ชาหวานเย็น
อ่าน: 3319ผมชอบกินชาเย็นครับ แต่ไม่ได้เขียนเรื่องนั้น
ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีข่าวการสู้รบชายแดนอีสานใต้ ข่าวที่ได้รับมาหลายสายทำให้เป็นห่วงกังวลและประสาทไปพักหนึ่ง แล้วคืนนั้นก็น็อคไป ตื่นขึ้นมาด้วยท่าพิสดาร รู้สึกชาครึ่งตัว ซึ่งด้วยโรคเก่าที่เป็นเมื่อสิบปีก่อน ผมก็เหวอตามปกติ ตอนแรกนึกว่าเอาอีกแล้ว!
รีบลุกขึ้นนั่ง ไม่รู้สึกโคลงเคลง ขยับแขนขาไปยังตำแหน่งต่างๆ แขนขาก็เคลื่อนไหวได้ดังใจ ให้หยุดนิ่งก็ได้ กำลังของกล้ามเนื้อก็ยังมี ไม่น่าจะเป็นสโตรค ก็เบาใจไปส่วนหนึ่ง แต่มันยังรู้สึกชาตามผิวหนัง รอสักอาทิตย์ก็ไม่หาย แม่ให้ไปสแกนสมอง ก็ไปทำ ไม่พบร่องรอยสโตรคใหม่ แถมปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองยังดีเสียอีก นี่แปลว่าตลอดสิบปีมานี้ ดูแลตัวเองพอใช้ได้
ป้าจุ๋มเป็นห่วง บอกจะใช้บริการป้าจุ๋มก็ขอให้บอก จะนัดหมอประสาทวิทยามือดีให้ จะขับรถพาไป แต่ป้าจุ๋มเองก็ยุ่งมาก เกรงใจครับ ประกอบกับผมคิดว่าอาจจะเป็นเส้นพลิก เส้นอักเสบ นอนท่าพิสดาร หรือใช้แขนพิมพ์คอมพิวเตอร์นานเกินไปเสียมากกว่า คุยไปคุยมาเรื่อยเปื่อย ครูปูโทรนัดหมอภาคภูมิให้เมื่ออาทิตย์ก่อน ข้อมูลอยู่ในบล็อกพี่เหลียง คุณหมองานยุ่งมาก แต่ก็นัดได้พรุ่งนี้
ดังนั้นคืนนี้ก็จะรีบนอนเพื่อไปพบหมอพรุ่งนี้นะครับ หวังว่าจะวินิจฉัยอาการชาหวานเย็น (ชาแบบยาวนาน) ได้ เพื่อที่จะได้รักษาให้ถูกทางต่อไป
คืนนี้จะรีบนอนครับ
สังคมปัจจุบันนี้ มีความแตกแยก ความไม่พอใจ “คนอื่น” มากกว่าในสมัยก่อนมากมาย มาย้อนดูแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการผูกขาดความถูกต้องและความดีไว้กับตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำนั้น ถูกต้องดีแล้วทั้งนั้น สิ่งที่คนอื่นทำ ยังไงก็ไม่ถูกใจ เขาผิด เขาชั่ว เขาโง่ ฯลฯ โบ้ยอย่างนี้ง่ายกว่า เหมาะกับสมองที่คุ้นเคยกับนิสัยฉาบฉวย รีบร้อน และขาดความไว้ใจ
โครงสร้างรูปโดมที่รู้จักกันดีคือ
เรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่ารากทำงานโดยกระบวนการออสโมซิส ตอบข้อสอบได้ก็โอเคแล้ว ที่เราไม่ค่อยคิดกันต่อคือออสโมซิสอะไร จริงอยู่ที่คำตอบตามตำราก็จะออกไปในทำนองที่ว่า ออสโมซิสคือกระบวนการดูดซึมสารละลายที่มีความหนาแน่นต่ำ ผ่านเนื้อเยื่อไปสู่ที่ที่มีความหนาแน่นสูง กระบวนการนี้ทำงานที่ปลายราก พืชต้องการน้ำใต้ดินไปละลายสารอาหารที่อยู่ในดิน เพื่อที่ปลายรากซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน จะดูดซึมผ่านราก-ลำต้น-กิ่ง ส่งไปที่ใบเพื่อสังเคราะห์แสง
ดูตรงเส้นสีส้มซึ่งสะท้อนพลังงานของดวงอาทิตย์ออกไปนะครับ การสะท้อนนี้เกิดโดยปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน และมีผลไม่เท่ากัน ตัวบรรยากาศของโลกเองสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ออกไป 6% เมฆชั้นสูง/ชั้นกลาง/ชั้นต่ำ สะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป 20% ส่วนที่เหลืออีก 4% นั้น แสงแดดตกกระทบพื้นแล้วแผ่ออกในรูปรังสีอินฟราเรด
เมื่อดินร้อน น้ำผิวดินหาย น้ำใต้ดินแห้ง พืชพันธุ์ธัญหารก็เสียหาย… เมื่อเมฆหายไป ก็ควรจะหาอะไรมาบังแดดแทนเมฆครับ ซึ่งนั่นคือใบไม้ไง!
ก็จริงอยู่ที่เวลาอากาศแล้งจัด ต้นไม้ผลิใบเพื่อลดการคายน้ำ ใบไม้ที่ร่วงลงดินก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นล่ะครับ เพราะว่ามันย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ คืนธาตุอาหารที่ต้นไม้ยืมมาสร้างใบกลับไปสู่ดินอีกทีหนึ่ง แต่ระหว่างที่ใบไม้ยังไม่ย่อยสลาย มันบังบังแดดให้แก่พื้นดินได้สักพักครับ






