เหลืออีกเท่าไร

อ่าน: 3649

วารสาร Scientific American เดือนกันยายน ตีพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรของโลกที่ “เหลืออยู่” ในบทความชื่อ How Much Is Left? The Limits of Earth’s Resources, Made Interactive เป็นการแสดงข้อมูลซับซ้อนด้วยภาพ (Visualization)

เป็นที่ทรัพยากรเป็นสิ่งมีค่าและมีอยู่จำกัด ซึ่งเมื่อหมดก็คือหมดครับ

แต่ผมไม่คิดว่าการทำนายว่าทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันจะหมดลงเมื่อไหร่ เรามักเข้าใจว่าจะเกิดปัญหาเมื่อทรัพยากรหมด ซึ่ง(หวังว่า)คงจะอีกนาน ที่จริงแล้ว ปัญหาต่างๆ จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อการนำทรัพยากรไปใช้(ผลิต)ในระดับสูงสุดต่างหาก ปัจจุบันโลกมีประชากรเกือบเจ็ดพันล้านคนแล้ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นอัตราการใช้ทรัพยากรจึงเพิ่มขึ้นด้วยอัตราก้าวหน้า ซึ่งเร่งให้ใช้หมดไปด้วยอัตราที่เร็วขึ้น กรณีประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบ ถูกบุกรุกโดยประเทศที่มีอำนาจในทางทหารแข็งแกร่ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก คงเป็นสัญญาณสำคัญว่าการแย่งชิงทรัพยากรจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

อ่านต่อ »


แว๊บไป แว๊บมา สวนป่าอีกแล้ว: ค่าย TT&T รุ่นที่ 3

อ่าน: 4913

มหาชีวาลัยอีสานเป็นเสมือนสำนักตักศิลา ใครอยากได้วิชาก็ต้องดั้นด้นไปเรียนเอง ไม่ใช่แค่ไปเท่านั้นหรอกนะครับ แต่ว่าเรียนเองด้วย ภารกิจครูบาช่วงนี้แน่นอีกแล้ว หากทำได้ก็สมควรไปช่วยแบ่งเบาบ้าง

ผมตั้งใจจะไปช่วยตั้งแต่เมื่อวานซืน แต่ว่าคืนก่อนหน้านั้น ไม่ได้นอน(อีกแล้ว) เมื่อร่างกายไม่พร้อม ก็ไม่เสี่ยงขับรถทางไกลดีกว่า -> จึงเลื่อนการเดินทางออกไปวันหนึ่ง ขับรถไปสวนป่าเมื่อวานนี้

ออกจากบ้านเจ็ดโมงเช้า ไปถึงสวนป่าบ่ายสองโมงครึ่ง ตั้งแต่ไปมาสวนป่าเกือบยี่สิบครั้งในสองปีที่ผ่านมา ไม่เคยใช้เวลานานขนาดนี้เลยครับ ระยะทาง 420 กม. แรกๆ ก็ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ช่วงหลังๆ นี้เหลือ 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เที่ยวนี้ใช้เวลา 7 ชั่วโมงครึ่ง… แต่ว่าเป็นเพราะแวะเที่ยวครับ แถมเที่ยวสองที่เสียด้วยซิ รถกินน้ำมันน้อยลงครึ่งลิตร/100 กม. ระยะทางจากบ้านไปสวนป่า ก็ประหยัดไปจากเดิมหกสิบกว่าบาท

อ่านต่อ »


ทะเลใต้

อ่าน: 4955

เดิมทีเดียว ไม่คิดว่าจะเขียนบันทึกในวันนี้ เพราะว่าไม่พบประเด็นอะไรที่น่าเขียนครับ แต่เมื่อตอนบ่ายไปประชุมกับหน่วยงานจัดการภัยพิบัติ ก็มีประเด็นที่น่าจะทำความเข้าใจกันอีก

ในบรรดาภัย(ธรรมชาติ)ร้ายแรงนั้น

  • แผ่นดินไหวเตือนล่วงหน้าไม่ได้ แถมผู้ประสบภัยรู้ก่อนส่วนกลางแน่นอน อันนี้รวมถึงเขื่อนแตกจากแผ่นดินไหวด้วย
  • วาตภัยจากพายุขนาดใหญ่ ทางกรมอุตุนิยมวิทยาสามารถพยากรณ์ความแรง+ทิศทาง และติดตามได้ 7 วันก่อนส่งผลต่อแผ่นดินไทย — แต่พายุขนาดเล็กที่เข้ามาในอ่าวไทยแล้วทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน มีความเสี่ยงที่จะเตือน+เตรียมตัวไม่ทัน
  • ฝน น้ำป่า ดินถล่ม เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ ซึ่งกรมอุตุฯ เตือนล่วงหน้าเช่นกัน ทางกรมทรัพยากรธรณี มีแผนที่ภูเขาที่เสี่ยงต่อดินถล่มอยู่แล้ว และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก็ได้แจ้งเตือน+ฝึกซ้อมชาวบ้านในพื้นที่ล่วงหน้าสำหรับความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งปริมาณน้ำในเขื่อน
  • เขื่อนแตก มักจะมีอาการปรากฏก่อนซึ่งตรวจได้ด้วยเครื่องวัดความเร่ง (แผ่นดินไหว) และการบำรุงรักษาปกติ
  • ภัยแล้ง ดูจากปริมาณน้ำฝนสะสม และปริมาณน้ำในเขื่อน
  • สึนามิ อันนี้ไม่เกิดบ่อย แต่อาจสร้างความเสียหายได้สูง และเป็นวงกว้าง

อ่านต่อ »


วิศวกรไร้พรมแดน

อ่าน: 3391

องค์กรนานาชาติวิศวกรไร้พรมแดน (Engineers Without Borders - International) เป็นองค์กรของ “ภาคีวิศวกรเพื่อสังคม” ในแต่ละประเทศ ที่ลงมือ ลงแรง ลงทุน เพื่อประโยชน์ของสังคมโลก ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ มักใช้ตัวย่อ EWB (Engineers Without Borders) ส่วนในประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส ก็มักใช้ตัวย่อ ISF (Ingénieurs Sans Frontières)

คำว่า “ภาคีวิศวกรเพื่อสังคม” ในที่นี้ คงไม่ใช่ผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านวิศวกรรม ได้ใบ กว. อยู่ภายใต้การควบคุมของสภาวิศวกร แต่หมายถึงอาสาสมัครผู้ที่มีทักษะทางด้านวิศวกรรมหรืองานช่าง ด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน ที่มีจิตใจที่จะช่วยเหลือผู้ที่ต้องการคำแนะนำ ในการใช้เครื่องมือต่างๆ จะช่วยให้วิถีชีวิตยั่งยืนขึ้น (Sustainable and Appropriate Solutions) เช่น การจัดหาน้ำสะอาด ปั๊ม ที่พักอาศัย วัสดุ พลังงาน เครื่องกลทางการเกษตร การจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินต่างๆ เป็นต้น

วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อช่วยให้ผู้คน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และทักษะทางวิศวกรรมและเทคนิคเข้าไปช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยขึ้น

อ่านต่อ »


คืนแม่

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 12 August 2010 เวลา 13:42 ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 5084

เมื่อคืนเป็นวันก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชดำรัส มีความตอนหนึ่งว่า

…ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับที่ศิริราช ทรงปฏิบัติพระราชกิจตามปกติ เช่น พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้บุคคลต่างๆ เฝ้าฯ หลายครั้ง ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ไปเฝ้าฯ หลายครั้งแล้ว เพื่อทรงติดตามปัญหาความทุกข์ยาก ของประชาชนทั่วประเทศ เรื่องที่ทรงห่วงมากระยะนี้ ก็เรื่องน้ำ ปัญหาเรื่องน้ำ ตั้งแต่ตอนที่ฝนทิ้งช่วง ประชาชนประสบปัญหาภัยแล้ง ต้องทรงส่งฝนหลวงไปช่วย จนถึงขณะนี้ฝนตกมาแล้ว ก็ยังทรงติดต่อตามข่าว และสถิติทุกอย่าง เพื่อเตรียมการไว้สำหรับป้องกัน หรือแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะมีมาอีก

ฝนหลวง คือ วิธีการทำให้เกิดฝน ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงค้นและพัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๘ เพื่อช่วยประชาชนในท้องถิ่น ที่ขาดแคลนน้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะทำฝนหลวงได้ทุกพื้นที่ ทุกเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ทรงอธิบายว่า ต้องมีเมฆ และความชื้นในอากาศเพียงพอ จึงจะทำได้ โครงการฝนหลวง มีผลงานเป็นที่รู้จักกันดี และเป็นที่เรียกร้องของประชาชนเสมอ ในยามที่ฝนทิ้งช่วงนานๆ จนเกิดปัญหาภัยแล้ง อย่างในปีนี้ น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ มีปริมาณน้อย และลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๒๘ กรกฎาคมนี้ มีน้อยกว่าปีที่แล้วถึง ๑ ใน ๔

ทางราชการได้ออกประกาศเตือน ให้ชาวนา ชาวไร่ ลดการปลูกพืชฤดูแล้ง พยายามปลูกพืช ที่ใช้น้ำน้อยแทน แต่ประชาชนก็ยังปลูกมากกว่า ที่ทางราชการวางแผนไว้ถึง ๖๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนมากเป็นการปลูกข้าวนาปรัง ซึ่งต้องใช้น้ำมากเสียด้วย ข้าพเจ้าก็เห็นใจ และเข้าใจชาวนา เพราะเมื่อข้าวได้ราคา และนาว่าง ก็อยากจะปลูกข้าวต่อไป แม้จะทราบว่าน้ำไม่พอ บางคนก็ยอมเสี่ยง เผื่อว่าโชคดี ฝนอาจจะมาเร็ว แต่เมื่อฝนไม่ตก ข้าวก็เหี่ยวแห้งรอวันตาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามเรื่องสถานการณ์น้ำ อยู่ตลอดเวลา แม้ระหว่างประทับพักฟื้นอยู่ ที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ไม่ทรงว่างเว้นเลย เดือนมิถุนายนนี้ ทรงขอให้สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษ ในภาคเหนือ ๔ แห่งด้วยกัน ภาคอีสาน ๑ แห่ง ภาคกลาง ๑ แห่ง เพื่อเพิ่มน้ำให้เขื่อนใหญ่ ๕ แห่ง คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ระดับน้ำก็กระเตื้องขึ้นมา และพื้นที่แห้งแล้งภายนอกก็ลดลง

การทำฝนหลวงนี้เป็นที่สนใจ นานาชาติอย่างกว้างขวาง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจดสิทธิบัตรการทำฝนหลวงไว้แล้ว ใครจะใช้เทคโนโลยีฝนหลวง ต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน หลายชาติมาศึกษาดูงาน ในประเทศไทย บ้างก็ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้เทคโนโลยีฝนหลวง เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ ทางรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรัฐที่ค่อนข้างแห้งแล้งอยู่เสมอ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้เทคโนโลยีฝนหลวง พระองค์ท่านก็พระราชทาน แสดงให้เห็นว่า พระมหากรุณานั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงราษฎร ในประเทศไทยเท่านั้น แต่แผ่กว้างไปถึงชาวโลกด้วย

ซึ่งข้าพเจ้าก็ภาคภูมิใจ ที่พระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน มีส่วนช่วยดับทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ในนานาประเทศ ซึ่งบางประเทศนั้น ก็มีชื่อเสียงทางเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ยิ่งกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำไป และจากที่บ้านเราฝนแล้งมาระยะหนึ่ง ต่อไปนี้จะมีข่าวดี ที่พึงต้องระวังไปพร้อมกัน เพราะมีแนวโน้มของสภาพอากาศว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึงตุลาคมปีนี้ ประเทศไทยจะมีฝนมากกว่าปกติ ข่าวดีก็คือ เราจะได้มีน้ำสำรองไว้ใช้ในปีหน้า แต่ที่ควรระวังคือ ปัญหาน้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมที่จะตามมา ดังที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ในระยะนี้

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม นี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะผู้บริหาร สถาบันสารสนเทศน้ำ และการเกษตร เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลรายงาน สรุปสถานการณ์น้ำ ได้รับสั่งให้ย้ำทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำทั่วประเทศ ให้ช่วยกันวางแผน เพื่อรับมือปัญหาน้ำที่ขาดแคลน เป็นประจำทุกฤดูแล้ง และจะขาดแคลนมากขึ้น ในอนาคต โดยให้คำนึงถึงการประสานประโยชน์ ไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

อ่านต่อ »


เมื่อโลกผลิตน้ำมันได้น้อยลง

อ่าน: 3908

บันทึกนี้ เขียนขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดิบต่ำลงผิดปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้ายที่โลกกำลังจะเผชิญ…

เพียงใช้สามัญสำนึก ก็บอกได้แล้ว ว่าวันหนึ่งน้ำมันตามธรรมชาติจะหมดไปจากโลกแน่นอน… คำถามที่น่าถามจึงไม่ใช่ว่าน้ำมันจะหมดหรือไม่หมด แต่หมดเมื่อไหร่… ที่ตลกก็คือ ผมไม่คิดว่าคำตอบว่าน้ำมันจะหมดโลกเมื่อไหร่จะสำคัญหรอกนะครับ ก่อนจะถึงเวลาที่น้ำมันหมดโลก อาจจะเกิดเหตุการณ์ซึ่งทำให้น้ำมันไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะว่าโดยทั่วไปคนจะไม่มีกำลังจัดหาน้ำมันมาใช้ (ผู้ที่หาน้ำมันมาใช้ได้ ต้องใช้กำลัง)

ทฤษฎี Peak Oil และผลร้ายรุนแรง

เหตุการณ์นี้มีจุดเริ่มต้นที่สถานการณ์ที่เรียกว่า Peak Oil อันเป็นสถานการณ์ที่โลกผลิตน้ำมันออกมาเป็นปริมาณสูงสุด หลังจาก Peak Oil แล้ว กำลังการผลิตจะลดลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอ้างว่าเก็บไว้ใช้ในอนาคต หรือว่าจะพยายามสร้างราคาให้สูงขึ้น ข้อเท็จจริงก็คือปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลงหลัง Peak Oil ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างก็คาดเดากันไป หลายคนทายผิดว่าน่าเกิดไปแล้ว แต่ที่เหลือก็ไม่มีสักคนที่ทำนายว่า Peak Oil อยู่ห่างปัจจุบันเกิน 20 ปี!

อ่านต่อ »


เมื่อปริมาณสร้างทางเลือกให้มากขึ้น ทางเลือกนำสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่…

อ่าน: 3972

เมื่อปี 2459 มีบทความทรงอิทธิพลชื่อ Crowdsourcing ตีพิมพ์ใน Wired

ลักษณะ 5 อย่างของ
“ฝูงชน” ที่สร้างสรรค์:
1. มีความหลากหลาย อย่าคาดหวังว่าคนจะเป็นเหมือนกันหมดเหมือนสินค้าอุตสาหกรรม
2. มีความสนใจสั้น จำเป็นต้องกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
3. มีความรู้ความชำนาญที่แตกต่างกัน อย่ามองข้ามแม้แต่ประเด็นเล็กๆ
4. แม้ส่วนใหญ่สร้างงานที่ “ไม่ดีพอ” ฉาบฉวย ตื้นเขิน ไม่มีคุณภาพ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งดีปะปนอยู่เลย แค่สิ่งที่ดีเพียงหนึ่งหรือไม่กี่เรื่อง ก็สามารถจะเป็นเรื่องใหญ่ได้
5. เสาะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเอง ให้ฝูงชนคัดสรรงานกันเอง

บทความนี้ ชี้ถึงลักษณะที่เปลี่ยนไปของการสร้างสรรค์งานซึ่งเปลี่ยนไป จากยุคอุตสาหกรรมการผลิตที่พยายามสร้างขุมกำลัง “จากภายใน” อันเป็นประสบการณ์จากสงครามโลก “บริหารอย่างเหี้ยมโหด” (สำนวนของอาจารย์วรภัทร์) สร้างบรรษัทขนาดใหญ่ ผลิต ทำลายคู่แข่งและยึดครอง รวย รวย รวย รวยอยู่คนเดียว เปลี่ยนเป็นการให้อิสระแก่ “ฝูงชน” จำนวนมาก

ตัวอย่างเช่น บรรดาเว็บที่เป็นตลาดรวมสำหรับซื้อขายสินค้าออนไลน์ อย่าง tarad.com ebay.com หรือแม้แต่จะออกแนวเฉพาะตัวมากๆ อย่าง turbosquid.com ที่ขาย 3D model paypal.com ซึ่งรับจัดการเรื่องการชำระเงิน ทำตัวเป็นเครื่องมือของร้านค้าอื่นๆ

และอันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแม้ไม่ได้ขายอะไรเลยคือ wikipedia.org

ในปี 2535 เมื่อสหภาพโซเวียตแยกเป็นประเทศเล็กๆ กลุ่ม “โลกเสรี” ต่างตีฆ้องร้องป่าว ถึงความสำเร็จของการแข่งขันเสรี และเรียกร้องให้โลกเปิดการค้าเสรีให้มากขึ้น ความคิดในแนวนี้ เป็นการด่วนสรุปจากเหตุการณ์และความเชื่อในเวลานั้น

ในขณะที่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เรียกร้องประเทศต่างๆ ตัวเองกลับกีดกันทางการค้า — ในเนื้อแท้แล้ว ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลก ไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้นยกเว้นพลังงานจากดวงอาทิตย์ซึ่งเผาโลกครึ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากประเทศหนึ่งประสบความสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจ ก็จะมีประเทศที่ไม่ประสบความสำเร็จเสมอ เป็น Zero-sum อีกทั้งความสำเร็จที่วัดเป็นตัวเงินนั้น มีเงินเฟ้อมาเป็นตัวลดทอน ดังนั้นหากได้ดุลย์การชำระเงิน ล้านล้านบาทเท่ากันในปีที่แล้วกับปีนี้ ปีนี้จะ เงิน ล้านล้านบาทจะมีค่าน้อยลง รวยน้อยลง มีกำลังน้อยลง จึงจะต้องแสวงหามากขึ้นไปอีก หากยังคิดกันตามแนวทางนี้

อ่านต่อ »


สูบน้ำจากแหล่งน้ำลึก

อ่าน: 12727

ก่อนจะเขียนเรื่องการสูบน้ำต่อจาก [สูบน้ำจากแหล่งน้ำตื้น] คงย้ำความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่งก่อน ว่าน้ำเป็นทรัพยากรที่มีค่านะครับ

คำว่าทรัพยากรมีนัยว่าถ้าใช้ไปเรื่อยๆ จะมีวันที่หมดไปเหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ บ่อหรือสระที่คนขุด เราก็จะต้องบำรุงรักษา ในเวลาที่เรามีเหลือใช้ ก็ควรเติมกลับบ้าง เพื่อเอาไว้ใช้ในวันหน้า บ่อน้ำบาดาลก็เติมได้ครับ แม้ว่าไม่ใช่เอาน้ำฝนเทกลับลงไปในบ่อ แต่ขุดหลุมแบบนี้ไม่ต้องลึกนัก [ขุดบ่อบาดาลแบบชาวบ้าน] แล้วกรอกน้ำผิวดิน เช่นน้ำฝน ให้ซึมผ่านการกรองแบบธรรมชาติด้วยชั้นหินดินทราย ฯลฯ

บันทึกที่แล้ว เขียนเรื่อง [สูบน้ำจากแหล่งน้ำตื้น] ซึ่งจะว่าไป เหมาะกับแหล่งน้ำผิวดิน เช่นบ่อ สระ แม่น้ำลำธาร มากกว่านะครับ head เพียง 6-8 เมตร ทำได้เพียงเอาน้ำจากแหล่งน้ำผิวดินขึ้นมาใช้เท่านั้นเอง ถ้าเป็นบ่อบาดาล จะลึกกว่านั้นมาก [ขุดสระเพิ่ม ได้น้ำของจริง]

อ่านต่อ »


สูบน้ำจากแหล่งน้ำตื้น

อ่าน: 23344

เพราว่าน้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ แหล่งน้ำจึงมักจะอยู่ในระดับต่ำ จะนำน้ำไปใช้อะไร ก็ต้องขนน้ำขึ้นมา แต่เพราะว่าแก่เฒ่า ไม่มีแรง ติดหรู ติดสบาย หรือว่าร่ำรวยอะไรกันก็ไม่รู้ เวลาเราจะขนน้ำ ก็มักจะนึกถึงปั๊มใช้น้ำมันหรือว่าใช้ไฟฟ้า

แน่นอนครับ การเคลื่อนที่น้ำต้องใช้แรง แต่ผมไม่คิดว่ายากเกินไปหรอก

เมื่อกลางปีที่แล้ว ไปช่วยครูบาตอนที่ SCG Paper ยกพวกมาอบรมที่สวนป่า ผมไปกับกลุ่ม ๑ [มองบ้านพ่อไล] ดูภูมิประเทศแล้วสะท้อนใจ บึงน้ำที่ อบต.ขุดไว้ ยังมีน้ำอยู่บ้าง แต่ระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าระดับของประตูระบายน้ำ (และคลองส่งน้ำ) อันนี้หมายความว่าน้ำที่มีอยู่ ส่งไปตามไร่นาไม่ได้ ต่างบ้านต่างขุดสระของตนเอง แปลกไหมครับ!!! เพราะว่าน้ำส่วนกลางพึ่งไม่ได้ — รอบสระมีถนนลูกรังดูผิวเผินเจริญดี แต่ถนนเองนั่นแหละ ที่ขวางชาวบ้านรอบๆ สระ กับแหล่งน้ำส่วนกลางของตำบล

เรื่องนี้ผมติดใจ กลับมาบ้านก็รีบค้นว่ามีวิธีไหนที่จะเคลื่อนน้ำจากแหล่งน้ำตื้นๆ ให้ไปยังที่ที่จะใช้น้ำ โดยไม่ต้องใช้น้ำมันหรือไฟฟ้าหรือไม่ — ชาวบ้านยากจน ไม่ควรจะต้องจ่ายถ้ามีทางเลือกอื่น — ก็ปรากฏว่ามีหลายวิธีครับ แต่ว่าต้องมีเครื่องมือ แล้วผมก็เขียนเรื่อง [เช็ควาล์ว]

อ่านต่อ »


ทำนาโดยใช้น้ำน้อย

อ่าน: 8872

อย่าได้แปลกใจเลยครับ ที่คนไม่เคยทำนาจะ(ดัดจริต)มาเขียนเรื่องการทำนา สถานการณ์น้ำวิกฤติมาก น้ำในระบบชลประทานมีไม่พอที่จะทำอย่างที่เคยทำมาอีกแล้ว และคาดว่าจะมีวิกฤติการณ์น้ำรุนแรงต่อเนื่องไปอีกหลายปี ต่อให้อยู่ดีๆ มีปาฏิหารย์น้ำเต็มเขื่อนขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีใช้น้ำ ก็จะยังเจอปัญหาแบบที่เคยเจอ แต่คราวนี้น้ำหมดเขื่อนแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์ลำบาก — วันนี้ เขตเมืองยังมีน้ำประปา นอกเขตเมืองยังมีประปาชนบท ประปาภูเขา หรือน้ำบาดาล เราเพลิดเพลินกับการใช้ โดยไม่คิดจะเติมน้ำต้นทุน วันไหนน้ำหมด วันนี้มานั่งเสียใจก็สายไปแล้วนะครับ (บ่อบาดาลเติมน้ำได้แต่ก็ไม่ทำ อ่างเก็บน้ำก็เติมได้โดยทำร่องให้น้ำฝนไหลมารวมกัน ฯลฯ)

ทำนาเคยได้ 50-60 ถังต่อไร่ ถือว่าอยู่ได้ ถ้าไป 80-100 ถัง ก็เยี่ยมเลย ลือกันไปสามบาง แต่ถ้า 120 ถัง ได้ออกทีวีแหงๆ พอมีระบบชลประทาน ก็แห่กันทำนาปรัง แล้วพอราคาข้าวขึ้นสูง ทีนี้ทำนาปรังกันสองรอบเลย แต่ผลผลิต(ที่ไม่วายวอดไปจากภัยแล้ง) ตกลงมาเหลือ 25 ถัง แถมใช้น้ำเพิ่มขึ้น 3 เท่าเพราะทำนาสามรอบ เราไม่มีปริมาณน้ำสำรองเพิ่มขึ้นจากเดิมนะครับ แต่ใช้น้ำทำนามากกว่าเดิม มีประชากรที่ต้องการใช้น้ำมากกว่าเดิม

ไม่ได้โทษการทำนาปรังหรือนาปีหรอกครับ แต่อยากบอกว่ามีวิธีทำนาแบบที่ใช้น้ำน้อยลง และให้ผลผลิตมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่อยากให้ลองคิดดู ถ้าเห็นว่ามีเหตุผล ก็อาจลองทำดูในแปลงเล็กๆ ก่อน นาปีกำลังจะเริ่มแล้ว ต้องเตรียมการก่อน

อ่านต่อ »



Main: 0.17827296257019 sec
Sidebar: 0.5371949672699 sec