แตกต่าง
อ่าน: 3276ช่วยหาความแตกต่างระหว่างสองรูปข้างล่างนี้ได้ไหมครับ ถ้ามีหลายจุด ขอคำอธิบายจุดละหนึ่งความคิดเห็นนะครับ คนละกี่จุดก็ได้
ลานซักล้าง: ใจซักได้ ถ้ารู้ตัว / นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา / สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย / Improvement begins with I
ช่วยหาความแตกต่างระหว่างสองรูปข้างล่างนี้ได้ไหมครับ ถ้ามีหลายจุด ขอคำอธิบายจุดละหนึ่งความคิดเห็นนะครับ คนละกี่จุดก็ได้
รวมบันทึกสองตอนเป็นเรื่องเดียวสำหรับหนังสือ เจ้าเป็นใผ ๑ ครับ เนื้อความคล้ายของเก่าแต่ไม่เหมือนกัน มีเขียนเพิ่มนิดหน่อย, เปลี่ยน ไผ เป็น ใผ, เอา “ครับ” ออกเท่าที่เห็นควร, ใช้ไม้ยมกตามแบบราชบัณฑิตยสถาน เช่น “ต่างๆนานา” เปลี่ยนเป็น “ต่าง ๆ นานา”, เปลี่ยนลิงก์เป็นเชิงอรรถ, เพิ่มเนื้อเรื่องขึ้น, จำนวนตัวอักษร จำนวนบรรทัด กับจำนวนคำแทบไม่เปลี่ยน, หารูปใหญ่เจอแล้วครับ เพราะแม่เป็นคนถ่ายให้ รูปเลยไม่อยู่ในที่เก็บปกติ เดิมก็เลยหาไม่เจอ
นำมาจากผาสุวิหารสูตรในพระไตรปิฎกครับ
[๑๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วย
เมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบ
ด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ เข้าไปตั้งมโนกรรม
ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ มีศีลอันไม่
ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหา
และทิฐิไม่เกี่ยวเกาะ เป็นไปเพื่อสมาธิ เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้า
และลับหลัง ๑ มีทิฐิอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออก ย่อมนำออกเพื่อความสิ้นไป
แห่งทุกข์โดยชอบ แห่งผู้กระทำ เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและ
ลับหลัง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข ๕ ประการนี้แล ฯ
พุทธวัจนะองค์นี้ ชี้ไปสู่องค์ประกอบ 5 ประการของการอยู่ร่วมกันโดยผาสุก คือ
เวลาเป็นทรัพยากรอันมีค่า ที่ถูกละเลยมากที่สุด เมื่อผ่านไปแล้วก็หมดสิ้นไป เก็บสะสมไว้ไม่ได้ ถ้าจะใช้ก็ต้องใช้ในขณะปัจจุบันเท่านั้น จึงไม่มีอะไรมาทดแทนเวลาที่สูญเสียไปแล้วได้
แต่ความสะดวกในชีวิตในปัจจุบัน เต็มไปด้วยโอกาสของการขัดจังหวะ ทั้งโทรศัพท์ SMS ละครโทรทัศน์รายการโปรด อีเมล และอะไรต่อมิอะไรที่ “ขัดจังหวะ” การทำงานตามธรรมชาติ; จังหวะและความต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ จะต้องใช้เวลาบ้าง มากน้อยตามทักษะที่มีอยู่
ทุกครั้งที่เกิดการขัดจังหวะ สมองจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวไปหาเรื่องใหม่ และใช้เวลาในการปรับตัวที่จะกลับมาทำเรื่องเก่าต่อ ซึ่งเวลาที่ใช้ในการปรับตัวนี้ ไม่ก่อให้เกิดงานขึ้น จึงเป็นความสูญเสียอย่างน่าเสียดาย ยิ่งมรการขัดจังหวะบ่อยขึ้น ก็จะยิ่งมีการสูญเสียมากขึ้น
เช่นเดียวกับองค์กร หากเปลี่ยนทิศทาง (หรือแม้แต่เปลี่ยนหัวหน้างาน) ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ องค์กรก็จะเสียเวลาในการปรับตัวอยู่เรื่อยไป ในการปรับตัวนี้ ไม่เกิดงานขึ้นตามศักยภาพ
ดังนั้น ก่อนกำหนดทิศทาง พิจารณาให้ดีก่อนครับ
วิกิพีเดียภาษาไทยให้นิยามไว้ว่า
ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่ เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
ส่วน Wikipedia ภาษาอังกฤษ ให้คำนิยามไว้ว่า
In psychology and education, a common definition of learning is a process that brings together cognitive, emotional, and environmental influences and experiences for acquiring, enhancing, or making changes in one’s knowledge, skills, values, and world views (Illeris,2000; Ormorod, 1995). Learning as a process focuses on what happens when the learning takes place. Explanations of what happens constitute learning theories. A learning theory is an attempt to describe how people and animals learn, thereby helping us understand the inherently complex process of learning. Learning theories have two chief values according to Hill(2002). One is in providing us with vocabulary and a conceptual framework for interpreting the examples of learning that we observe. The other is in suggesting where to look for solutions to practical problems. The theories do not give us solutions, but they do direct our attention to those variables that are crucial in finding solutions.
There are three main categories or philosophical frameworks under which learning theories fall: behaviorism, cognitivism, and constructivism. Behaviorism focuses only on the objectively observable aspects of learning. Cognitive theories look beyond behavior to explain brain-based learning. And constructivism views learning as a process in which the learner actively constructs or builds new ideas or concepts.
เท่าที่ประเมินดู คิดว่าวิกิพีเดียภาษาไทย แปล/อ้างอิงจากบทความเดียวกันใน Wikipedia รุ่นเก่าซึ่งข้อความปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากแล้วครับ
ที่น่าสนใจคือข้อความในย่อหน้าที่สองของ Wikipedia — การเรียนรู้ อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างอย่างน้อยอย่างหนึ่ง ในสามอย่าง คือ
ใต้รูปด้านบนในลานซักล้างทุกหน้า มีข้อความว่า
ลานซักล้าง: ใจซักได้ ถ้ารู้ตัว / นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา / สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย / Improvement begins with I
ซึ่งถอดรหัสได้ว่า
ใจซักได้ ถ้ารู้ตัว : ทั้งสติและสัมปชัญญะ การมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง นำสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง (ปัญญา)
นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภา : แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย : ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน ผู้อื่นจะให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้
Improvement begins with I : เริ่มที่ตัวเองก่อน
ในหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People โดย Dr.Steven Covey ในอุปนิสัยที่สาม Put First Things First: Principles of Integrity & Execution เขาแนะวิธีจัดงานเป็นกลุ่มตามลำดับความสำคัญอย่างง่ายๆ คือให้มองในสองมิติ คืองานนั้นสำคัญหรือไม่ และงานนั้นเร่งด่วนหรือไม่
เร่งด่วน | ไม่เร่งด่วน | |
สำคัญ | Quadrant 1 วิกฤติการณ์ |
Quadrant 2 เรื่องที่ต้องหาทางป้องกัน |
ไม่สำคัญ | Quadrant 3 งานจุกจิกที่เกิดจาก การงานแผนไม่ดี |
Quadrant 4 เรื่องไม่เป็นเรื่อง |
Covey เสนอว่าเพื่อที่จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูง เราควรจะอยู่ห่างๆ งานใน Quadrant 3 และ 4 และการที่ไม่อยู่ใน Quadranr 3 และ 4 นั้น เริ่มต้นจากการปฏิเสธให้เป็น
แต่อย่าหัดปฏิเสธโดยไม่เข้าใจว่างานนั้นสำคัญหรือไม่ ถ้าใครไม่รู้ว่างานนั้นสำคัญหรือไม่ ไม่ควรให้ยุ่งกับงานนั้นเลยหรอกครับ
สำหรับงานที่สำคัญ (Quadrant 1 และ 2) ผมเห็นว่าใครมีแผนงานที่ดี รู้ตัวล่วงหน้า (อยู่ใน Quadrant 2) จะมีความสุขมากกว่า Quadrant 1 เพราะว่างานใน Quadrant 1 บีบหัวใจ และจำเป็นต้องระดมสรรพกำลังมาช่วยกันทั้งหมด
จริงหรือที่เราจำเป็นต้องสำรวจใจเราก่อน?
ผมคิดว่าจริงครับ เพราะใจเรานั่นแหละ เป็นเครื่องมือวัด เป็นตัวตัดสินสุดท้าย แถมยังเป็นสิ่งเดียวที่ “ควบคุม+ระงับ” ได้
บางทีตาชั่งซึ่งผ่านการปรับแต่งตรวจสอบแล้ว ก็ยังให้ผลไม่เที่ยงตรงเลยครับ: ต่อให้วัดน้ำหนักได้ตรง แต่วางตาชั่งเฉียงๆ ก็อ่านค่าได้ไม่ตรงอยู่ดี หรือว่าตั้งตาชั่งให้ตรงหน้า แต่พาลอ่านค่าผิดด้วยความประมาทหรือจงใจอ่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผลก็ไม่ตรงครับ
อนิจจาตาชั่ง…
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ
จังหวัดอุบลราชธานีคัดลอกจาก: อุปลมณี
แก้วก่องส่องธรรมนำชน
เรืองโลก เรืองอุบล
คือ พระโพธิญาณเถร
ชื่อ ปลุกยักษ์ในตัวคุณ เป็นชื่อทางการค้าของการบรรยายเกี่ยวกับ ความเข้าใจในคุณค่าในตัวตน ตลอดจนกลเม็ดวิธีการในการในการปลุกเร้าเอาพลังที่แท้จริงมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ในชีวิตประจำวัน คนเราใช้พลังไม่เต็มที่ครับ จึงมีคำถาม คำอธิบาย และ “เหตุผล” ต่างๆ มากมาย แต่เรากลับไม่ตระหนักว่ายังไม่ได้ทุ่มไปจนสุดตัว แต่ท้อถอยไปก่อนกลางคัน แถมบางทีก็ไม่รู้ว่าจะทุ่มไปเพื่ออะไรด้วยซ้ำไป แค่ตั้งใจดี หรือแค่สั่งการอย่างละเอียด ไม่ได้แปลว่าผลลัพท์จะออกมาดี — ผู้บริหารจะต้องเข้าใจบริบททั้งหมดก่อน จัดการช่วยปลดล็อค และเสริมกำลังในจุดที่ติดขัด ยักษ์จึงจะทำงานได้ดี (ไม่มีข้ออ้าง)
ยักษ์ในที่นี้คือยักษ์ในตะเกียงวิเศษ ที่ต้องถูจึงออกมาทำงาน — ยักษ์ไม่ออกมาถ้าเพียงแต่อธิษฐานบอกกล่าว และไม่ออกมาถ้ายังขี้เกียจ/มีแต่ข้ออ้างเหมือนเดิม จะให้ยักษ์ทำอะไรก็ต้องรู้ก่อนด้วยครับ อย่าถูออกมาดูเล่นๆ
ยักษ์เป็นปัจจัยภายในตัวคนทำงาน ซึ่งจะให้เกิดผล ก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่องค์กรจะต้องช่วยครับ
สไลด์ชุดนี้ ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้การบริหารจัดการ เสริมให้ยักษ์ในตะเกียง ออกมาทำงานด้วยพลัง ด้วยความทุ่มเท จนงานประสบความสำเร็จ
Motivating Employees
ในชีวิตของเรา สมองมีเรื่องต้องคิดมากมาย ต้องจัดลำดับความสำคัญแบบซับซ้อน มีเรื่องความอยู่รอดของตนเข้ามาปน บางทีสมองก็หลากตัวเองจนเราแยะแยะสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน บางทีเอาไปปนกันมั่ว บางทีมองอย่างผิวเผินแล้วรีบตัดสิน จำฝังใจไปเลย บางทีก็ไม่ว่างพอที่จะพินิจพิจารณา ฟังอะไรมาก็เชื่อไปเลย อย่างนี้นำสู่อคติ ซึ่งมักจะไม่นำไปสู่การตัดสินใจที่ดี
เวลาเรามองเพื่อน เรารู้จักเขาแค่ไหน เชื่อใจแค่ไหน เขามีค่าต่อเราแค่ไหน
เพื่อนเราเป็นคน: มีการทำไปโดยไม่รู้ มีพลั้งเผลอ มีไม่ตั้งใจ มีความคาดหวัง มีความเกรงใจ มีทำไปโดยที่ผลลัพท์ไม่ถูกใจเรา มีไม่ทำอย่างน่าหงุดหงิด มีรับปากแล้วทำไม่ได้เนื่องจากสถานการณ์และข้อจำกัดเปลี่ยนแปลงไป แต่ทั้งหมดเป็นเพียงปฏิกริยาความรู้สึกของเราเท่านั้น ตัวเราก็พลาดอย่างนี้ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ถ้าเป็นเพื่อนกันจริง มีอะไรที่ให้อภัยไม่ได้ อย่าว่าแต่บางทีเพื่อนไม่ผิดเลย; การจะตัดสินว่าอะไรผิด น่าจะเป็นไปตามกฏเกณฑ์กติกาก่อน หรือเป็นผิดต่อความถูกต้อง/มโนคติ/จริยธรรม ซึ่งเราในฐานะเพื่อนควรจะได้ตักเตือนก่อน หรือเป็นความจงใจที่จะก่อความเสียหายและเป็นการกระทำที่สำเร็จด้วย