เกร็ดพระพุทธรูปปางห้ามญาติ
อ่าน: 6845ผมได้รับคำชี้แนะจากพระมหาชัยวุธ ถึงเรื่องที่ติดใจสงสัยหนังสือเล่มหนึ่ง ที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งผมค้นพระไตรปิฎกมาหกเดือนก็ไม่เจอ พระอาจารย์แนะให้ลองค้นในอรรถกถาดู สองนาทีก็เจอครับ โง่เสียตั้งนาน เป็นอรรถกถามหาสมัยสูตร [พระไตรปิฎก]
ผมคัดลอกมาเฉพาะส่วนที่คิดว่าน่าสนใจมา ส่วนท่านที่สนใจ สามารถอ่านข้อความเต็มได้ตามลิงก์ข้างบน
เล่ากันมาว่า ชาวศากยะและโกลิยะช่วยกันกั้นแม่น้ำชื่อโรหิณี ในระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองโกลิยะ ด้วยเขื่อนเดียวเท่านั้นแล้วหว่านกล้า. ต่อมาในต้นเดือนเจ็ด เมื่อกล้ากำลังเหี่ยว พวกคนงานของชาวเมืองทั้งสองก็ประชุมกัน.
ในที่ประชุมนั้น พวกชาวเมืองโกลิยะพูดว่า น้ำนี้เมื่อถูกทั้งสองฝ่ายนำเอาไป (ใช้) พวกคุณก็จะไม่พอ พวกฉันก็จะไม่พอ แต่กล้าของพวกฉันจะสำเร็จด้วยน้ำ แต่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ขอให้พวกคุณจงให้น้ำแก่พวกฉันเถิดนะ
ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ก็พูดว่า เมื่อพวกคุณใส่ข้าวจนเต็มยุ้งแล้ว พวกฉันจะเอาทองแดงมณีเขียวและกหาปณะดำ มีมือถือกะบุงและไถ้เป็นต้น เดินไปใกล้ประตูบ้านของพวกคุณก็ไม่ได้ ถึงข้าวกล้าของพวกฉันก็จะสำเร็จด้วยน้ำ ครั้งเดียวเหมือนกัน ขอให้พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกฉันเถิดนะ
พวกฉันให้ไม่ได้. ถึงพวกฉันก็ให้ไม่ได้.
เมื่อทะเลาะกันลามปามอย่างนี้แล้ว คนหนึ่งก็ลุกไปตีคนหนึ่ง. แม้คนนั้นก็ตีคนอื่น ต่างทุบตีกันและกันอย่างนี้แล้วก็ทะเลาะกันลามปาม จนเกี่ยวโยงไปถึงชาติของพวกราชตระกูลด้วยประการฉะนี้.
พวกคนงานฝ่ายโกลิยะพูดว่า พวกแกจงพาเอาพวกชาวกบิลที่ร่วมสังวาสกับพี่น้องสาวของตน เหมือนกับพวกสุนัขและหมาจิ้งจอกเป็นต้นไป ต่อให้ ช้าง ม้า และโล่และอาวุธของพวกนั้นก็ทำอะไรพวกข้าไม่ได้.
พวกคนงานฝ่ายศากยะก็พูดบ้างว่า พวกแกก็จงพาเอาเด็กขี้เรื้อน ซึ่งเป็นพวกอนาถาหาคติมิได้ อยู่ใต้ไม้กระเบาเหมือนพวกดิรัจฉานไปเดี๋ยวนี้ ต่อให้ช้างม้าและโล่และอาวุธของพวกนั้นก็ทำอะไรพวกข้าไม่ได้หรอก.
ครั้นพวกเหล่านั้นกลับไปแล้วก็แจ้งแก่พวกอำมาตย์ที่เกี่ยวกับงานนั้น. พวกอำมาตย์ก็กราบทูลพวกราชตระกูล จากนั้น พวกเจ้าศากยะก็ว่าพวกเราจะแสดงความเข้มแข็งและกำลังของเหล่าผู้ร่วมสังวาสกับพี่สาวน้องสาว แล้วก็เตรียมยกทัพไป. ฝ่ายพวกเจ้าโกลิยะก็ว่าพวกเราจะแสดงความเข้มแข็งและกำลังของเหล่าผู้อยู่ใต้ต้นกระเบา แล้วก็เตรียมยกทัพไป.
การทะเลาะเบาะแว้งครั้งนั้น เกิดจากคนงาน เกิดจากทิฏฐิ ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในประโยชน์ของตน ด่าทอกันรุนแรง ลามปาม และลุกลามขยายวงไปเรื่อย จนเกือบจะกลายเป็นสงคราม
ทีนั้น การประชุมใหญ่ก็จะมี เพราะเหตุนั้น ขณะที่พวกเหล่านี้กำลังเตรียมยกทัพออกไป ไม่ทรงแจ้งใครๆ พระองค์เองนั่นแหละเสด็จถือบาตรจีวร ไปขัดบัลลังก์ประทับนั่ง เปล่งพระรัศมีหกสีที่อากาศระหว่างกองทัพทั้งสอง.
พอชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าเท่านั้น ก็คิดว่า พระศาสดาพระญาติประเสริฐของพวกเราเสด็จมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นความที่พวกเรากระทำการทะเลาะกันหรือหนอ แล้วคิดว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว พวกเราจะให้ศัสตราถึงสรีระผู้อื่นไม่ได้อย่างเด็ดขาด แล้วก็ทิ้งอาวุธ นั่งไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. แม้พวกชาวเมืองโกลิยะก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นแหละ พากันทิ้งอาวุธ นั่งไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ทั้งที่ทรงทราบอยู่เทียว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามว่า มหาบพิตร! พวกพระองค์เสด็จมาทำไม. พวกเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า! พวกข้าพระองค์เป็นผู้มาที่นี้ไม่ใช่เพื่อเล่นที่ท่าน้ำ ไม่ใช่เพื่อเล่นที่ภูเขา ไม่ใช่เพื่อเล่นแม่น้ำ ไม่ใช่เพื่อชมเขา แต่มารบกัน.
มหาบพิตร! เพราะอาศัยอะไร พระองค์จึงทะเลาะกัน. น้ำ พระพุทธเจ้าข้า.
น้ำมีค่าเท่าไร มหาบพิตร. มีค่าน้อย พระเจ้าข้า.
ชื่อว่าแผ่นดิน มีค่าเท่าไร มหาบพิตร. หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า. ชื่อว่าพวกกษัตริย์มีค่าเท่าไร มหาบพิตร. ชื่อว่าพวกกษัตริย์หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มหาบพิตร! พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อย แล้วมาทำให้พวกกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ ฉิบหายเพื่ออะไร
แล้วตรัสว่า ในการทะเลาะกัน ไม่มีความชื่นใจ มหาบพิตรทั้งหลาย! ด้วยอำนาจการทะเลาะกัน ความเจ็บใจที่รุกขเทวดาตนหนึ่งผู้ทำเวรในที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้แล้วผูกไว้กับหมีได้ติดตามไปตลอดกัปทั้งสิ้น แล้วตรัสชาดกเรื่องต้นสะคร้อ.
ต่อจากนั้น ตรัสอีกว่า มหาบพิตรทั้งหลาย! ไม่พึงเป็นผู้แตกตื่น เพราะฝูงสัตว์สี่เท้าในป่าหิมพานต์ซึ่งกว้างตั้งสามพันโยชน์ แตกตื่นเพราะคำพูดของกระต่ายตัวหนึ่ง ได้แล่นไปจนถึงทะเลหลวง เพราะฉะนั้น ไม่พึงเป็นผู้แตกตื่น แล้วตรัสชาดกเรื่องแผ่นดินถล่ม
ต่อจากนั้น ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย! บางทีแม้แต่ผู้ที่อ่อนกำลัง ก็ยังเห็นช่องผิดของผู้มีกำลังมากได้ บางทีผู้มีกำลังมาก ก็เห็นช่องพิรุธของผู้อ่อนกำลังได้ จริงอย่างนั้น แม้แต่นางนกมูลไถ ก็ยังฆ่าช้างได้ แล้วตรัสชาดกเรื่องนกมูลไถ.
เมื่อตรัสชาดกทั้งสามเรื่องเพื่อระงับการทะเลาะกันอย่างนี้แล้ว เพื่อประโยชน์การส่องถึงความพร้อมเพรียงกัน จึงตรัสชาดก (อีก) สองเรื่อง.
ตรัสอย่างไร ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย! ก็ใครๆ ไม่สามารถเพื่อจะเห็นช่องผิดของพวกผู้พร้อมเพรียงกันได้ แล้วตรัสรุกขธัมมชาดก. จากนั้น ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ใครๆ ไม่อาจเห็นช่องผิดของเหล่าผู้พร้อมเพรียงกันได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ทำการวิวาทกันและกัน เมื่อนั้นลูกพรานก็ฆ่าพวกนั้นถือเอาไป ขึ้นชื่อว่าความชื่นใจ ย่อมไม่มีในการวิวาทกัน แล้วตรัสชาดกเรื่องนกคุ่ม ครั้นตรัสชาดกทั้ง ๕ เรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว สุดท้ายตรัสเรื่องอัตตทัณฑสูตร.
แถมด้วยกลหวิวาทสุตตนิเทสจากพระไตรปิฎก ซึ่งน่าศึกษาครับ
สำหรับปางห้ามญาตินี้ บางท่านบอกว่าเป็นปางห้ามพยาธิ คือห้ามความเจ็บป่วย พระอาจารย์ชัยวุธแนะนำหนังสือประวัติพระพุทธรูปปางต่างๆ ของพระพิมลธรรม (ชอบ อนุจารี) ครับ
« « Prev : ลืมตัว
Next : โลกอาจอยู่ใกล้มหาสงครามมากกว่าที่คิด!!! » »
3 ความคิดเห็น
ว่าจะไปฉันเพล เปิดมาก็เห็นถูกพาดพิง จึงทิ้งร่องรอยไว้นิดหน่อย…
ประการแรก บันทึกนี้ มี Link ไปยังนิทานชาดกหลายเรื่อง บอกถึงความตั้งใจที่เจ้าของบันทึกจะให้ไปอ่านต่อ…
ปางห้ามญาติ หรือบางมติว่า ปางห้ามพยาธิ นี้ ยกพระหัดถ์ข้างเดียว… ถ้ายกสองข้างเรียกว่า ปางห้ามสมุทร (จำง่ายดี)
ปางห้ามญาติ นี้ กล่าวกันว่าเป็น พระประจำวันจันทร์ ใครสนใจเรื่องนี้ก็แนะนำสูตรการจำที่อาตมาคิดขึ้นเองว่า
อาทิตย์ ตา คือ ถวายเนตร
จันทร์ ห้าม คือ ห้ามญาติ
อังคาร ใส่ คือ ไสยาสน์ (นอน)
พุธ บาตร คือ อุ้มบาตร
พฤหัส ที่ คือ สมาธิ
ศุกร์ เพิง คือ รำพึง
เสาร์ นาค คือ นาคปรก
เจริญพร
[...] มีพระประจำวันเกิดเป็นปางห้ามญาติ [...]
[...] พระพุทธเจ้าเสด็จไปห้าม [เกร็ดพระพุทธรูปปางห้ามญาติ] พระญาติทั้งสองฝ่าย ฝ่ายละ 250 องค์ [...]