จากข้อความในบันทึกของครูบาว่า
…เมื่อเช้านี้ฟังทีวีรายการข่าวเรื่องลำไย
ลำไยเกรดA ราคา 9 บาท
ลำไยเกรดB ราคา 6 บาท
ลำไยเกรดC ราคา 2-3 บาท…
อย่างนี้ตายหยังเขียดครับ กิโลละไม่ถึงสิบบาท จะไม่เจ๊งชัยได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่คิดว่าการเรียกร้องให้รับจำนำหรือประกันราคา จะเป็นการแก้ไขปัญหาอะไร (การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้แก้อะไรเลย แต่เลื่อนปัญหาไปไว้ในอนาคตเท่านั้น)
การแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำในกรณีของลำไยนี้ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ น่าสนใจที่สุดครับ คือทำไมจะต้องขายลำไยในรูปผลิตภัณฑ์ลำไยด้วย
ข้อเสนอนี้ ให้บดลำไยเกรดต่ำ(ไม่ต้องปอกเปลือก)จนละเอียด กลายเป็นน้ำ กรองเอาน้ำหวานๆ ออกมา ผสมกับน้ำปูนใส หรือ Calcium Hydroxide Ca(OH)2 {ซึ่งคือการเอาปูนแดงหรือปูนขาวมาละลายน้ำ}
เมื่อผสมน้ำหวานกับน้ำปูนใส ทิ้งไว้สามชั่วโมงให้ตกตะกอน แยกตะกอนออกไป นำเอาน้ำเชื่อมเข้มข้นสีใสๆ มาปรับความเป็นกรดด่าง แล้วอุ่นให้น้ำเชื่อมเข้มข้นให้น้ำระเหยออกไปที่อุณหภูมิ 60°C (ซึ่งอุณหภูมิขนาดนี้ ไม่ต้องตั้งเตาไฟ แต่สามารถใช้แสงอาทิตย์อุ่นได้) น้ำตาลในน้ำเชื่อมก็จะตกผลึกเป็นก้อนนำมาบริโภคได้ ขายเป็นน้ำตาลสุขภาพได้ ประมาณดูต้นทุนคร่าวๆ น่าจะมีราคาดีกว่าขายเป็นลำไยครับ น้ำเชื่อมที่ไม่ตกตะกอน คือกากน้ำตาล (โมลาส) เอาไปทำอะไรอีกมากมาย — (1)
น้ำเชื่อมที่เอามาตกตะกอน เป็นน้ำตาลสุขภาพเพราะ น้ำเชื่อมนั้น มีน้ำตาลสามชนิดคือ กลูโคส : ซูโครส : ฟรุกโตส ในอัตราส่วน 1 : 4 : 1
น้ำตาลกลูโคส (C6H12O6) และน้ำตาลฟรุกโตส (C6H12O6 เช่นกันแต่โครงสร้างโมเลกุลต่างกัน) เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ร่างกายดูดซึมเอาไปใช้ได้เลย ส่วนน้ำตาลที่ขายกันอยู่ทั่วไปในตลาดนั้น เป็นน้ำตาลเชิงซ้อน คือน้ำตาลซูโครส (C12H22O11)
ในน้ำเชื่อมเข้มข้นนั้น มีกลูโคสกับฟรุกโตสอยู่ครึ่งหนึ่ง ตรงนี้ใส่ยีสต์ลงไปหมัก ก็จะได้เอทานอล น้ำตาลอีกครึ่งหนึ่ง ยีสต์หมักไม่ได้ ถ้าจะแปลงซูโครสเป็นกลูโคสและฟรุกโตส ทำได้ด้วยกระบวนการเคมี ซึ่งมีสิทธิบัตรที่จดทะเบียนในของสหรัฐรองรับอยู่ (หมดอายุวันที่ 4 มิ.ย. 2021) กระบวนการนี้ ต้องอาศัยนักเคมีช่วย แต่ก็เป็นวิธีเพิ่มมูลค่าลำไยแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น — (2)
ส่วนกระบวนการใน (1) เป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำได้เอง ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาก แต่ต้องระวังเรื่องความสะอาดในกระบวนการผลิตครับ
เอ๊ะ ถ้าจะลองทำดู ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย จะได้รู้เรื่องกันไปว่าเวิร์คหรือไม่