เจ้าเป็นไผ ภาค จปผ๑
อ่าน: 3962รวมบันทึกสองตอนเป็นเรื่องเดียวสำหรับหนังสือ เจ้าเป็นใผ ๑ ครับ เนื้อความคล้ายของเก่าแต่ไม่เหมือนกัน มีเขียนเพิ่มนิดหน่อย, เปลี่ยน ไผ เป็น ใผ, เอา “ครับ” ออกเท่าที่เห็นควร, ใช้ไม้ยมกตามแบบราชบัณฑิตยสถาน เช่น “ต่างๆนานา” เปลี่ยนเป็น “ต่าง ๆ นานา”, เปลี่ยนลิงก์เป็นเชิงอรรถ, เพิ่มเนื้อเรื่องขึ้น, จำนวนตัวอักษร จำนวนบรรทัด กับจำนวนคำแทบไม่เปลี่ยน, หารูปใหญ่เจอแล้วครับ เพราะแม่เป็นคนถ่ายให้ รูปเลยไม่อยู่ในที่เก็บปกติ เดิมก็เลยหาไม่เจอ
เจ้าเป็นไผ ภาคพิสดาร
คนเราเมื่อคบกันไปนาน ๆ ก็จะเห็นเองทั้งข้อดีและข้อเสียตามความเป็นจริง ผมเชื่อว่าทุกคนพยายามจะเป็นคนดี ถ้ายังมีสิ่งไม่ดีอยู่ อาจเป็นเพราะไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งก็ต้องอาศัยเพื่อนช่วยเตือน แต่ถ้ารู้ตัวแล้วไม่แก้ก็แก้ไม่ได้ ใครก็ไปแก้เขาไม่ได้อยู่ดีถ้าใจเขาไม่เปิดรับ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อครูบาสุทธินันท์ที่ผมเคารพ ชักชวนให้เขียน ผมก็เขียนครับ หวังว่ามีอะไรให้คิดทุกย่อหน้า ส่วนจะได้อะไรหรือไม่ ก็สุดแต่จะพิจารณากันเอง
ครอบครัว
ตอนเด็ก ผมอยู่บ้านคุณปู่ ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัดการสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของประเทศสองแห่ง คุณปู่เป็นคนตรงมาก เมื่อขยายสาขาของธนาคาร ซึ่งจะต้องไปซื้อที่ดินตามจังหวัดต่าง ๆ มีผู้ขายนำเงินมาให้ คุณปู่กลับบอกให้ไปลดค่าที่ดินให้กับธนาคารมาเป็นจำนวนเท่ากัน และปฏิเสธการรับเงิน สินน้ำใจ เมื่อใช้นามสกุลพระราชทาน ก็ต้องรักเกียรติ รักศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล
ผมเคยถามพ่อว่าแล้วคุณปู่มีเงินขึ้นมาได้อย่างไร พ่อบอกว่าคุณปู่ซื้อทองเก็บฝังตุ่มไว้ในช่วงสงคราม พอหลังสงคราม ทองขึ้นราคา เลยพอมีพอกินไปจนตลอดอายุขัย ลำพังเงินเดือนลูกจ้าง แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็จะไม่พอที่จะส่งลูกหลายคนเรียนต่างประเทศได้
คุณปู่มีคนขับรถอยู่คนหนึ่งซึ่งจงรักภักดีเหลือเกิน แม้จะไม่ใช่เรื่องตามกระแสในยุคนั้น คุณปู่ส่งเสียลูกคนขับรถให้ได้เรียนจนสุดกำลังของเด็ก ส่วนคนขับรถนั้น คุณปู่ระบุในพินัยกรรมว่าให้แบ่งเงินสดให้มากมาย ให้ไปตั้งตัว เดี๋ยวนี้เราเรียกเขาว่า เสี่ยบรรจง มีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเองมาสักยี่สิบปีแล้ว แต่เขายังขยันขันแข็งเหมือนเดิม คุณปู่ดูคนไม่ผิดเลย
คุณปู่มีลูก 4 คนอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ผมมีลูกพี่ลูกน้องอายุไล่เรี่ยกัน 9 คน ซึ่งเป็นหลานปู่หลานตา โตสุดกับเล็กสุดอายุห่างกัน 7 ปี จึงเป็นแก๊งค์เด็กขนาดใหญ่ เล่นหัวกันมาตลอด ถึงแม้จะรู้ไส้กันมาตั้งแต่เด็ก แต่คนเราแตกต่างกัน ทั้งเก้าคนมีเส้นทางของชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
แยกบ้านกับความเป็นตัวของตัวเอง
ครอบครัวผม อาศัยอยู่ในเรือนหอที่คุณปู่ปลูกให้พ่อกับแม่ จนผมอายุ 17 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย พ่อก็แยกบ้านออกมา
ปีที่ผมเรียน เริ่มใช้คะแนนสอบเอ็นทรานซ์เลือกภาควิชา ทีแรกผมจะเลือกภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เพราะมีความรู้ที่ศึกษามาเองอยู่พอตัวทีเดียว แต่ก็ไปปรึกษาคุณพ่อ พ่อกลับให้แง่คิดว่าการเรียนปริญญาตรีนั้น น่าจะศึกษารากฐาน เรียนรู้วิธีเรียนรู้ ถ้าจะเจาะลึก ก็เอาไว้เรียนปริญญาโท ปริญญาเอกซิ ฟังแล้วสะอึกเลย แต่ผมก็เชื่อพ่อ เลือกเรียนภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า เมื่อจบแล้ว พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมมีความรู้ทางไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสาร โดยไม่ได้ทิ้งวิทยาการด้านคอมพิวเตอร์ซึ่งหาความรู้เองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก
เป็นคุณชายมาตลอดชีวิต พอเรียนปีหนึ่งต้องขึ้นรถเมล์ เพื่อนก็สงสัยถามว่าทำไมไม่เอารถมา ก็ตอบไปว่ายังไม่มีใบขับขี่ พ่อไม่ซื้อรถให้ ในกรุงเทพนั้น ต้องอายุ 18 ปีก่อน จึงจะทำใบขับขี่ได้ เพื่อนก็บอกว่า เฮ้ย ไปทำต่างจังหวัดก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ ในเมื่อกติกาเป็นอย่างนี้ เราก็ทำไปตามกติกา ไม่เห็นต้องไปซิกแซ็กเลย คงไม่ตายก่อนได้ใบขับขี่หรอก ในชีวิตมีประสบการณ์งูเห่าตัดหน้าหลายครั้ง เค้าเลื้อยไปช้า ๆ เราหยุดมองเฉย ๆ ก็ไม่มีอะไร แล้วมันก็ผ่านไป
เทอมแรกตั้งใจเรียนมาก ผลสอบออกมา C หมดทุกวิชา เซ็งเป็ดเลย หลังจากนั้นอีกเจ็ดเทอม โดดเรียนเป็นระยะ ๆ (เป็นความสามารถพิเศษ ห้ามลอกเลียน) ให้เพื่อนเข้าไปจด ตัวผมนั่งดูเพื่อนคนอื่น ๆ เล่นไพ่ ได้เล็คเชอร์ของเพื่อน กับเครื่องถ่ายเอกสารช่วยชีวิต ผมเอาไปอ่าน แล้วกลับมาติวเพื่อน ๆ เอาตัวรอดมาได้จนจบ โดยผลการเรียนกลับดีขึ้นเรื่อย ๆ
เริ่มทำงานเมื่ออายุ 20 วิชาการที่ร่ำเรียนมา ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ แต่ได้วิธีการเรียนรู้ แบบไม่ต้องรอให้ใครมาจับยัดลงไปในกระโหลกมา ได้เพื่อน ได้ความมั่นใจมา วิชาที่ไปเรียนจริงจังและคิดว่าได้ประโยชน์มากที่สุด คือวิชาจิตวิทยาสังคม ซึ่งเป็นวิชาเลือกเสรีที่คณะครุศาสตร์
เริ่มทำงาน
เริ่มงานในบริษัทเล็ก ๆ ของญาติผู้พี่ เข้าไปแทรกอยู่ตรงที่เขาขาดพอดี จึงได้รับโอกาสได้ลอง ได้เล่น ได้พิสูจน์ตัวเอง ประเมินสิ่งที่รับรู้มาแห้ง ๆ ว่าลงมือปฏิบัติแล้วเป็นยังไง บางช่วง เรานึกว่าเราเจ๋งทำงานยากที่ไม่มีใครทำได้ แต่งานไม่เสร็จซะที จะเอาแต่ความสมบูรณ์แบบ วันนี้ได้บทเรียนแล้ว ว่างานที่ไม่เสร็จนั้น คือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เสียทั้งทุน เสียเวลา เสียโอกาส
ทำงานที่แรก คิดว่าจะทำเล่น ๆ เพื่อรอไปเรียนต่อ แต่พอลงมือทำแล้ว กลับสนุก และรู้ตัวว่ามีค่าต่อบริษัท — การไม่รู้ค่าของตัวเอง เป็นการสูญเปล่าที่ไม่น่าให้อภัย — มีแก๊งค์ลูกหมู (สาว ๆ) เป็นสานุศิษย์ เค้าชอบที่ได้ฟังมุมมองแปลก เราชอบที่ได้ประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่สามารถหาเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตของตัวเอง จึงหาวิธีผัดผ่อนไม่ไปเรียนต่อซักที
คุณพ่อก็เพียรถามว่าเมื่อไหร่จะไปเรียนต่อ การเป็นวิศวกรไปอย่างนี้ แม้หน้าที่การงานเติบโตขึ้นไป ก็จะไปตันแค่ chief engineer แต่ศักยภาพนั้น น่าจะไปได้ไกลกว่านั้น พ่อพูดครั้งแรกตอนพ่อเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ใช้วิธีดื้อเงียบ ครั้งที่สอง พ่อเป็นประธานกรรมการแล้ว ให้รองประธานมาชวน ก็ใช้วิธีลาเรียนปริญญาโทที่สถาบันศศินทร์รุ่นดึกดำบรรพ์ จนครั้งที่สาม ก็ตัดสินใจลาออก ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอกตัญญู บอกบริษัทล่วงหน้าแปดเดือน จึงได้ออกจริง
ไม่ไปอยู่กับพ่อเพราะไม่ว่าผมทำอะไรดี คนก็จะมองว่าเป็นเด็กเส้น ตัดสินใจไปอยู่บริษัทฝรั่ง ประจำอยู่ในประเทศไทย เค้าเคยมาดูตัวสองปีก่อนนั้น สร้างวีรกรรมไว้หลายอย่าง เช่น เป็นคนขอเริ่มโปรแกรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับสังคมไทย เป็นคนยุแหย่เรื่องการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามาในเมืองไทย1,2 เป็นคนที่ต่อสู้ให้คอมพิวเตอร์ของบริษัท ใช้ภาษาไทยได้ เป็นคนทำเรื่องมาตรฐานภาษาไทยในประชาคมโลก และเป็นคนที่จดทะเบียนรหัสภาษาไทย3 ทำให้ใช้ภาษาไทยบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้องในปัจจุบัน
ทำอยู่จนนายบอกว่าไม่รู้จะโปรโมตยังไงแล้ว แต่ถึงเวลาที่ต้องโปรโมต มีทางเลือกอยู่สามทางคือ (1) เปลี่ยนจากสายงานวิศวกรรมมาเป็นสายการจัดการ เพื่อจะได้เติบโตต่อไปในสาขาประเทศไทย (2) ย้ายไปทำงานที่ Asia Region ซึ่งมีตำแหน่งที่สูงขึ้น รับผิดชอบพื้นที่กว้างขึ้น (3) ย้ายไปอยู่ศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สหรัฐ เพื่อเอาดีทางวิศวกรรม; ปรากฏว่าเลือกทางเลือกที่สี่ คือลาออกซะเลย ได้ stock option มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ไม่รู้ เลยไม่ได้ exercise ช่างมัน มันผ่านไปตั้งนานแล้ว
กลับมาอยู่บริษัทเดิม เค้าขอให้คัดหางเสือทางเทคโนโลยี คือช่วยเป็นหมอดูทิศทางให้หน่อย เพราะเรื่องทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่การเตรียมคนต้องใช้เวลายาวนาน ถ้าเตรียมคนผิดทาง จะเป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่
อินเทอร์เน็ต
ต่อมามีความจำเป็นบางประการที่จะต้องเปลี่ยนงานอีก มาทำด้านอินเทอร์เน็ตยุคบุกเบิก เงินเดือนลด 50% แต่ก็ทำ เพราะรู้ว่าค่าเทอมสี่ปีที่พ่อจ่ายไปรวม 5,000 บาทสำหรับการเรียนปริญญาตรีนั้น มาจากการอุดหนุนด้วยเงินภาษี เมื่อในขณะนั้นไม่เดือดร้อน แล้วมีโอกาสทำอะไรตอบแทนบ้าง ก็ควรทำ ส่วนใครจะเห็นหรือไม่เห็น ก็ไม่สำคัญเท่ากับเราได้ทำในสิ่งที่สมควรทำหรือไม่
เรื่องหนักใจคือ ตลอดชีวิตการทำงาน อยู่ในภาคเอกชนมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาอยู่ในระบบราชการ พอบริหารมาได้ปีหนึ่ง กิจการเปลี่ยนรูปเป็นรัฐวิสาหกิจ เลยกลายเป็นกรรมการผู้จัดการรัฐวิสาหกิจเมื่ออายุ 37 แต่โชคดีที่มีมติ ครม.ยกเว้นการใช้กฏระเบียบที่ใช้กำกับรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป บริษัทจึงมีหน่วยงานรัฐถือหุ้น 100% (มีทุนจดทะเบียนแต่เป็นหุ้นลมทั้งหมด) บริหารบริษัทแบบเอกชน จนประสบความสำเร็จมาก ผู้ถือหุ้นคืนทุนไปหลายรอบ
ต่อมารัฐบาลมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ บริษัทเป็นหนูตะเภาตัวแรก สะดวกสุดเพราะไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ และมีทุนจดทะเบียนอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัย พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ; เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก หลังเครื่องบินชนตึกสองเดือน มียอดมูลค่าการซื้อขายหุ้นของบริษัท เกือบหนึ่งในสามของมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ในวันนั้น มีเหตุการณ์ที่แทบจะซื้อขายหุ้นกันตัวเดียวเท่านั้น ในสมัยราชาเงินทุน หุ้นบริษัททั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ซื้อขายกันสามรอบกว่า (ซื้อ-แล้ว-ขาย หุ้นของบริษัททุกหุ้นที่มีขายในตลาด สามรอบในวันนั้น) บ้าสิ้นดี
ประสบการณ์เฉียดตายเปลี่ยนคนได้
ในช่วงที่เกิดความสำเร็จที่เกิดขึ้นมากมายนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงาน ไม่พักเลย จนในที่สุด ร่างกายก็ไปไม่ไหว เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (ตีบ) เนื่องจากความเครียด ประกอบกับการไม่ดูแลตัวเอง ไปเป็นเอาตอนที่พักร้อนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว โชคยังดีที่ฟื้นตัวเร็วมากจนดูไม่ออก กลับไปตีกอล์ฟได้ดีเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันเลิกมาตั้งแต่ปี 2549
ความเจ็บป่วยครั้งนั้น ทำให้เห็นว่าสิ่งที่คิดว่ามีนั้นไม่มี สิ่งที่คิดว่าเป็นของเรา ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย หน้าที่ความรับผิดชอบก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต หากไม่มีชีวิตอยู่ หรือกลายเป็นมนุษย์ผักไป จะทำประโยชน์อะไรได้ ชีวิตจะมีค่าอะไร เริ่มเข้าใจในโลกธรรมมากขึ้น รู้ซึ้งถึงคำว่า พ่อ แม่ และครอบครัว โง่มาสี่สิบกว่าปี เชื่อไหมครับ ออกจากโรงพยาบาลมา กินข้าวกับพ่อแม่มื้อแรก ผมนั่งร้องไห้เพราะลืมวิธีจับส้อม กะอีแค่ตักอาหารเข้าปากยังทำไม่ได้ จะไปดูแลพ่อแม่ได้อย่างไร
การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป เริ่มดูแลตัวเองบ้าง ทั้งอาหารการกิน การพักผ่อน จังหวะ และที่สำคัญคือเห็นความจริงที่ว่า คนไม่ใช่เครื่องจักรที่จะเร่งหรือสั่งเอาให้ได้ดังใจ ความสำเร็จทั้งหมดของบริษัท ไม่ได้มาจากเราคนเดียว แต่มาจากทุกคนในองค์กร ช่วยกันสร้าง มากบ้าง น้อยบ้าง อย่าคิดเอาตื้น ๆ ว่าจะเนรมิตเอาได้ตามใจปรารถนา ตั้งทิศทางให้ชัด แล้วช่วยพากันเดินไปในทิศทางนั้น มีปัญหาอะไร ก็ช่วยกันแก้ไข แต่ต้องมีการสื่อสารที่ดี และเข้าใจในบริบททั้งหมด อย่าตัดสินด้วยอคติ ความรู้สึก หรือตัดสินในเวลาที่ไม่พร้อม กระจายงานออกไป เชื่อใจคนอื่นบ้าง อาจจะไม่ถูกใจไม่เหมือนกับทำเอง แต่ขืนจะทำเองทั้งหมด ควรจะไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ต้องมาอยู่ในสังคมหรอก
ตัวตนอันบรรยายไม่ได้
ลูกน้องเคยถาม ว่าทำไมไม่บอกอะไรตรง ๆ ผมตอบว่าถ้าบอกตรง ๆ คุณก็รับรู้ แต่ไม่เข้าใจน่ะซิ อยากจะเข้าใจก็ไปพิจารณาเอาเอง โดยนิสัย เป็นคนที่ไม่เบื่ออะไรง่าย ๆ ที่บ้านไม่กินเผ็ดกัน เพื่อนเคยถามว่า พี่กินเผ็ดไม่ได้เหรอ ผมเถียงคอเป็นเอ็น กินได้ แต่มันเผ็ด (ว่ะ)! นี่เป็นตัวอย่างว่าข้อสังเกตกับความเป็นจริงนั้น อาจไม่เหมือนกัน
ชีวิตผมอาจจะโชคดีที่มีเวลาได้ไตร่ตรองก่อนเสมอ ๆ แล้วมักจะมีโอกาสได้เลือก ก็เลยเลือกในสิ่งที่ชอบ ที่สนุก และที่คิดว่าทำได้ดี ไม่เลือกที่คิดว่าทำได้เฉย ๆ เพราะ ทำได้ กับ ทำได้ดี แตกต่างกันมาก ไม่ค่อยทะเลาะกับตัวเอง จึงไม่ค่อยเบื่อกับสิ่งที่ทำง่าย ๆ ขี้เกรงใจ ไม่ค่อยขอให้ใครทำอะไรให้ ยกเว้นว่าจะทำเองไม่ได้ แบกของเอง รำคาญพวกชอบพินอบพิเทาจนเกินเหตุ พวกนี้ไม่เข้าใจค่าของตัวเอง ซึ่งต่างกับการมีสัมมาคารวะมาก
ตั้งแต่เด็กมา เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด จึงไม่เสียเวลาทะเลาะกับใคร อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ เมื่อมีสิ่งใดที่เห็นว่าไม่ใช่ ถ้าทำเองได้จะทำเอง ไม่ว่าจะใช่หน้าที่หรือไม่ ถ้าทำเองไม่ได้ ผมจะบอกผู้ที่รับผิดชอบ แต่จะไม่พูดบ่อย เมื่อบอกแล้วยังไม่แก้ไข หรือไม่มีเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ทำ ผมจะถอยห่างออกมา ถือว่าตรงนั้นไม่สามารถพัฒนาได้ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าเข้าไปยุ่งตรงไหน แปลว่าสำคัญและเหลืออดแล้ว รู้เห็นหลายเรื่อง แต่เลือกทำตามลำดับความสำคัญ และไม่ชอบที่มีคนมาจัดลำดับความสำคัญให้ใหม่ โดยไม่ถามว่าทำไมเดิมจึงจัดไว้อย่างนั้น
ชีวิตผกผันไปทำงานบริหารเข้า เลยต้องหัดพูดเป็นภาษามนุษย์บ้าง เรื่องนี้ทำให้มีปัญหาเหมือนกัน คือว่าโดยวิธีการเรียนรู้ของตัวเอง พอสนใจเรื่องอะไร ก็ศึกษา คิดไตร่ตรอง สอบทาน ไม่รอให้ใครมาสอน ถามและเรียนให้เป็น ทำอย่างนี้มานาน จึงมีอะไรกลั่นเก็บไว้ในหัวมาก ทีนี้พอปล่อยอะไรออกมา พูดนิดเดียว กลับมีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะ มักมีคำพูดที่ทำให้หลายคนสะอึกได้ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าผู้ฟังเคยคิดถึงสิ่งที่พูดนั้นมาก่อนหรือไม่ แล้วคิดมาแค่ไหน ไม่ก้าวร้าว ความก้าวร้าวไม่ได้แก้ไขอะไร พูดเนื้อความตรง ๆ ด้วยวิธีพูดที่อาจจะแตกต่างกันไปสำหรับผู้ฟังแต่ละคน เพื่อนและลูกน้องไม่ค่อยกล้าเถียง เขามักให้เหตุผลว่ากลัวเจอสวน แต่ที่จริงจำนนต่อเหตุผล ทำให้ไม่ค่อยกล้า
ฟังมากกว่าพูด มักเห็นไม่เหมือนกับพวกชอบพูดแต่ไม่ฟัง ไม่ฟันธงถ้ายังไม่ได้คิดให้ดีหรือไม่มีข้อมูลเพียงพอ รู้สึกว่าฟันธงชุ่ย ๆ เป็นการไม่รับผิดชอบเพียงพอ และนำไปสู่การลุแก่อำนาจ ช่างสังเกต ไม่กลัวที่จะแตกต่าง ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น อ่านคนค่อนข้างแม่นเพราะไม่รีบร้อนสรุป ไม่ได้เป็นคนที่นิ่งเป็นหิน แต่เป็นคนที่ไม่บุ่มบ่ามแน่นอน มักคิดจากหลายมุม
เวลาพูด พูดแบบไม่มีบทพูด บางครั้งใช้สไลด์การนำเสนอเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ฟังอยู่กับประเด็น แต่มีความสามารถพิเศษที่พาออกนอกเรื่องได้บ่อยมาก เป็นเกร็ดที่ช่วยให้เข้าใจประเด็นได้ง่ายขึ้น หลายครั้งที่ตอบไม่ตรงคำถาม หรือถามกลับ จึงไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์
เป็นคนหัวโตมาตั้งแต่เด็ก หาหมวกใส่ไม่ค่อยได้ ถือศีลห้ากับสัปปุริสบัญญัติ ไม่คบคนพาล ไม่เล่นการเมือง ไม่ชอบส่องกระจก จึงไม่ค่อยหวีผม
สมาธิยาวแต่ความจำสั้น ในหัวจึงเก็บแต่หลักคิด ส่วนรายละเอียดประยุกต์เอาตามสถานการณ์ ก็เลยไม่ค่อยมีคำตอบเบ็ดเสร็จให้กับใคร หาแรงบันดาลใจกับกระตุ้นตัวเองด้วยความสนุกเพลิดเพลินของงานที่ทำ เวลาทำงานจึงดูเหมือนเล่น อาจจะขัดอกขัดใจของบรรดาพวกติดฟอร์มเป็นอันมาก แต่ผมไม่สนหรอกครับ ผมทำงาน ภูมิใจในงานที่ผ่านมาแล้วในอดีต แต่ก็ไม่ติคแหง็กอยู่แค่นั้น มันผ่านไปแล้ว
บางทีรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนซับซ้อนเกินเข้าใจ เพื่อนให้นิยามง่าย ๆ ว่า “มันบ้า” คือถ้าคิดแบบเด็ก อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่ามองแบบผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ชอบเอาประสบการณ์ของตนเองมาตัดสินคนอื่น จึงไม่เข้าใจใครอย่างแท้จริง มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน สัมผัสไม่โดน คนส่วนมากไม่เข้าใจว่าทำไมมีอะไรทำตลอดเวลา ยุ่งอะไรกันนักหนา เมื่อแยกแยะออกมา พบว่าส่วนมากเป็นเรื่องของคนอื่นที่แอบทำให้ แล้วไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง รองลงมาเป็นเรื่องของคนอื่นที่ต้องอธิบายแจกแจง มีเรื่องของตัวเองน้อยมาก
ถ้าให้เลือกหนังสือเล่มหนึ่งมาแนะนำเพื่อนได้ตามใจฉัน จะแนะนำหนังสือ พุทธธรรม (ฉบับเดิม)4 พิมพ์ครั้งที่ 10 โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) แต่ก็ยอมรับว่าอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน และได้ประโยชน์ไม่เท่ากัน
นานมาแล้ว มีผู้วิจารณ์ว่าเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเด็กเหลือเกิน สรุปว่าเป็นคนปกติ
กับเฮฮาศาสตร์
ผมมองเฮฮาศาสตร์เป็นสังคมที่มีความแตกต่าง หลากหลาย แต่อยู่ร่วมกันได้ มีสิ่งต่าง ๆ ให้เรียนรู้มากมาย เฮฮาศาสตร์ไม่ใช่สังคมซุบซิบนินทา หรือสังคมชี้นิ้วโบ้ยกันไปโบ้ยกันมา ใครจะทำอะไร ต่างอาสาทำเองตามความพร้อมของแต่ละคน ใช้การสื่อสารหลากหลายรูปแบบเป็นเครื่องมือเชื่อมโยง เป็นที่ที่ผมสบายใจ
เราไม่สามารถมีชีวิตที่โดดเดี่ยวทำทุกอย่างเองได้หมด จำเป็นต้องอาศัยเกื้อกูลกัน มากบ้าง น้อยบ้าง ในการนี้ ตัวเราทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง กระบวนการเฮฮาศาสตร์ มีเรื่องแบบนี้ให้พิจารณา และมีโอกาสให้ได้ทำเยอะแยะไปหมด แล้วแต่ว่าเราเหมาะกับตรงไหน แล้วเป็นกระบวนการที่ไม่บังคับใคร
หากที่ที่เรายืนอยู่ มีเพื่อน 4 คนยืนอยู่ด้วย ทุนนิยมสุดขั้ว จะรีดเอาจากเพื่อนคนละ 50 เพื่อที่ตัวเราจะได้มีเพิ่ม 200 ส่วนตัวเราจะไม่จ่ายอะไรออกไป แต่ในกระบวนการเฮฮาศาสตร์ เราให้เพื่อนคนละ 25 แล้วเพื่อนอีก 4 คน แต่ละคนก็จะให้คนอื่น คนละ 25 เช่นกัน ในที่สุดตัวเราให้เพื่อน 100 เพื่อน ๆ สี่คนก็ให้เรารวมแล้ว 100 เหมือนกัน แม้ไม่มีกำไร แต่เรามีเพื่อนอีกสี่คน
คิดว่าถ้าให้ได้ ก็ให้ไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแง่คิด ยิ่งให้ ยิ่งไม่หมด ยิ่งแตกฉาน ยิ่งลึกซึ้ง
ผมร่วมกิจกรรมของชาวเฮ ตามแต่โอกาสจะอำนวย ไม่เบียดเบียนใคร และไม่เบียดเบียนตัวเอง ทำอย่างนี้ มีอะไรให้เรียนรู้ทุกครั้ง และสนุกดี; ประสบการณ์เป็นเรื่องส่วนบุคคล จะรอคนอื่นเล่าให้ฟัง ก็ไม่เหมือนกับไปรู้ไปเห็นเอง
เคล็ดวิชา
- อย่าติดกรอบ พอกรอบแล้วจะแตกหักง่าย หลีกเลี่ยงความหมายของคำว่า “ต้อง” ยกเว้นใช้ในสำนวน; คำว่า “ต้อง” นั้น ใช้กับใครก็ไม่ได้ผลเท่ากับใช้กับตัวเอง
- อย่าเชื่อตำราจนกว่าจะได้พิจารณาแล้วว่าเหมาะ คนเขียนตำรา ไม่ได้เข้าใจบริบทและข้อจำกัดของปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ซะหน่อย เค้าไม่รู้จักเรา ทำไมจึงไปเชื่อเป็นตุเป็นตะ ถ้าเชื่อไปทั้งดุ้น อาจจะพอ ๆ กับเชื่อหมอดู ซึ่งมีโอกาสถูกเหมือนกัน
- อย่าตัดสินใจบนความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็เรียนรู้ซะ แค่รับรู้ หรือคิดไปเองนั้น ไม่พอที่จะทำให้เป็นการตัดสินใจที่ดี ว่าแต่ว่าวันนี้รู้หรือเปล่า ว่าไม่รู้อะไร แล้วอะไรที่คิดว่ารู้ แต่ที่จริงไม่รู้
- มีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความเป็นจริง อย่าไปหงุดหงิดกับคนเหล่านี้ เค้าเป็นอย่างนั้นเอง
- หัดอ่านคนตามความเป็นจริง ชีวิตจะหงุดหงิดน้อยลง
- ความเป็นจริง บางทีก็โหดร้าย; แต่ถึงโหดร้าย ก็ยังเป็นจริงอยู่ดี
- ความรู้ที่ไม่สามารถนำสู่การปฏิบัติได้ มีค่าน้อย เข้าทำนองความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด มีโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับความรู้ไม่จริงอยู่มากมาย
- ใครคิดว่าเราเป็นอย่างไร สำคัญน้อยกว่าเราเข้าใจตัวเองหรือไม่ (ดูจิต)
- เมื่อเข้าใจตนเองแล้ว มีโอกาสเลือก ก็เลือกให้เหมาะกับตัวเองซะ อย่ารอให้คนอื่นมาเลือกให้เลย
- สิ่งที่เราทำ เราก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าคนอื่นไม่ชื่นชม อาจแปลว่ายังดีไม่พอ หรือไม่มีผลต่อเขาแรงพอ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็ปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้น อย่าเสียเวลาไปหงุดหงิดกับการที่ไม่มีคนชื่นชมเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใคร
- กำลังใจ ถ่ายให้กันไม่ได้ กำลังใจมาจากความเข้มแข็งภายใน แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจ สร้างจากภายใน สิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น
- ไม่มีรากฐาน ก็ไม่มียอด อย่าใจร้อน จะไปให้ถึงยอด ก็ต้องมีรากฐานที่ดีก่อน ดีกว่าก่อไปเรื่อย ๆ แล้วพังลงมาก่อนไปถึงยอด
แล้วเจ้าเป็นใผ: ผมก็คือผมน่ะซิครับ5
ในขณะที่เขียนนี้ ลาออกจากงานประจำ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มาเป็นเลขาธิการมูลนิธิเล็ก ๆ ที่จะทำเรื่องใหญ่แห่งหนึ่ง6 เขียนบล็อกเป็นประจำที่ http://lanpanya.com/wash/
เชิงอรรถ
1 http://mozart.inet.co.th/cyberclub/trin/pubnet.txt
2 http://www.nsrc.org/case-studies/thailand/english/keypeople.html; The Network Startup Resource Center (NSRC), University of Oregon, supported by the National Science Foundation under Grant No. NCR-961657
3 http://software.thai.net/alerts/tis-620/
4 http://www.dhammajak.net/e-book/e-book-prayut/.-.-/download.html
5 http://www.webmaster.or.th/article/one-year-after-tsunami-and-trin-tantsetthi
6 http://opencare.org/
Next : แตกต่าง » »
12 ความคิดเห็น
นึกว่า กูเป็นกู อิอิ
เยี่ยมค่ะพี่ตฤณ เห็นแนวทางการเขียนไผเป็นไผที่ประกอบด้วย
1.ประวัติเล็กน้อยพอให้เห็นภาพ
2.แนวทางการเรียนรู้ผ่านการเรียนและประสบการณ์ชีวิต
3.ตัวตนของเรา
4.มุมมองต่อเฮฮาศาสตร์
5.สรุปแง่คิดชีวิตตัวเอง
ขอบคุณค่ะ และเห็นว่าต้องกลับไปแก้คำว่าเนรมิตในเปิดม่านองก์ 3 ของพ่อที่แนะนำพี่ฑูรอีกแล้ว 555 (ผลัดผ่อนใช่ผัดผ่อนหรือเปล่าคะ)
เห็นภาพชัดๆถึงทราบว่าพี่รุมกอดดำลงเยอะมาก 5555
ในใผของพี่รุมกอดที่มีการระบุว่าเขียนบล็อกอะไรในลานฯ นอกจากจะเป็นช่องทางให้ผู้อ่านติดต่อกับผู้เขียนแล้ว ยังเป็นการแนะนำลานปัญญาให้ได้รู้จักอีกด้วยนะคะ
จากคำอธิบายความของพ่อ และคำนิยมของอ.ประเวศ จะเห็นว่าเจ้าเป็นใผเล่มนี้มีคำสำคัญอยู่ 2 คำคือ
1. กระบวนการเรียนรู้ที่แยกออกเป็น 2 ส่วนใหญ่คือในบ้าน และนอกบ้าน
2. เครือข่ายเฮฯ ที่บอกให้ทราบว่าใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เป็นแผนที่มนุษย์ ( Man Mapping) รูปแบบหนึ่ง
เจ้าเป็นใผ1 ในความคิดเบิร์ดจึงเป็นการนำเสนอกระบวนการหลอมรวมความรู้โดยเริ่มจากทักษะการเรียนรู้ส่วนบุคคล จนเติบโตผ่านทักษะการเรียนรู้เป็นทีม อันเป็นทักษะที่คนไทยขาดมาก ๆ บนรากฐานเดิมของสังคมคือความเชื่อ ความศรัทธา ระบบเครือญาติ การน้อมนำเอาศาสนามาใช้ผ่านการกระทำเช่น สติ พิจารณาใคร่ครวญ ความอ่อนน้อม การกระทำด้วยพรหมวิหาร 4 ฯลฯ
ผู้เขียนใผทั้ง 10 ท่านในเล่มนี้ (พี่รุมกอด น้องมิม พี่ฑูร พี่ครูอึ่ง อ.ไร้กรอบ น้องครูปู น้องเดี่ยว พี่บู๊ท พี่ตา พี่ตึ๋ง) จึงรับภาระหนักในการนำพาให้ผู้อ่านทราบว่ากระบวนการเรียนรู้จนมาเป็นตัวตนปัจจุบันนั้นเกิดจากอะไรบ้าง มีแง่คิด คำคม ประโยคเด็ดที่กลั่นจากประสบการณ์เรียนรู้อย่างไรบ้าง และการบอกกล่าวให้ผู้อ่านได้ทราบว่าเฮฯคืออะไรในมุมมองของตนเอง เข้ามาเกี่ยวข้องและคงอยู่ร่วมกันตราบจนทุกวันนี้ได้อย่างไร …ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงเอาการสำหรับแนวหน้าทั้ง 10 ท่านเลยนะคะแต่เท่าที่อ่านก็เห็นว่าส่วนใหญ่ดีอยู่แล้วค่ะ ถ้าจะปรับก็มีเพิ่มเติมนิดหน่อยเท่านั้น
เห็นด้วยที่พี่รุมกอดขอ A52S ของพี่บู๊ทมารวมในเ่ล่มนี้ ซึ่งสามารถขมวดให้ชัดและกระชับขึ้นโดยอาจใช้ชื่อว่าก้าวย่างของเฮฯ หรือถอดรหัสเฮฮาศาสตร์ หรือ ฯลฯ เพื่อนำเสนอปิดท้ายเล่ม 1 ให้เห็นภาพชัดขึ้นได้ค่ะ เพราะพี่บู๊ทเขียนได้ดีมาก ๆ
ขออนุญาตลองเรียงลำดับสารบัญดูนะคะ โดยปรับบทจากที่เคยเรียงไว้เดิมเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในบางส่วน แต่อยากคงส่วนที่พี่ๆทำไว้ให้มากที่สุด
1.ก่อกำเนิดเฮฮาศาสตร์ที่พ่อครูเขียน ซึ่งลำดับเดิมอยู่ท้ายเล่ม
2. องก์ 1 เจ้าเป็นไผภาคพิสดาร
- เปิดม่าน (คำแนะนำตัวของพ่อ)
- เจ้าเป็นไผภาคพิสดาร : คุณตฤณ ตัณฑเศรษฐี
3. องก์ 2 นิยายชีวิต
- เปิดม่าน
- นิยายชีวิต : อ.สุภาภรณ์ สารนอก
ฯลฯ ไล่เรียงทีละท่านจนครบทั้ง 10 ท่าน
12. A52S ของพี่บู๊ท ที่อาจเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อขมวดให้ชัดว่าเฮฯก้าวเดินมาอย่างไร
13. ส่งท้ายความสุข
ภาพที่น่าจะช่วยนำเสนอให้เห็นเรื่องแผนที่เครือข่ายมนุษย์ได้ (พี่สร้อยช่วยคิดค่ะ) คือภาพแผนที่ประเทศไทย แล้วมีภาพพ่อเล็กๆอยู่ตรงบุรีรัมย์ ภาพท่านอื่นๆอยู่ตามจังหวัดต่างๆแล้วเชื่อมเป็นสายใยโยงให้เห็นน่ะค่ะ หรือจะเพิ่มเป็นแผนที่โลกแล้วโยงไปที่น้องณิชที่อังกฤษ คุณเม้งที่อยู่เยอรมันในขณะนี้ด้วยก็ได้ค่ะ
จบการนำเสนอในภาคนี้เท่านี้ก่อนนะคะ อิอิอิ เดี๋ยวคิดอะไรได้จะมาป่วนใหม่
ได้รับประโยชน์ทั้งจากเนื้อเรื่อง และ วิธีการเขียนค่ะ ได้เรียนรู้อีกมาก ขอขอบคุณค่ะ
ข้อคิดอีกอย่างที่ได้ค่ะ เคยเจอคนที่ไม่ค่อยบอกอะไรคนอื่นตรงๆ เดิมที ก็ไม่เข้าใจค่ะ
คิดไปเองว่า เขาคงไม่อยากบอก หรือไม่มีเวลา หรือไม่เห็นความสำคัญ ซึ่งก็อาจจะใช่
แต่ที่ไม่ได้คิดคือ ถ้าบอกแล้วก็จะรับรู้ แต่ไม่ได้ เรียนรู้ อ้อ…ถึงบางอ้อ..ค่ะ
มีคนที่เหมือน ท่าน Logos ในข้อนี้ อยู่นะคะ แม้จะไม่ทราบว่ามีมากไหม แต่ก็มีค่ะ ขอบคุณค่ะ
ความซับซ้อนของบุคคลที่ 1 กับ ความซับซ้อนของบุคคลที่ 2 และ ความซับซ้อน ของเรื่องราว ทำให้เกิดการสื่อสารที่อาจไม่ได้ประสิทธิผลเต็มที่ นี่เองคือ ปัญหาในการสื่อสารที่บ้าน ที่ทำงาน จนถึง บ้านเมือง
ความแตกต่างของคน เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นความงดงามเมื่อนำมาประสาน เชื่อมกันด้วย
ความเมตตา ความจริงใจ ความรัก ความสามัคคี ดังในสังคมเฮฮาศาสร์ค่ะ
เชื่อท่าน Logos ค่ะ ดังนั้น การไม่บอก บางทีก็ดีเหมือนกัน ต่อ ทั้ง 2 ฝ่าย ค่ะ อิอิอิ
#8 เวลาจะไม่บอกอะไรใคร พิจารณาก่อนนะครับ
แวะมาเรียนครับ
สวัสดีครับ
เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เมื่อคืนนอนที่โน่นครับ กลับมาบ้านกินข้าวกับน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ไข่เจียว ที่น้องๆอนุเคราะห์ไว้ให้ครับ เหยาะแมกกี้ กินไปสองจานพร้อมเปิดเจ้าเป็นไผหน้านี้อ่านไปด้วย ผมกินข้าวไปอ่านไป สรุปว่ากินข้าวเสร็จก่อนแล้วมานั่งอ่านต่อครับ สองจานอิ่มแปล้ครับ แต่ได้อ่านบันทึกนี้อย่างเอาจริงเอาจังทำให้อิ่มเข้าไปอีกครับ ได้อะไรไปใส่สมองไปอีกเยอะเลยครับ
ผมลืมบอกไปครับ ในการสนับสนุนการทำหนังสือไผเป็นไผ ผมมีเงินของเฮฮาศาสตร์อยู่หนึ่งหมื่นครับ จริงๆ ไม่ใช่ของผมหรอกครับแต่ก็มาอยู่ที่ผมจนได้ด้วย ซึ่งผมก็รับไว้ด้วยความเต็มใจในที่สุด ้ ผมจึงรับไว้เป็นเหมือนเจ้าของแต่ผมโอนไว้ภายในใจให้กับเฮฮาศาสตร์เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ถึงปัตตานีครับ ซึ่งจะใช้ในการร่วมสมทบกิจกรรมต่างๆ นะครับ ดีใจนะครับที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในมิตรภาพที่ดี ณ ที่แห่งนี้ครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขนะครับ วันนี้ได้ทำงาน ผลิตงานอีกชิ้นนึง มันไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็ด้วยพลังของเราครับ สะสมพลังงานเพื่อไปลุยต่อในบ้านเราครับ
ขอบคุณมากครับ
เยี่ยมยอด