีประเด็น ก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไมครับ เปลืองเนื้อที่เปล่าๆ

ในลานปัญญามีบันทึกที่ดีแต่ไม่มีคนอ่านมากนัก ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้คุณค่าของบันทึกน้อยลงเลย บันทึกก็ยังอยู่ที่เดิม และ search engine ก็จะหาเจอเมื่อผู้ค้นหา ตั้งคำถามที่ถูกต้อง ดังนั้น บันทึกที่ดีน่าจะยืนหยัดในกาลเวลาได้ มีแง่คิด มีประเด็นให้ผู้อ่าน มากกว่าจะเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน (ซึ่งไปโทรศัพท์ เขียนอีเมล หรือใช้ IM จะเหมาะกว่า) หรือเป็นเรื่องเฉพาะกาลซึ่งมาอ่านทีหลัง ก็เป็นเรื่องเล่าที่ผ่านไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว หรือเรื่องที่อ่านกับไม่อ่านมีค่าเท่ากัน

ส่วนในรอบปีที่สอง ผมคงจะเขียนบันทึกไม่ได้มากขนาดนี้ เพราะจะมีงานมากขึ้น แต่ก็จะพยายามเขียนเพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ทุกวันนะครับ

ในรอบปีที่ผ่านมา ผมชอบใจที่ลานปัญญาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ เราไม่มีสมาชิกมากเกินไปจนไม่รู้จักกัน แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า มี เฮฯ 6-7-8 มีมินิเฮฯ มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ “อรยนท” มีหนังสือเจ้าเป็นไผ ๑ มีคู่มือที่ร่วมกันทำ


แบ็คอัพ

5 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 6 July 2009 เวลา 0:17 ในหมวดหมู่ คอมพิวเตอร์ การใช้งาน โปรแกรม #
อ่าน: 3327

เป็นเรื่องสุขอนามัยทางคอมพิวเตอร์ ที่จะต้องทำการสำรองข้อมูลเอาไว้ เผื่อติดไวรัส เผื่อดิสก์เสียหาย

แต่เรื่องนี้ ก็ไม่ค่อยทำกัน ผมก็ไม่ค่อยทำหรอกครับ! ทำก็ว่าทำ ไม่ทำก็ไม่ต้องมาวางฟอร์มอ้างเหตุผลอะไร

ฮี่ฮี่ ทีนี้มีดิสก์ใหม่ ใหญ่เบ้อเริ่ม เลยได้ทำอย่างที่ควรทำเสียที

ดังนั้นตั้งแต่ตื่นมา วันนี้ทั้งวัน ก็นั่งสำรองข้อมูล จัดหมวดหมู่ไฟล์ต่างๆ เสียที จึงเพิ่งรู้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้อยู่เป็นประจำ มีกว่าล้านไฟล์… เอื๊อก สงสัยว่ามีขยะเยอะเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร แบ็คอัพไว้ก่อน แล้วค่อยมากำจัดทีหลัง

ในเมื่อผมทำแล้ว คราวนี้เตือนทุกท่านได้เต็มปากว่าอย่าปล่อยดิสก์ทิ้งไว้โดยไม่ได้แบ็คอัพเลยครับ ถ้าติดไวรัส ลงโปรแกรมใหม่ได้ แต่ไฟล์ที่เขียน/ทำเอาไว้ มักหายหมด รูปที่ถ่ายไว้ก็ไปหมด ในสถานที่ที่ไฟดับบ่อย ดิสก์มีโอกาสเสียหายมากกว่าปกติครับ

อย่าเสี่ยงเลย ไม่คุ้มหรอกนะครับ


ขึ้นรอบปีที่สองของลานปัญญา

10 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 5 July 2009 เวลา 0:10 ในหมวดหมู่ ลานปัญญา #
อ่าน: 3707

ที่จริงเรื่องของวันคล้ายวันเกิดลานปัญญานั้น คงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ผมรู้ตัวล่วงหน้าก่อนแล้วเพราะว่าเป็นคนผูกดวงลานปัญญาเอง ฮี่ฮี่

เมื่อคืนผมไม่ได้เขียนบันทึกเรื่องวันเกิดลานปัญญา เพราะเห็นว่าควรจะให้เกียรติคนสร้างลานปัญญาเขาเขียน ผมมีบันทึกที่เขียนล่วงหน้าไว้แล้ว ในส่วนของผู้ใช้ (ผมเป็นผู้ใช้คนแรก เปิดบล็อกแรก เขียนหน้าแรก เขียนบันทึกแรก) รออีกสองวันจะเปิดออกมาให้อ่านครับ

ในตอนที่เริ่มต้นนั้น เม้งถามมาจากเยอรมันว่าถ้าจะตั้งบล็อกเองควรทำอย่างไร ผมตอบไปว่าถ้าเป็นผม ผมจะใช้ซอฟต์แวร์ตัวที่ลานปัญญาใช้อยู่นี่ล่ะ อาจจะไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่นิ่งพอ และใช้คนธรรมดาดูแลได้์

เม้งจัดการเรื่องเครื่องเช่า โดเมน โสจัดการเรื่องการติดตั้งซอฟต์แวร์ ซึ่งก็นับว่าเก่งครบเรื่องเลยครับ การติดตั้งไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ต้องรู้จริงหลายเรื่อง ผมคิดว่าเราโชคดีที่ทั้งสองตัดสินใจลุยทำไปเลย จึงมีลานปัญญาในวันนี้

ตัวผมไม่ได้ช่วยอะไรในตอนติดตั้ง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่ได้ลาออกจากงานประจำจึงโกลาหลเป็นธรรมชาติ ภายหลังผมยึดอำนาจการจัดการลานปัญญาเมื่อย้ายเครื่องแม่ข่ายกลับเมืองไทย เพราะว่าการมี Admin หลายคน แล้วต่างคนต่างพยายามปรับปรุง ทำให้มีผลลบต่อ stability ของระบบ เป็นปรัชญาในงานบริการง่ายๆ ระบบที่ดีคือระบบที่ผู้ใช้รู้ว่าทำอะไรแล้วได้อะไร จะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ ผู้ใช้ต้องมาก่อน Admin และในระบบบริการที่ดีนั้น Admin ไม่ต้องแสดงตัวตน/ควรจะหลบอยู่เบื้องหลังได้ทั้งหมด

อ่านต่อ »


Megalopolis

อ่าน: 5095

คำว่า Megalopolis (บางทีเรียก Megapolis) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลตรงๆ ว่าเมืองขนาดยักษ์ที่เชื่อมต่อกันเป็นแนวยาว

คำนี้ เป็นที่รู้จักกันเมื่อนักภูมิศาสตร์ชื่อ Jean Gottmann (1915-1994) ชาวฝรั่งเศส ทำการศึกษาเมืองในสหรัฐในช่วงทศวรรศที่ 1950s และได้เรียกเขตเมืองซึ่งติดกันไปเป็นพืดเป็นระยะ 500 ไมล์ ตั้งแต่บอสตันทางเหนือไปจรดวอชิงตัน ดีซี ทางใต้

ในอีกมุมหนึ่ง Megalopolis มีความสมบูรณ์ในตัวเองในแบบของคลัสเตอร์ ในแง่ที่จะเอาอะไรในห่วงโซ่คุณค่า Megalopolis ก็มีทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่ำลงมาก ยิ่งกว่านั้น การที่อุตสาหกรรมเดียวกัน ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ทำให้คนงานแม้จะตกงานจากที่หนึ่ง ก็มีโอกาสหางานได้ไม่ยากนัก และทำให้อุตสาหกรรมต่างต้องรักษาพนักงานที่มีค่าของตนไว้ ไม่ให้เสียไปให้กับคู่แข่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็จะช่วยให้คุณภาพของการจ้างงานดีขึ้นบ้าง

ทีนี้มาดูเมืองไทยบ้าง ถามว่ามีโอกาสไหม ก็ตอบว่ามีครับ แต่ว่ามันไม่เคยมีการวางแผน หรือการจัดการใดๆ

อ่านต่อ »


ควานดาเอ็ฟเฟ็ค — แรงยกมหัศจรรย์

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 3 July 2009 เวลา 0:15 ในหมวดหมู่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี #
อ่าน: 7366

ควานดาเอ็ฟเฟ็ค (Coandă effect อ่านว่า /ˈkwɑːndə/) มาจากชื่อของนักวิทยาศาสตร์โรมาเนีย ชื่อ Henri Coandă ซึ่งสังเกตว่าของเหลวหรือของไหล จะไหลไปตามผิวโค้งที่เรียบ แล้วสร้างแรงดูดให้เกิดขึ้น

หลักการนี้ เป็นหลักการสำคัญของการอัดอากาศในเครื่องยนต์เจ็ต ซึ่งเขาก็สร้างเครื่องบินเจ็ตเครื่องแรกของโลก ตั้งชื่อว่า Coandă-1910 ออกแสดงในกรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1910 ซึ่งก็บินขึ้นซะด้วยแม้ร้อยปีที่แล้ว จะไม่มีเครื่องยนต์รอบจัด/กำลังสูงอย่างในปัจจุบัน

อ่านต่อ »


เศษ[เดียร]ถีย์

อ่าน: 4159

ไม่ได้เขียนผิดหรอกนะครับ แต่เขียนอย่างนี้แล้วให้ความรู้สึก ว่ามีเศรษฐีอยู่มากมาย ที่ไม่เข้าใจคุณค่าและหน้าที่ ของความมั่งมีที่เกินพอ ยังเอาเปรียบ ขูดรีด กอบโกย ไม่รู้จักพอ โดยไม่ได้ตระหนักว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ มีอยู่อย่างจำกัด เมื่อคนหนึ่งมีมากเกินไป จะมีอีกหลายๆ คนที่ขาดแคลน ในเมื่อคนส่วนใหญ่ขาดแคลนจนอยู่ไม่ได้ คนที่มีพอก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน

วันนี้ ตัดตอนเอาบทความของอาจารย์อัจฉรา โยมสินธุ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกรุงเทพธุรกิจมาให้อ่านครับ บทความเต็มอ่านได้จากลิงก์ที่ให้ไว้

สังคมไทยของเราจะยิ่งด้อยคุณภาพลงไปอีกหากเศรษฐีในบ้านเราเป็นเศรษฐีอนาถา ซึ่งผู้เขียนขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. เศรษฐีขี้โกง คือ คนที่ร่ำรวยมาจากการคดโกง ประกอบอาชีพที่ไม่สุจริต หาทรัพย์สินเงินทองมาได้โดยไม่ชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ทุจริตคอร์รัปชัน โกงกินงบประมาณแผ่นดิน กินนมโรงเรียน กินถนนหนทาง กินตั๋วรถเมล์ กินรถไฟฟ้า ใช้เงินปิดหูปิดตาเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้งาน ได้สัมปทาน หรือทำธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบสังคม ผลิตสินค้าไม่มีคุณภาพ ค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบพนักงาน ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลอง

คงต้องยอมรับว่าเรื่องราวการคดโกงสารพัดรูปแบบ ยังมีให้เห็นมากมายในสังคม คนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้โดยเส้นทางเหล่านี้ แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในชีวิต แต่คงหาความสุข ความสงบ ความสบายใจได้ยากในแต่ละวัน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง ความทุกข์ใจจากความหวาดระแวงจะรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา

2. เศรษฐีไร้ฝีมือ คือ คนที่ร่ำรวยจากมรดกตกทอดที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษสั่งสมไว้ให้ซึ่งเมื่อได้มา แล้วกลับไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและสังคม แต่กลับผลาญทรัพย์สินเงินทองไปอย่างไร้ค่า ใช้เที่ยวเตร่ เถลไถล ซื้อหาข้าวของราคาแพง ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แถมการงานก็ไม่ทำให้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีผลงาน ไม่ตั้งใจเรียน ไม่เห็นคุณค่าของการทำงาน ไม่มีการพัฒนาตนเอง เพราะเห็นว่าตัวเองมีทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว ไม่เห็นจะต้องทำอะไรให้ลำบาก เศรษฐีอนาถาประเภทนี้ ในที่สุดแล้วก็จะพบว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง และมักจะไม่มีมิตรแท้ มีแต่มิตรที่คิดจะปอกลอก หลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทอง

3. เศรษฐีปีศาจ คือ คนที่ร่ำรวยแต่กลับใช้เงินใช้ทองที่มีมากมายไปทำร้ายเบียดเบียนส่วนรวมเพื่อ ประโยชน์ส่วนตัว เช่น สร้างบ้านพักตากอากาศรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน สร้างรีสอร์ทบนชายหาดสาธารณะ หลบเลี่ยงภาษีสารพัดรูปแบบ กระทั่งใช้เงินซื้อเก้าอี้ ซื้อที่นั่งในโรงเรียน ในที่ทำงาน หรือในสภาเพื่อให้ลูกหลานหรือตัวเองได้เข้าไปเรียน เข้าไปทำงานในที่ที่ต้องการ ทั้งที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ ไม่มีอุดมการณ์เพียงพอ ทำให้คนที่เหมาะสมกว่า มีความรู้ ความสามารถมากกว่าหมดโอกาสในการเรียน การทำงานหรือการพัฒนาประเทศ เพราะไม่มีเงินถุง เงินถังมาจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ย เศรษฐีกลุ่มนี้มักหลงเข้าใจผิด คิดว่ามีคนให้ความเคารพนับถือในตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดูดี และแม้หน้าตาจะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ลึกๆ แล้วมักมีความกังวลใจในความรู้ ความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา

4. เศรษฐีโง่ คือ คนรวยที่ไม่รู้จักพอแม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ก็ไม่เคยพอใจ ต้องการจะมีให้มากขึ้นไปอีก เศรษฐีอนาถากลุ่มนี้จะตั้งหน้าตั้งตาหาแต่เงิน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่มีเวลาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ เพราะมัวแต่ WORK HARD แบบไม่ SMART สักเท่าไร เศรษฐีประเภทนี้อาจจะรู้ตัวเมื่อเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความเครียด หรือเป็นเบาหวาน เป็นมะเร็ง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไปเพราะไม่เคยดูแลตัวเอง หรือครอบครัวแตกแยก ซึ่งในที่สุดแล้วเงินทองที่ตั้งหน้าตั้งตาหามาได้มากมาย ก็ไม่ได้สร้างความสุขอย่างแท้จริงในชีวิตได้เลย เพราะรู้อะไรก็ไม่สู้ รู้จักพอ!!

5. เศรษฐีเห็นแก่ตัว คือ เศรษฐีที่ไม่รู้จักแบ่งปัน คิดแต่จะสะสมทุกอย่างไว้เป็นของตัวเอง ไว้ให้ลูกหลานตัวเอง ไม่ยอมแบ่งให้แก่สังคม ความเห็นแก่ตัวเหล่านี้ มักก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนสังคมอยู่เสมอๆ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากคนที่มีโอกาสมากกว่าจึงไม่ถูกแบ่งปันไปให้กับคน ที่ด้อยโอกาสกว่า ช่องว่างและความไม่เป็นธรรมในสังคมจึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

เพราะความสุขในชีวิตไม่ได้วัดกันที่จำนวนทรัพย์ สินเงินทอง เศรษฐีอนาถาหรือผู้มีส่วนเกินมากจนเกินพอดีหากอยากลิ้มรสความสุข ความสงบอย่างแท้จริงจึงต้องลดส่วนเกินลงบ้างเพื่อรักษาระดับความพอดีไว้ให้ ไม่ขาดไม่เกิน ง่ายๆ เพียงรู้จัก “พอเพียง” และ “แบ่งปัน”



Main: 0.17838788032532 sec
Sidebar: 0.55001997947693 sec