ถอดบทเรียนสึนามิที่ญี่ปุ่น 2011-03-11

อ่าน: 6247

การถอดบทเรียนที่ยากที่สุดแต่น่าจะได้ประโยชน์ที่สุด คือการถอดบทเรียนที่เราไม่ได้เรียน ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ ไม่เข้าใจบริบทและข้อจำกัดของสถานการณ์อย่างถ่องแท้ แต่สามารถเทียบเคียงกับสถานการณ์ของเราได้ เรียกว่าเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของคนอื่นก็แล้วกันครับ

เมื่อสี่ห้าปีก่อน ผมเคยถอดบทเรียนการจัดการสึนามิที่ญี่ปุ่นไว้ครั้งหนึ่ง คราวนี้ญี่ปุ่นก้าวหน้าไปกว่าก่อน

ระบบประเมินแผ่นดินไหว

ที่ตั้งของญี่ปุ่น อยู่แถบรอยต่อของเปลือกโลก ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในบริเวณใกล้ๆ ได้ง่าย และเนื่องจากระยะทางใกล้มาก จึงเหลือเวลาเตือนภัย น้อยจริงๆ ระบบเตือนภัยของญี่ปุ่น ไม่มีเวลามากนักสำหรับการคำนวณอะไรมากมาย ถ้าประมาณได้ เขาจะประมาณการและประกาศก่อนทันที เพราะชีวิตคนสำคัญที่สุด ความถูกต้องตามมาทีหลังครับ

[บันทึกเหตุการณ์]

ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวของญี่ปุ่น กระจายอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แต่ทันทีที่เครื่องตรวจวัดตัวใดตัวหนึ่ง ตรวจจับการสั่นสะเทือนจากคลื่นปฐมภูมิ (p-wave) ได้ จะเริ่มการประมาณการความแรงและจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวทันที ถ้าตัวเลขเบื้องต้นทีความร้ายแรง เขาจะเริ่มกระบวนการเตือนภัยทันที

เมื่อผ่านไปสิบวินาที คลื่นปฐมภูมิเคลื่อนที่ไปเป็นวงกว้างมากขึ้น ย่อมผ่านเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวมากขึ้น ส่วนเครื่องตรวจวัดที่คลื่นปฐมภูมิผ่านไปแล้ว อาจได้รับคลื่นทุติยภูมิ (s-wave) เป็นการยืนยันอีก ข้อมูลเหล่านี้นำไปคำนวณอย่างรวดเร็วได้อีก โดยใช้ข้อมูลจากเครื่องตรวจวัดเพียง 2-3 ตัว ก็จะให้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น

อ่านต่อ »


สึนามิกับความรู้ที่ลืมเลือน

อ่าน: 4016

เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ใกล้ชายฝั่งญี่ปุ่น มีจุดศูนย์กลางอยู่ตื้นมาก และเกิดสึนามิสร้างความเสียหายใหญ่หลวงตามมา แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 12:46 ตามเวลาประเทศไทย หรือ 14:46 ตามเวลาในญี่ปุ่น [รายละเอียด]

เกี่ยวกับชื่อบันทึก ถ้าเป็นความรู้(จริง)แล้ว ไม่ลืมเลือนหรอกครับ เพียงแต่บางทีเราแยกแยะไม่ออกระหว่าง

  • ความรู้ — เข้าใจทั้งเหตุและผล ปฏิบัติได้ ปรับปรุงได้ เตรียมการสำหรับอนาคตได้
  • ประสบการณ์ — เคยทำมาอย่างนี้แล้วผ่านมาได้
  • ความรู้มือสอง — เขาเล่าว่า…อย่ามาถามต่อนะ [คุณเป็นมนุษย์มือสอง]

เรื่องพวกนี้ มองดูดีๆ ก็ไม่แปลกว่าจะ “เป็น” อะไรหรอกครับ (เป็น->อัตตา) ถ้าเกิดจากความตั้งใจดี ให้ผลดีที่เตือนผู้คนไม่ให้อยู่ในความประมาท (ซึ่งความไม่ประมาทนั้น รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ ไม่ใช่แค่บริกรรมว่าไม่ประมาทๆๆ แต่ทำอะไรไม่ถูก) ไม่เบียดเบียนใคร ไม่บังคับใคร ก็เป็นของดีทั้งนั้นครับ

จากประสบการณ์สึนามิตามชายฝั่งอันดามันเมื่อปลายปี 2547 ผมคิดว่าเอากลับมาเล่าเตือนความจำกันอีกครั้ง

อ่านต่อ »


ให้น้ำที่ปลายราก

อ่าน: 8163

คำว่าแล้งนั้น นักอุตุนิยมวิทยาให้นิยามไว้ว่ามีฝนไม่เกิน 0.25 มม. ในรอบ 15 วัน

พูดง่ายๆ ก็คือฝนไม่ตกน่ะครับ ถ้าฝนไม่ตกแล้วมีเมฆบ้าง ก็ยังพอบรรเทาไปได้ แต่บ้านเราแดดจัดมาก ถ้าไม่มีเมฆมาบังแสงแดดอีก ดินถูกแดดเผาก็จะทำให้น้ำระเหยออกไปมาก จนดินแห้ง แตกระแหง แถมปุ๋ยอินทรีย์ก็สลายตัว จุลินทรีย์ในดินมีชีวิตอยู่ได้ลำบากหากอุณหภูมิของดินสูงขึ้นมาก หลายเด้งเหลือเกิน แต่ปัญหาใหญ่คือพืชพันธุ์ธัญหารเสียหาย จากการที่ระบบรากทำงานไม่ได้เนื่องจากน้ำใต้ดินหายไป

เรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่ารากทำงานโดยกระบวนการออสโมซิส ตอบข้อสอบได้ก็โอเคแล้ว ที่เราไม่ค่อยคิดกันต่อคือออสโมซิสอะไร จริงอยู่ที่คำตอบตามตำราก็จะออกไปในทำนองที่ว่า ออสโมซิสคือกระบวนการดูดซึมสารละลายที่มีความหนาแน่นต่ำ ผ่านเนื้อเยื่อไปสู่ที่ที่มีความหนาแน่นสูง กระบวนการนี้ทำงานที่ปลายราก พืชต้องการน้ำใต้ดินไปละลายสารอาหารที่อยู่ในดิน เพื่อที่ปลายรากซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน จะดูดซึมผ่านราก-ลำต้น-กิ่ง ส่งไปที่ใบเพื่อสังเคราะห์แสง

แต่ความหมายที่ไม่ค่อยคิดกันคือ เวลารดน้ำต้นไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องประหยัดน้ำ ก็ควรจะส่งน้ำไปที่ปลายรากครับ ไม่ใช่รดใบ รดโคนต้น หรือรดไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อจะได้สบายใจว่ารดน้ำต้นไม้แล้ว

ที่เป็นปลายรากเพราะปลายรากเป็นเนื้อเยื่ออ่อน สารอาหารของพืชที่ละลายอยู่ในน้ำพอจะซึมผ่านได้ แต่ถ้าเป็นกลางราก น้ำซึมผ่านไม่ได้ครับ

แต่มันก็มีปัญหาใหญ่ คือรากอยู่ใต้ดิน แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าปลายรากอยู่ตรงไหนล่ะ? ตอบตรงๆ ว่าไม่รู้เหมือนกันครับ อันนี้อาจพอกะได้เหมือนกัน แต่ก็ขึ้นกับว่าจริงๆ แล้ว เรารู้จักต้นไม้ที่ปลูกมากแค่ไหน

อ่านต่อ »


ปลูกต้นไม้เอาใบ

อ่าน: 4764

บันทึกนี้เกี่ยวเนื่องกับบันทึกที่แล้วครับ ขอเอาภาพเดิมกลับมาดูกันใหม่อีกที

ดูตรงเส้นสีส้มซึ่งสะท้อนพลังงานของดวงอาทิตย์ออกไปนะครับ การสะท้อนนี้เกิดโดยปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน และมีผลไม่เท่ากัน ตัวบรรยากาศของโลกเองสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ออกไป 6% เมฆชั้นสูง/ชั้นกลาง/ชั้นต่ำ สะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป 20% ส่วนที่เหลืออีก 4% นั้น แสงแดดตกกระทบพื้นแล้วแผ่ออกในรูปรังสีอินฟราเรด

เอาล่ะ เราคงผ่านความแห้งแล้งกันมาคนละหลายๆ ครั้ง ซึ่งนอกจากบ่นแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่หรือครับ… แน่นอน เวลาแล้งเป็นเพราะฝนไม่ตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน… แต่ไม่รู้ว่าเคยสังเกตท้องฟ้าหรือเปล่าครับ ว่าเวลาที่แล้งนั้น มักหาจะหาเมฆเหนือหัวไม่เจอสักก้อน ไม่ว่าจะเป็นเมฆในระดับไหน

เมื่อไม่มีเมฆ การสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับออกไปในอวกาศด้วยเมฆ (20%) ก็ไม่มีน่ะซิครับ อย่างน้อยก็ตรงที่เราอยู่ พอไม่มีอะไรกั้นแล้ว พลังงานจากดวงอาทิตย์ก็ตกลงมากระทบผิวโลกมากขึ้น (เป็น 51%+20%) ยิ่งร้อนหนักเข้าไปใหญ่ รังสียูวีก็เยอะ นอกจากผิวเสียแล้ว ฮิวมัสในดินก็จะสลายตัวเร็ว ดินเสื่อม พืชรับความซวยไป

เมื่อดินร้อน น้ำผิวดินหาย น้ำใต้ดินแห้ง พืชพันธุ์ธัญหารก็เสียหาย… เมื่อเมฆหายไป ก็ควรจะหาอะไรมาบังแดดแทนเมฆครับ ซึ่งนั่นคือใบไม้ไง!

พลังงานแสงที่ตกกระทบใบไม้ ใบไม้ก็สังเคราะห์แสงไป ดูดเอาน้ำและแร่ธาตุผ่านรากและลำต้น ดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ ไปสร้างความเจริญเติบโตไปตามกระบวนการ… แสงที่ผ่านใบไม้ลงมาไม่ได้ ก็เกิดเป็นร่มเงาอยู่ข้างใต้ ดินไม่ร้อน น้ำใต้ดินไม่สูญเสียจากการระเหยเนื่องจากโดนแดดเผา ลดอัตราการเสื่อมของดิน (ดินดาน ดินแตกระแหง กลายเป็นทราย ฯลฯ)

ก็จริงอยู่ที่เวลาอากาศแล้งจัด ต้นไม้ผลิใบเพื่อลดการคายน้ำ ใบไม้ที่ร่วงลงดินก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นล่ะครับ เพราะว่ามันย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ คืนธาตุอาหารที่ต้นไม้ยืมมาสร้างใบกลับไปสู่ดินอีกทีหนึ่ง แต่ระหว่างที่ใบไม้ยังไม่ย่อยสลาย มันบังบังแดดให้แก่พื้นดินได้สักพักครับ

อ่านต่อ »


โลกร้อนจากมุมของพลังงานแสง

อ่าน: 5283

คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่าพลังงานทุกอย่างที่เราใช้ มีต้นทางมาจากดวงอาทิตย์ทั้งนั้น

ดวงอาทิตย์แผ่รังสีให้กับโลก ตลอดวันตลอดคืน (ตอนกลางคืน ดวงอาทิตย์กำลังแผ่ให้อีกซีกโลกหนึ่ง) เกิดความอบอุ่น เกิดลมฟ้าอากาศ เกิดการสังเคราะห์แสง เกิดห่วงโซ่ของอาหาร เกิดน้ำมัน ฯลฯ

ข้อมูลในรูปข้างบน เป็นข้อมูลมือสองซึ่งเกินปัญญาที่จะตรวจสอบ แต่มาจากการศึกษาของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ หวังว่าเขาจะมีการตรวจสอบแล้วเป็นอย่างดีก่อนตีพิมพ์เผยแพร่

อ่านต่อ »


ปลูกผักในกระถางเพื่อการรีไซเคิลน้ำ

อ่าน: 5988

พืชผักที่เป็นอาหารมักเป็นพืชล้มลุก — ในเมื่อเป็นพืชล้มลุก รากก็ไม่ไชลงลึก แต่มักเป็นรากฝอยอยู่บริเวณผิวดิน แต่เพราะว่ารากแผ่อยู่ตื้น จึงหาน้ำได้น้อย ประกอบกับแดดเผาผิวดิน พืชผักจึงต้องการน้ำมากพอสมควร จึงจะเติบโต

เราเอาผักมาปลูกในกระถางก็ได้ น้ำส่วนเกินที่รดให้แก่ผัก ซึ่งซึมลงเกินความลึกของราก สามารถนำกลับมารดใหม่ผ่านทางรูก้นกระถางได้ แต่ว่ามูลค่ากระถาง ก็ดูจะไม่คุ้มราคาผักอยู่แล้ว

บันทึกนี้เสนอความคิดบ้าบอ ให้เอาแผ่นพลาสติก (มีขนาด 48- 54- และ 72 นิ้ว; ยาว 40 50 และ 60 หลา) — ยกตัวอย่างเช่น ขนาดกว้าง 4.5 ฟุต ยาว 120 ฟุต ราคา 110 บาท — แขวนปลายตามแนวยาว เป็นรางที่มีหน้าตัดเป็นรูปตัว V เอาดินใส่ตรงกลางเพื่อปลูกผัก ในที่สุด น้ำที่รดลงในราง จะไหลไปรวมกันที่ก้นตัว V ซึ่งถ้าเอียงเล็กน้อย เราก็ไปดักน้ำที่ปลาย แล้วนำน้ำมารดผักใหม่ได้

อ่านต่อ »


จะเอาอะไรไปเลี้ยงโลก

อ่าน: 4164

เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2554 โลกมีประชากรกว่า 6,890 ล้านคน

ด้วยอัตราการเพิ่มของประชากร จะโตเป็นเจ็ดพันล้านคนในปี 2555 และเป็นเก้าพันล้านคนในปี 2587… เฮ้อ ตอนนั้นถ้าผมยังอยู่ ก็คงแก่หง่อมไม่รู้เรื่องแล้ว ดังนั้น มีอะไรจะพูดก็ควรรีบพูดซะก่อนจะเลอะเลือน

น้ำจืด

อากาศแปรปรวน อากาศร้อนตับแตกสล้บหนาวเย็น ฝนแล้งสลับท่วมหนัก เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมืองไทยไม่มีภูเขาสูงที่จะคอยดักจับเมฆ ความชื้น และหิมะ พูดง่ายๆ ก็คือเราพึ่งน้ำฝนอย่างเดียวครับ แต่พอฝนตกหนัก เรากลับเร่งระบายปล่อยทิ้งไปเฉยๆ

น้ำท่วมเกิดมาจากปริมาณน้ำผิวดินมีมากเกินไป เมื่อฝนตกในที่สูง เราเก็บกักน้ำจืดเอาไว้ไม่ได้ สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ก็ไม่ได้ ที่ดินมีราคาแพง จะเอาไปทำแก้มลิงก็ทำไม่ไหว ที่สำคัญคือต้นไม้ตามภูเขาก็ตัดเสียโกร๋นหมด เมื่อไม่มีต้นไม้ไว้ชะลอน้ำ น้ำก็ไหลลงมาที่ต่ำอย่างรวดเร็ว

จริงอยู่ที่การชะลอน้ำก็แค่ถ่วงเวลาไว้ ไม่ได้ทำให้ปริมาณน้ำมากมายหายไป แต่ถ้าน้ำไหลช้าลง ดินมีโอกาสดูดซึมน้ำไว้มากขึ้นนะครับ

เมื่อฝนตกลงมา ชะลอน้ำหลากเอาไว้ เอาน้ำส่วนนี้ไปเติม [น้ำใต้ดิน] น้ำใต้ดินในที่สูง จะกลายเป็นน้ำผุด เป็นต้นน้ำลำธาร ที่ค่อยๆ ปล่อยลงมา (ค่อนข้าง) สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทำให้หน้าฝนไม่มีน้ำหลากมากนัก ส่วนหน้าแล้งยังมีน้ำอยู่

ผู้กำหนดนโยบายอาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ ใช้น้ำประปากันทั้งนั้น อาจจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความสำคัญของน้ำใต้ดิน แต่ประปาชนบทจำนวนมาก ต้องพึ่งน้ำบาดาล เวลาเราใช้น้ำบาดาลกันเยอะๆ คิดจะเติมแหล่งน้ำใต้ดินกันบ้างหรือเปล่าครับ

กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

อ่านต่อ »


สึนามิปี 2547 เกิดจากการระเบิดในอวกาศ?

อ่าน: 4651

เมื่อเวลา 0:58 UTC ของวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เกิดสึนามิจากอภิมหาแผ่นดินไหว ความแรง M9.3 เริ่มต้นที่หัวเกาะสุมาตรา ไล่ขึ้นเหนือไป 1,200 กม. ทำให้คนตายไปสองแสนกว่าคน เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาก และทำให้เกิดสึนามิที่มีความรุนแรง ทำลายล้างสูงที่สุดนับตั้งแต่ภูเขาไฟกรากะตัวระเบิดในปี 2426 แผ่นดินไหวครั้งนั้น รุนแรงกว่าแผ่นดินไหวครั้งใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า 25 ปีอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 เท่า

แต่ในเวลาเพียง 44.6 ชั่วโมงหลังจากเกิดสึนามิ 21:36 UTC วันที่ 27 ธ.ค.2547 ดาวเทียมตรวจวัดรังสีแกมมาหลายดวง ตรวจจับการแผ่รังสีแกมมาที่มีความรุนแรงได้จากการระเบิดในอวกาศได้ รังสีแกมมาที่วัดได้ในครั้งนั้น มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยวัดได้มา

การระเบิดของรังสีแกมมาที่ตรวจจับได้ในครั้งนั้น มีความรุนแรงกว่าที่สูงที่สุดที่เคยวัดได้มาถึง 100 เท่า เทียบได้กับแสงจันทร์เต็มดวง แต่ปล่อยพลังงานส่วนใหญ่ออกมาในช่วงความถี่ของรังสีแกมมา รังสีแกมมาที่วัดได้มีลักษณะขึ้นๆ ลงๆ ส่งสัญญาณมาเป็น pulse ทุก 7.5 วินาที เหมือนกับหมุนไฟฉายไปรอบๆ ทุก 7.5 วินาที จะมีแสงกวาดมาเข้าตาเราแล้วก็หายไป อีก 7.5 วินาทีมาใหม่อีก — การระเบิดของรังสีแกมมาที่ตรวจจับได้ในครั้งนั้น ทำให้บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียของโลก “เบี้ยว” ไป รบกวนคลื่นวิทยุในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คลื่นยาว” มีรายงานปรากฏในสื่อประมาณเดือน ก.พ.2548 เช่น Space.com BBC NYTimes (ภายหลัง มีการแก้ไขตัวเลขต่างๆ ในข่าว เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น)

รังสีแกมมานี้ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์คาดว่าเกิดจากการระเบิดของดาวนิวตรอน SGR 1806-20 ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 กม. อยู่ห่างไป 20,000 ถึง 32,000 ปีแสง (ประมาณศูนย์กลางของกาแลกซี่) ปล่อยพลังงานออกมาใน 0.1 วินาที มากกว่าพลังงานที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาทุกทิศทางในแสนปี SGR 1806-20 หมุนรอบตัวเองทุก 7.5 วินาที ซึ่งตรงกับสัญญาณของการระเบิดของรังสีแกมมา (GRB) ว่ากันจริงๆ การระเบิดของรังสีแกมมาอื่นๆ ที่วัดได้ อาจจะมีความรุนแรงมากกว่านี้ แต่ว่าเพราะมันมาจากกาแลกซี่อื่น ซึ่งอยู่ห่างไกลมาก จึงมี “ความสว่าง” น้อยกว่าการระเบิดจาก SGR 1806-20 ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่า และเกิดขึ้นภายในกาแลกซี่ทางช้างเผือกนี้เอง

อ่านต่อ »


ความมั่นคงสามแนวทาง เพื่อให้อยู่ได้

อ่าน: 4110

นอกเหนือจากปัจจัยสี่ (อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค) ซึ่งเป็นความจำเป็นขั้นต่ำสุดต่อการดำรงชีวิตแล้ว มีปัจจัยสำคัญสามอย่าง ที่จำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ คือความมั่นคงสามแนวทางได้แก่ อาหาร น้ำ และพลังงาน ทั้งสามมีนัยสำคัญต่อ “สภาพ” ของสังคมมนุษย์ หากขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่จนลุกลามเป็นสงครามได้

อาหาร

เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้รับอย่างพอเพียงต่อการเจริญเติบโต และครบถ้วน เมืองไทยมีดิน(บางส่วน)อุดมสมบูรณ์ จากน้ำท่วมที่ลุ่มภาคกลาง แต่ในพื้นที่อื่นๆ เรากลับทำลายดินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เริ่มด้วยการถางป่า ทำให้ดินถูกแดดเผา เร่งให้ความอุดมสมบูรณ์​ (humus) สลายไปหมด ซึ่งโดยธรรมชาติ มันก็ค่อยๆสลายที่อุณหภูมิสูงกว่า 25°C อยู่แล้ว เมื่อไม่มีร่มเงาของต้นไม้ ดินที่ถูกแดดเผา อาจมีอุณหภูมิสูงกว่า 70°C กลายเป็นดินทรายไปหมด ใส่ปุ๋ยเท่าไหร่ ความอุดมสมบูรณ์ก็ถูกทำลายไปอีกซ้ำซาก เพราะว่าไม่ได้แก้ที่สาเหตุ

ยิ่งทำการเกษตร ก็ยิ่งจน ที่ดินของปู่ย่าตายายก็รักษาไว้ไม่ได้ เห็นแก่เงินเฉพาะหน้า พอนายทุนมากว้านซื้อ ก็รีบขายไปหมด เมื่อไม่มีที่ทำกิน ก็ไปบุกรุกพื้นที่ป่า ทำลายต้นไม้หนักเข้าไปอีก เมื่อพื้นที่ป่าหายไปมากเข้า ความชื้นไม่มี ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผลผลิตต่ำเป็นหนี้เป็นสิน เป็นวังวนไม่รู้จบสิ้น

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2542 โลกมีประชากรเกินหกพันล้านคน และจะมีเกินเจ็ดพันล้านคนในปี 2555… ถึงมีคนมากขึ้น แต่กลับมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยลง พื้นที่เพาะปลูกที่มีก็ไม่รู้จักบำรุงรักษา

โดยนิยาม ทรัพยากรเป็นสิ่งที่ทีค่า แต่มีอยู่อย่างจำกัด หากถลุงใช้กันตามสบายโดยเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งแล้ว ทรัพยากรมีแต่จะหมดไปอย่างรวดเร็วและเปล่าประโยชน์ [tragedy of the commons ] [tyranny of small decisions]

อ่านต่อ »


Biochar ปรับปรุงดินและลดโลกร้อน

อ่าน: 7293

Biochar เป็นถ่านที่เกิดจากการเผาไหม้แบบควบคุมปริมาณออกซิเจนที่อุณหภูมิต่ำ — แปลเป็นไทยก็คือถ่านไม้จาก [ไต้ไม่มีควัน] นั่นล่ะครับ — Biochar ต่างกับ Activated carbon (ถ่านกัมมันต์) ที่ activated carbon เผาที่อุณหภูมิสูง แต่ biochar เผาที่อุณหภูมิต่ำ

ถ่าน biochar เป็นถ่านที่เกิดจากกระบวนการ pyrolysis ของไฮโดรคาร์บอน เช่น ไม้ มูลสัตว์ หรือพลาสติก) แต่ถ่าน biochar ไม่ได้ใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิง แต่ใช้ดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ

ทุกอะตอมของคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 มีออกซิเจนอยู่สองอะตอม เมื่อเกิดกระบวนการ pyrolysis อากาศปริมาณน้อยที่ผ่านเข้าไปในเตา มีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในปริมาณเกือบ 390 ppm (ส่วนในล้านส่วน) เมื่อกระบวนการ pyrolysis ทำงาน เตาจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาประมาณ 66 ppm (เหลือแค่ 17% ของ 390 ppm) เทียบกับการเผาไหม้ในอากาศเช่นเผาไร่เผานา จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1000 ppm (เพิ่มเป็น 256% ของ 390 ppm)

กระบวนการ pyrolysis ใช้ความร้อนยิ่งยวด ทำลายพันธะทางเคมีของคาร์บอนไดออกไซด์ ปลดปล่อยอะตอมของออกซิเจนออกมาหล่อเลี้ยงไฟ ส่วนคาร์บอน ถูกไม้จับไว้ ถ่าน biochar จึง ดำ-เปราะ-เบา ซึ่งเป็นลักษณะของคาร์บอนที่มีความบริสุทธิ์สูง … คาร์บอนไดออกไซด์ จึงถูกดักจับจากอากาศมาเก็บไว้ในรูปคาร์บอนในถ่านด้วยวิธีการนี้ครับ เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์หายไปจากบรรยากาศ จึงเป็นการลดก๊าซเรือนกระจก

แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก…

อ่านต่อ »



Main: 0.08673095703125 sec
Sidebar: 0.24967789649963 sec