เรือโนอาห์
อ่าน: 4165เรือโนอาห์ (Noah’s Ark) เป็นเรื่องที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์ไบเบิ้ล พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน (เรียกว่า นูห์ /Nuh/) และศาสนาอันเก่าแก่ที่เกิดขึ้นจากบริเวณตะวันออกกลาง ว่าพระเจ้าทรงมีพระวัจนะ บัญชาให้สร้างเรือใหญ่ แล้วนำสัตว์โลกอย่างละเป็นคู่ขึ้นเรือไป หนีจากน้ำท่วมโลก
แนวคิดเรื่องเรือโนอาห์ในฐานะของเครื่องมือเก็บรักษาตัวอย่างของวัฒนธรรม ความรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ เอาไว้หลังจากที่ “ภัย” เกิดขึ้น เหมือนเป็นหลักประกันความต่อเนื่องของชาติพันธุ์หลังการทำลายล้าง ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ สงคราม ความล่มสลายทางเศรษฐกิจ หรือภัยจากการทำลายล้างตัวเอง
ที่กลับมานึกถึงเรื่องเรือโนอาห์ ก็เพราะชีวิตและสังคมในปัจจุบันนี้ วุ่นวายเกินไป ต่างสนใจแต่เรื่องของตนเองจนเบียดเบียนคนอื่นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คนสมัยนี้ลืมไปว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อ่อนแอ และจำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นและธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวแต่หลอกตนเองว่าเห็นแก่ชาติบ้านเมือง จะนำคนไปสู่ความล่มจม ตายหมู่ และจะเป็นหมู่ใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะร่วมด้วยหรือคัดค้าน โลกนี้ไม่ใหญ่พอที่จะแบกรับความขัดแย้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เรือโนอาห์สมัยใหม่ในความคิดของผมนี้ ไม่ได้เป็นเรือหรอกนะครับ มันเป็นสถานที่ที่มีความมั่นคงทางปัจจัยสี่ น้ำ อาหาร และพลังงาน มีต้นไม้ใหญ่ มีสมุนไพร ปลูกพืชอาหารกินเอง เก็บกินไม่ใช่ทำกิน มีน้ำไหลแต่ไม่ท่วม ทำให้คนใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโลกภายนอกมากนัก ฝันไว้ว่า (1) ไม่ต้องใช้เงินก็มีชีวิตอยู่ได้ (2) ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโลกภายนอก (3) ไม่ได้ปฏิเสธเงินหรือธุรกิจ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนัก (4) ถ้ามีเงินอยากใช้ก็ใช้ ไม่ห้าม (5) ความรู้ที่มีในนี้ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ต่อชีวิต ไม่ต้องสูงส่ง แต่มีประโยชน์ ถ้าสูงส่งแล้วมีประโยชน์ก็ยิ่งดี (6) ถนัดอะไร/รักอะไรก็ทำอย่างนั้น มีเหลือก็แจก/ขาย (7) ใช้เน็ตทำสิ่งที่ไม่ต้องเดินทาง หรือฝึกอบรม พักฟื้นหลังป่วย ดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ (8) เริ่มช่วยชุมชนใกล้ๆ ก่อน ใครอยู่ไกลแต่อยากมาดูก็มา
เรือโนอาห์ลำนี้ มียาดีอยู่อย่างหนึ่ง บางทีอาจบรรเทาความโลภลงได้บ้าง คือเนื่องจากปัจจัยสี่บริบูรณ์ ความร่ำรวยจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ใครเป็นอย่างไรก็เป็นไป แต่ดูกันที่ว่าใครเป็นของจริงหรือไม่ กินมื้อหนึ่งเกินปริมาตรท้องไม่ได้อยู่ดี ถ้าอยากสะสมไว้กินมื้อหน้า ก็ปลูกต้นไม้เอาไว้ตั้งแต่วันนี้ — เมื่อชีวิตอยู่ได้แล้ว ทีนี้จะทำประโยชน์อะไรก็ทำเลยครับ
อาจจะคล้ายสถาบันสถาปนาของอาซิมอฟในบางมิติ หรืออาจคล้ายสังคมอุดมคติในสตาร์เทร็ค ซึ่งก็แล้วแต่จะคิดกันไปครับ แต่ผมเรียกว่าหมู่บ้านเฮ
ที่เขียนในบันทึกนี้ไม่ใช่ทั้งหมดของหมู่บ้านเฮหรอกครับ การบรรยายถึงชุมชนอะไรก็ตามนั้น ไม่สามารถทำได้ในเพียงไม่กี่ย่อหน้า จะค่อยๆ ขยายต่อไปในโอกาสต่อๆ ไป
« « Prev : มิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ
8 ความคิดเห็น
ที่แน่ๆ ถ้ามีหมู่บ้านเฮจะไปบ่อยๆ
ไม่แน่อาจไปเก็บของไว้ที่นั่น(ความหมายคือไปอยู่ …อิอิ) เพราะเดินทางมากกว่าอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
รอติดตามความก้าวหน้าและขยายความ หมู่บ้านเฮ ตอนต่อ ๆ ไปครับ
มี 2 หมู่
หมู่ 1 หมู่บ้านเฮ
อีกหมู่หนึ่งหมู่บ้านฮา อิอิ
ถ้าจะฝากกระเป๋าคิดแพงกว่ารายการใดๆ
สิ่งที่หายากที่สุดสำหรับหมู่บ้านเฮคือคนครับ หาคนแบบที่อุปทานเบาบางแล้วไม่กลัวที่จะเริ่มชีวิตใหม่ได้ยาก; เรื่องที่ดินยังเป็นเรื่องรอง เพราะว่าถ้าหาคนไม่ได้ ก็ลดขนาดจากหมู่บ้านเฮพื้นที่ใหญ่เป็นบ้านเฮเฉยๆ ทำตามกำลัง ไม่ต้องคิดเผื่อ แต่ถ้ามีกำลังมาก หาที่ได้มาก แต่คนยังไม่พร้อมจะย้ายมา ก็ยังเริ่มวางผัง/ปลูกต้นไม้ให้ก่อน/ดูแลให้ได้ — ไม่มีเงิน ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ หมู่บ้านเฮขาดคน/แสวงหาแนวร่วม เงินเรื่องเล็ก
ไม่อยากให้มองในลักษณะที่จัดสรร แต่เป็นการลงทุนในรูปสหกรณ์หรือมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผลกำไรดีไหมครับ (หมายความว่าหาร่วมกัน กำไรแบ่งคืนทั้งหมด)
เป็นแนวทางที่กำลังแสวงหาอยู่เช่นกันครับท่านอาจารย์
ผมนะอยากอยู่นอกเมือง ทำงานที่เรารัก ไม่มีแรงกดดันใดๆ ไม่เป็นทาสใคร จะทำหรือจะหยุดเมื่อไหร่ เป็นไปตามจังหวะ/ข้อจำกัดของเรา ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไรเพราะว่ามันไม่ต้องใช้มาก (แต่มีกิน) และมีอินเทอร์เน็ต พร้อมเครือข่ายมนุษย์ไม่ว่าใกล้หรือไกล
ตอนนี้ก็ทำบ้านที่อยู่นี่ให้เป็นบ้านฮาแบบพ่อว่าไปก่อนอ่ะค่ะ พยายามทำบ้านให้น่าอยู่ จัดสิ่งแวดล้อมดี ๆ อยู่กินอย่างสมถะ สงบ สบายใจและมีไมตรีต่อเพื่อนบ้าน ถ้าเราอยู่แบบฮาได้ ดูแลหน่วยของตัวเองได้ดี ถึงต่อไปจะต้องไปร่วมเฮไปเป็นหมู่บ้านอะไรกับใครก็เข้าใจว่าถ้าจุดหมายและแนวทางคล้าย ๆ กันก็ไม่น่าจะยากเนอะคะ
ผักก็ปลูกกินเองได้บ้างแล้ว
เสียแต่ว่าโตไม่ทันเจ้าของกินเลยยังไม่สบโอกาสแบ่งปันเพื่อนบ้านเสียทีแค่นั้นเองอ่ะค่ะ
^^