พระไม้ ยังอยู่

7 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 9 December 2009 เวลา 16:21 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 4979

การแกะรูปลอยตัวแบบที่ตั้งใจจะทำนี้ เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็นสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนและฝึกฝนมา มีโอกาสล้มเหลวมากกว่าสำเร็จด้วยซ้ำไป เพราะว่าขุดลึกไปนิดเดียว ไม่มีทางซ่อมแซม; เมื่อตั้งใจแล้ว ศึกษาแล้ว ก็ลงมือทำเลย ไม่ตั้งเงื่อนไข เมืองไทยมีคนพูดมากกว่าคนทำครับ บ้านเมืองจึงไม่ไปไหนเสียที

แต่ผมขึ้นรูปพระไม้ เทียบกับแบบที่ร่างไว้เป็นขนาดจริงแล้ว วันนี้ยังไม่ได้ตัดอะไรเกินไป ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ยังไม่เจ๊ง

พระไม้วันนี้ (ซ้าย) เทียบกับเมื่อวาน (ขวา)

ส่วนที่ดูเป็นก้อนกลมสองก้อนซ้อนกัน เป็นอาณาบริเวณของพระเศียรและพระโมฬี กันที่ไว้คร่าวๆ ยังไม่เจียรเข้าไปใกล้องค์จริง ไม่ควรรีบร้อนทำ

หลังจากนี้ คงเขียนบันทึกรายงานความคืบหน้าประมาณสัปดาห์ละครั้งนะครับ พรุ่งนี้จะไปชัยภูมิตั้งแต่เช้า

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกยิ่งกว่าความตาย ก็คือ ความไม่ตายของต้นเหตุที่ทำให้เราเดือดร้อน ทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกายและจิตใจอันได้แก่ พลังงานอวิชชา อัสสาทะ กิเลส ตัณหา อุปาทานในจิตวิญญาณเรา ซึ่งจะติดตามไปสร้างความเดือดร้อนทุกข์ทรมานให้เราทุกภพทุกชาติอย่างไม่รู้จบไม่รู้สิ้น และจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นๆ ถ้าเราเติมอาหารเติมเชื้อเพลิงพลังงานให้มันอยู่ตลอด ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น — จากบันทึกในลานสวนป่า


พระไม้ วันต่อมา

9 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 8 December 2009 เวลา 16:34 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 10885

ต่อจากเมื่อวาน แผลไม่ระบม จึงแกะพระต่อครับ

แต่จากคำแนะนำทั้งในความคิดเห็น ทาง SMS และโทรคุยกัน วิธีการมีมากมาย เลือกไม่ถูกเลย ผมชอบคำแนะนำของ อ.พฤษภ์ ที่ให้ใช้เลื่อย แต่วันนี้ยังไม่ได้ทำหรอกครับ สถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ผมแอบทำไม่ให้พ่อรู้ แต่คนอื่นรู้กันทั้งบ้าน อีกอย่างหนึ่งคือ ผมไม่ค่อยไว้ใจตัวเองเวลาใช้เครื่องมือหยาบๆ ครับ

ครูบาแนะให้ลองที่กรอแบบหมอฟัน ราคาไม่แพง แต่ผมมีเครื่องมืออื่นอยู่แล้ว คือสว่านความเร็วสูง คอตรง ซึ่งมีหัวเจียร เพียงแต่ว่าหัวเจียรใช้ทำงานไม้ไม่ดีนัก (ละเอียดเกินไป) จึงต้องพลิกแพลง

ก็เลยจะไปซื้อกระดาษทรายหยาบมากๆ เดินดูไปดูมา ไม่ถูกใจ จะกลับอยู่แล้ว ไปเจอกระดาษทรายสำหรับเครื่องขัดแบบสายพาน มีสามแผ่นราคารวมสี่สิบกว่าบาท เลยหยิบมาชุดหนึ่งครับ เป็นสายพานกระดาษทรายเบอร์ 36 แต่จะใช้เบอร์ 40 ก็ไม่น่าเกลียด เบอร์ยิ่งต่ำก็ยิ่งหยาบ

ตัดกระดาษทราย เป็นวงเกือบกลม ไม่จำเป็นต้องกลมดิ๊ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ผมใช้สองชั้นประกบกลับหน้าหลังเพื่อให้แข็งพอ เจาะรู ใส่แกน แล้วต่อกับเครื่องเจียร

พบว่ากินเนื้อไม้มากกว่าหัวเจียรที่มากับเครื่อง แถมมีราคาถูก ทำเองได้ซะด้วย — หัวเจียรวางอยู่ข้างกรรไกร

ทีนี้ก็สนุกล่ะ ทำการขึ้นรูปต่อ จะเห็นส่วนลำตัวขององค์พระ ผมใช้สว่านกับหัวกระดาษทรายขัด ทำให้เรียบผิดปกติ แต่ส่วนเศียรพระ ยังใช้สิ่วเล็กขุดต่อไปครับ สะใจดี ได้แผลเล็กมาอีกแผลหนึ่ง รูปวันนี้ (ซ้าย) เทียบกับเมื่อวาน (ขวา) หลังเลือดสาด

เรียนในห้อง…ได้ความรู้
เรียนนอกห้อง…ได้ความจริง

เอาความรู้บวกกับความจริง
เราได้…ความรู้จริง

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ หนังสือ “คนนอกระบบ”
ปราชญ์ชาวบ้านที่ไม่ชอบให้เรียกอย่างนี้
มหาชีวาลัยอีสาน บุรีรัมย์


องค์นี้ ท่าจะขลัง

19 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 7 December 2009 เวลา 21:03 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 7090

วันนี้เป็นวันหยุดชดเชย ทั้งๆ ที่รู้ว่า ผมก็ออกไปนอกบ้านไปหาซื้อเครื่องมือช่าง คืออย่างนี้ครับ เมื่อคราวไปสวนป่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เห็นฤๅษีอ้นแกะไม้เป็นพระ ชอบมาก ชอบจริงๆ คิดจะทำบ้าง องค์แรกจะทำให้พ่อ ไม่ปลุกเสก อาจจะไม่ถูกพุทธลักษณะ แต่มีความสุขที่จะทำ และตั้งใจทำให้พ่อครับ

พ่อเกิดวันจันทร์ มีพระประจำวันเกิดเป็นปางห้ามญาติ พระอาจารย์ชัยวุธบอกว่ายกสองมือเป็นปางห้ามสมุทร ยกมือเดียวเป็นปางห้ามญาติ… โอ ดีที่กลับไปอ่านบันทึกเก่า เพราะถ้าค้นเว็บจะเจอรูปทั้งสองปางภายใต้คำบรรยายเดียวกัน ก็จะงงอีก

ตอนเย็น จึงไม่ตัดหญ้า/ปลูกต้นไม้/ให้อาหารหมา แต่ไปหาเลื่อยมาตัดท่อนไม้เก่าที่แห้ง ได้ทรงกระบอกขนาดพอเหมาะ เนื้อไม้ไม่แข็งเกินความตั้งใจ

จากนั้นก็เริ่มกำหนดสัดส่วนความสูงขององค์พระ (จากเส้นผ่าศูนย์กลางของฐาน) เอาดินสอร่างไว้เป็นแนว แล้วก็เริ่มขุดเลยครับ ใช้สิ่วแกะไม้แบบเด็กๆ นั่นแหละ ผมเริ่มขึ้นรูปจากด้านหลังก่อนเพราะค่อนข้างเรียบ ไม่ได้เล่นอะไรอย่างนี้มาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว สนุกดีครับ ผลลัพท์เป็นดังนี้

ทำไปได้นิดเดียว แสงก็ยังไม่หมด แต่ทำต่อไม่ได้หรอกครับ คือว่าการควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก เช่นแขน/ขา/นิ้วของผมนั้น มันไม่ค่อยเชื่อฟังสมอง ดังนั้น แทนที่จะไสสิ่วไปบนไม้ สิ่วกลับไถลมาไสไปบนนิ้วของผม เลือดออกเยอะแยะ เอามือกดห้ามเลือดจนหยุดแล้ว ก็ยังออกมาอีกสองสามยก แดงฉานไปหมด แล้วนิ้วผมก็เป็นดังรูปข้างล่าง

อืม อย่าว่าทำแผลไม่เป็นเลยครับ ล้างแผลแล้ว เอาสำลีกดแผลไว้ แล้วพันพลาสเตอร์ให้แน่น กลัวเลือดออกมาอีก (สองสามรอบก่อน เลือดออกเยอะ กลัวเลอะเทอะครับ) ตื่นขึ้นมา ไม้รู้ว่าจะอักเสบหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะทำต่อตามความตั้งใจ แต่จะต้องระมัดระวังมากขึ้น

ถ้าแผลอักเสบ คงต้องเปลี่ยนวิธีการ คืออาจจะเลี่ยงไปใช้ปูนพลาสเตอร์ ขึ้นรูปคร่าวๆ มาเพื่อที่จะไม่ต้องตัดมากนัก

เอายังไงดีเอ่ย


ทำไมเราจึงไม่เข้าใจมากเท่าที่เราคิดว่าเข้าใจ?

อ่าน: 2883

ที่ TED มี presentation อันหนึ่งโดย Jonathan Drori เรื่อง “Why don’t we understand as much as we think we do?” — ทำไมเราจึงไม่เข้าใจ(เรื่องใดเรื่องหนึ่ง) มากเท่ากับที่เราคิดว่าเราเข้าใจ

ไม่ว่าเขาสรุปว่าอะไร จะอธิบายเหตุผลได้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญหรอกครับ

เรื่องสำคัญคือถ้าไม่เข้าใจ แล้วตัดสิน/พิพากษาได้อย่างไร

แล้วเราจะเข้าใจทั้งหมดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นตลอดเวลา ขนาดเราอยู่กับตัวเองมาตั้งแต่เกิด ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย

แต่ก็นั่นแหละครับ To Create Something Out of Nothing เรียกว่า Creativity
To Create Nothing Out of Lots of Things เรียกว่า Management :)


ส้มลูกนี้ ต่อไปอาจจะแสดงอาการน่าเกลียด

4 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 6 December 2009 เวลา 0:03 ในหมวดหมู่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3565

บันทึกนี้เป็นการอนุมาน ไม่ประสงค์จะให้เกิดความแตกตื่นครับ ขอให้พิจารณาเอาเอง

จากวิชาภูมิศาสตร์สมัยเด็กๆ โลกนี้ไม่กลมเหมือนลูกบอล แต่ป่องกลางเหมือนส้ม

ทีนี้ก็เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน จะร้อนตับแตกหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็นของบันทึกนี้ นักวิทยาศาสตร์นาซ่าประมาณว่าอาจจะขึ้นมาอีก 7 เมตรหากน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ละลายหมด กรีนพีซว่าไว้ดุเดือดกว่านั้น

ผมไม่ได้เขียนบันทึกนี้เพื่ออภิปรายว่าจะเป็นตัวเลขใดหรอกนะครับ แต่อยากชี้ประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง เกี่ยวกับมหาสมุทรสามอันบริเวณเส้นศูนย์สูตร คือแปซิฟิก อินเดีย และแอตแลนติก (ข้อมูลมาจาก Wikipedia)

มหาสมุทร พื้นที่ (ล้าน ตร.กม.)
แปซิฟิก 169.2
อินเดีย 73.6
แอตแลนติก 106.4

ในตอนนี้ โลกก็หมุนรอบแกน(หมุน)เหนือใต้แบบที่เป็นอยู่ แต่ถ้าน้ำแข็งละลายตากแผ่นดินลงมา แล้วทำให้น้ำสูงขึ้น 1 เมตร ที่ใช้เลข 1 เพราะคิดง่าย ถ้าไม่ชอบใจ ก็คูณตัวเลขที่ชอบเอาเองก็แล้วกันครับ — ถ้ามีเขื่อนที่มีพื้นที่ 1 ตร.กม. เติมน้ำให้สูงขึ้น 1 เมตร จะมีมวลของน้ำ (น้ำหนัก) เพื่มขึ้น 1 ล้านตัน

แต่ระดับน้ำในแต่ละมหาสมุทรก็(เกือบจะ)เท่ากัน เพราะมันต่อถึงกันหมด มหาสมุทรแปซิฟิกจะมีมวลเพิ่มขึ้น 169.2 ล้านล้านตัน มหาสมุทรอินเดียหนักขึ้น 73.6 ล้านล้านตัน และมหาสมุทรแอตแลนติกเพิ่มขึ้น 106.4 ล้านล้านตัน

ลองนึกถึงส้มหมุนที่เกิดหูดยักษ์ขึ้นสามก้อน หูดแต่ละก้อนหนักไม่เท่ากันดูนะครับ ส้มจะยังหมุนรอบแกนเดิมเหมือนเพิ่งไปตั้งศูนย์ล้ออยู่ได้หรือไม่ครับ

ผมคิดว่าหูดแปซิฟิกซึ่งหนักกว่าเพื่อน แถมมีขนาดใหญ่กว่าพื้นดินทั้งโลกรวมกันเสียอีก ก็จะเหวี่ยงจนแกนหมุนรอบตัวของโลกเปลี่ยนแปลงไป เพื่อรักษาโมเมนตัมเชิงมุมของโลก เมื่อแกนหมุนของโลกเปลี่ยน ไม่รู้เหมือนกันว่าแกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตามหรือไม่ ถึงไม่เปลี่ยน ดวงอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นทางทิศตะวันออกอย่างที่เคย ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเพราะว่าเส้นรุ้งเส้นแวงเปลี่ยนแปลงไป วงโคจรค้างฟ้าของดาวเทียมจะเปลี่ยนแปลงด้วย (ดาวเทียมจะไม่อยู่นิ่ง) ไม่ต้องไปห่วงธุรกิจทีวีดาวเทียมซึ่งจะโรเจอร์ไปทันทีหรอกครับ ห่วงตัวเองดีกว่า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทร จะเพิ่มความเค้นต่อแผ่นเปลือกโลก อาจเกิดการขยับยืดแข้งยืดขาเป็นแผ่นดินไหวมากผิดปกติ รอยแยกที่สงบมานานแล้ว อาจขยับด้วย

หนุกหนาน หนุกหนาน… แล้วเราทำอะไรกันได้บ้างครับ


สันโดษ​

6 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 5 December 2009 เวลา 0:00 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 4341

ความสันโดษไม่ใช่การปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวในป่าไม่ทำงานทำการ เรื่องนี้ฆราวาสก็ปฏิบัติได้ ผมยกเอาที่ อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปกเคยอธิบายไว้มาให้อ่านก็แล้วกันครับ

สันโดษ

คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดมากเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องคือสันโดษนี่แหละครับ คนส่วนมากมักเข้าใจกันว่า สันโดษคือความมักน้อย จึงมีคำพูดติดปากว่า “มักน้อยสันโดษ” แล้วก็เข้าใจต่อไปว่า คนที่สันโดษคือคนที่ไม่ทำอะไร ไม่ต้องการอะไร ปล่อยชีวิตไปตามเรื่องตามราว

เรียกว่าคนไม่เอาไหนนั่นแหละ คือคนสันโดษ

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็พาลพาโลหาว่าพระพุทธศาสนาสอนสิ่งที่ขัดต่อการพัฒนาคนและสังคม มีอย่างหรือชาติกำลังต้องการพัฒนาคน ยังมาสอนไม่ให้ต้องการอะไรมากๆ ไม่ให้สร้างสรรค์ สอนให้มักน้อยสันโดษอยู่ได้

มีอยู่สมัยหนึ่ง คือสมัยท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คุณหลวง (อย่าให้เอ่ยชื่อเลยนะครับ เอาเป็นว่า “คุณหลวง” ก็แล้วกัน) ผู้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านนายกฯสฤษดิ์ ประกาศว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีมากมายที่ดีๆ แต่บางข้อก็ไม่เหมาะกับสังคมยุคพัฒนาพระไม่ควรนำไปสอนชาวบ้าน เช่น สันโดษ เป็นต้น

พอคุณหลวงประกาศออกมา พระสงฆ์องค์เจ้า “เต้น” เป็นการใหญ่ มีการเทศนาชี้แจงว่าไม่ใช่อย่างนั้น สันโดษจริงๆ มิใช่ความมักน้อย ไม่อยากได้อะไร ไม่อยากสร้างสรรค์อะไร ทำให้มีการ “ตื่นตัว” หาทางอธิบายธรรมให้ชาวบ้านเข้าใจมากขึ้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นผลดีและน่าขอบคุณคุณหลวงเป็นอย่างยิ่ง หาไม่แล้วพระท่านก็คงไม่ใส่ใจจะมาทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดๆ ถูกๆ ไปตามเรื่อง

ว่างๆ ผมอาจจะประกาศอย่างคุณหลวงขึ้นมาบ้างก็ได้ เผื่อจะช่วย “กระตุ้น” ให้พระคุณเจ้าท่านหันมาสนใจอธิบายธรรมะให้ชาวบ้านเขาเข้าใจได้มากกว่านี้ บอกกันตรงๆ ว่าวงการพระศาสนาของเรายังต้องการพระนักเทศน์ นักบรรยาย นักเขียนที่คนอยากฟัง อยากอ่านมากกว่าที่มีอยู่

กองทัพทั้งกองทัพ มีขุนพลทหารฝีมือดีอยู่เพียงสามสี่คน จะไปสู้รบกับใครได้ครับ

ความจริง สันโดษกับมักน้อยมันคนละเรื่องกัน ความมักน้อยเป็นคำแปลของคำบาลีว่า “อปปิจฺฉตา” พระพุทธองค์ทรงสอนพระให้ปฏิบัติเกี่ยวกับปัจจัยสี่คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ว่าสิ่งเหล่านี้ให้พระต้องการแต่น้อยพออาศัยยังชีพ เพราะชีวิตพระมิใช่ชาวบ้านจะได้สะสมสิ่งเหล่านี้ไว้มากมาย

ส่วนสันโดษ หรือสนฺตุฏฐี นั้นหมายถึง ความภาคภูมิใจในผลสำเร็จที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความสามารถ ด้วยความพากเพียรพยายามของตนในทางสุจริตชอบธรรม

ฟังดูดีๆ จะเห็นว่าคนสันโดษหรือคนที่ขยันหา ขยันสร้างสรรค์ (ยถาลาภ)
ทุ่มเทกำลังกาย กำลังสติปัญญาเต็มที่ (ยถาพล)
ในสิ่งที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม (ยถาสา รูปฺป)
เมื่อได้ผลสำเร็จขึ้นมาแล้วก็ภาคภูมิใจในผลสำเร็จนั้น

ธรรมะที่ตรงข้ามกับสันโดษคือ ความโลภและความเกียจคร้าน คนโลภและขี้เกียจคือคนที่ไม่สันโดษ ท่านเห็นหรือยังว่า สันโดษขัดขวางหรือส่งเสริมการพัฒนาล่ะขอรับ

ดังนั้นธรรมะที่สนับสนุนสันโดษ มีอยู่ 2 อย่างคือ ความไม่โลภกับความเพียร

คนสันโดษจึงมีคุณสมบัติสองประการนั้นคือ เป็นคนไม่โลภและเป็นคนพากเพียรพยายามสูง คนไม่สันโดษคือคนโลภนั้นเอง

คิดดูให้ดีจะเห็น คนที่อยากได้อะไรด้วยอำนาจความโลภมักจะไม่ชอบทำงาน เช่น คนโลภอยากได้สองขั้น (แค่ขั้นละไม่กี่ร้อย อยากกันจริง) ก็คอยดูว่าเจ้านายชอบอะไร เช่น ชอบเอ๊าะๆ ชอบอาบ อบ นวด ก็พาเจ้านาย (เฮงซวย) ไปลงอ่าง บริการให้เสร็จ ถ้าคนอยากได้สองขั้นเป็นเอ๊าะๆ เสียเอง ก็ยอมพลีกายแลก อย่างนี้งานการไม่ต้องทำหรือทำบ้างไม่ทำบ้าง ถึงเวลาเจ้านายเฮงซวยก็ให้สองขั้นเอง คิดเอาก็แล้วกัน เมื่อคนโลภก็มักจะขี้เกียจ ไม่ทำงาน เมื่ออยากได้แต่ไม่อยากทำงาน ก็ต้องหาโอกาสโดยทางลัดหรือโดยวิธีที่ทุจริตผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม

คนชนิดดังกล่าวมานั้นแหละ ทางพระท่านเรียกว่า คนไม่สันโดษ ส่วนคนที่มีลักษณะตรงข้ามเรียกว่า คนสันโดษ คิดเอาก็แล้วกัน (อีกแล้ว) ว่าคนประเภทไหนที่สังคมต้องการ

เพื่อความเข้าใจที่แจ่มชัดชนิดแจ้งจางปาง ขอสรุปลักษณะของคนที่มีความสันโดษดังต่อไปนี้

  1. คนสันโดษ จะต้องเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยสติปัญญาเท่าที่มีและโดยวิธีการอันชอบธรรม
  2. คนสันโดษ จะไม่อยากได้ของของคนอื่นหรือของที่ไม่ชอบธรรม จะไม่ทุจริตเพราะปากท้องหรือผลประโยชน์ส่วนตัว
  3. คนสันโดษ เมื่อหามาได้ก็ใช้สอยเท่าที่จำเป็น และใช้ด้วยสติปัญญา ไม่เป็นทาสของวัตถุ
  4. เมื่อไม่ได้ เมื่อสุดวิสัยที่จะได้ ก็ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป ไม่ยอมให้ความผิดหวังครอบงำใจ
  5. หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นของตน หรือเป็นสิทธิของตน สามารถดำรงชีวิตที่มีความสุขตามฐานะ
  6. มีความภูมิใจในผลสำเร็จอันเกิดจากกำลังของงาน มีความอดทน สามารถรอคอยผลสำเร็จอันจะพึงเกิดขึ้นจากการกระทำของตน
  7. มีความรักและภักดีในหน้าที่ของตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าของงาน เรียก “ทำงานเพื่องาน” อย่างแท้จริง
  8. ไม่ถือเอาสิ่งที่ตนหามาได้ สมบัติของตนหรือความสำเร็จของตนมาเป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่น

คุณสมบัติที่กล่าวมา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศชาติใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็อยากอภิปรายไม่ไว้วางใจ เอ๊ย ! อยากเรียนถามว่า ที่ประเทศชาติไม่ค่อยพัฒนาเท่าที่ควรจะเป็น เพราะมัวแต่สอนสันโดษ หรือเพราะไม่สอนสันโดษกันแน่

ทรงพระเจริญ


พลังงานลม (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 4 December 2009 เวลา 0:12 ในหมวดหมู่ พลังงาน #
อ่าน: 4445

มีข้อควรระวังเกี่ยวกับพลังงานลม คือในช่วงที่ลมยังอ่อนเกินกว่าจะนำไปใช้ หรือส่วนที่แรงเกินไป/เกินความต้องการ จะต้องหาวิธีเก็บพลังงานเหล่านี้ไว้ใช้ในยามลมอ่อนแต่มีความต้องการพลังงาน โดยทั่วไปมักใช้วิธีเปลี่ยนพลังงานจลน์ของลมไปเป็นไฟฟ้า แล้วเก็บไว้ในแบตเตอรี ซึ่งคือรูปของพลังงานเคมี

แต่ก็ยังมีวิธีเก็บพลังงานไว้ใช้ในรูปอื่นอีก เช่นใช้กังหันแบบอัดอากาศ นำ “ลมส่วนเกิน” เก็บไว้ในถุงลมความดันสูง เพื่อปล่อยลมออกมาใช้ในเวลาที่ต้องการ

แต่เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้ เป็นเรื่องของการเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ในรูปพลังงานจลน์ (Kinetic Energy Storage) ด้วย “ฟลายวีล” ซึ่งคงเป็นที่รู้จักกันดี แต่ฟลายวีลแบบนี้ มีลักษณะพิเศษกล่าวคือ

  1. การหมุน หมุนลอยอยู่บนแม่เหล็ก (magnetic levitation) เพื่อลดแรงเสียดทานจากแบริ่ง
  2. ฟลายวีลนี้ อยู่ในภาชนะสูญญากาศ เพื่อลดแรงเสียดทานจากอากาศเมื่อหมุนด้วยความเร็วสูงมากๆ ความเร็วที่ขอบฟลายวีลอาจสูงถึง 2000 เมตร/วินาที
  3. ตัวฟลายวีล มีแม่เหล็กถาวรติดอยู่ และถ่ายเทพลังงานจากภายนอกให้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ที่จัดเฟสให้ปั่นฟลายวีลให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
  4. เมื่อจะนำพลังงานออกมาใช้ ก็ใช้แม่เหล็กถาวรที่ติดอยู่กับฟลายวีล หมุนตัดกับขดลวด ได้พลังงานไฟฟ้าออกมา

ดูทั้งสี่ข้อแล้วรู้สึกวุ่นวายมาก ซึ่งก็จริง แต่ยังมีประโยชน์อีกอันหนึ่งซึ่งมักถูกมองข้ามไป คือฟลายวีลมีความหนาแน่นของพลังงาน (หน่วยเป็น kW/kg) สูงที่สุดในบรรดาเครื่องมือเก็บพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ แท๊งก์น้ำ ถุงลม หรืออะไรก็ตาม

@ แบตเตอรี่ เหมาะกับการจ่ายไฟเกิน 1 ชั่วโมง (ถ้าจ่ายไหว) เพราะว่ามีจำนวนครั้งของการชาร์ตจำกัด

@ คาปาซิเตอร์ เหมาะกับการจ่ายไฟช่วงสั้นมาก เช่นสั้นกว่า 0.1 วินาที (รอรีเลย์สับแหล่งพลังงานอื่นมาแทน)

@ ฟลายวีล เหมาะกับระยะเวลา 1 วินาที ถึง 10 นาที; ดูเผินๆ ฟลายวีลดูเหมือนจะแพงกว่าแบตเตอรี่ แต่ถ้าคิดถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่แล้ว ก็ไม่แตกต่างกัน


รำพึง@สวนป่า

3 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 3 December 2009 เวลา 0:40 ในหมวดหมู่ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย #
อ่าน: 3104

ไปเยี่ยมครูบาทีไร ได้อะไรกลับมาทุกที

ไปเที่ยวนี้ มีโอกาสได้ฟังว่าครูบาตั้งใจจะทำอะไรต่อไป ได้คุย+ได้ฟังเรื่องที่ไม่เคยได้ฟังหลายเรื่อง มีโอกาสดีที่ได้พบ อ.นฤมล ปราชญ์โยธิน (คนจริง) และ อ.อภิชาติ เจริญมา (ฤๅษีอ้นผู้กล้าของแท้) อีกวาระหนึ่ง และในแบบที่ไม่มีข้อจำกัดของเวลาด้วย

รอบนี้ ผมไม่ค่อยได้อยู่กับที่ จึงไม่ได้รายงานความคืบหน้ามากนัก รวมทั้งแทบไม่ได้อ่านบันทึกบนลานปัญญาเลย จึงไม่ขอถอดบทเรียนนะครับ ง่วงแล้ว พรุ่งนี้งานเข้าอีก ขอเป็นกาฝากโดยสมัครใจ

ในส่วนพลังงานสำหรับสวนป่านั้น พบช่องลมสองแห่ง-ท้ายคอกนกกระจอกเทศและแนวถนนทางเข้าสวนป่า-เป็นแนวตะเข็บของต้นไม้ใหญ่กับต้นไม้เตี้ย มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับที่บ้านพ่อไล — ลมมาปะทะต้นไม้ใหญ่ แล้วถูกกรอกลงในช่องลม; อีกแหล่งหนึ่งคือหลังคาอาคารซึ่งมีลักษณะเป็น solar thermal collector สามารถปั่นเอาพลังงานได้บ้าง แต่ยังไม่ได้คำนวณความคุ้มค่าของการลงทุนครับ



Main: 0.047698020935059 sec
Sidebar: 0.39636301994324 sec