เหลืออีกเท่าไร

อ่าน: 3535

วารสาร Scientific American เดือนกันยายน ตีพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรของโลกที่ “เหลืออยู่” ในบทความชื่อ How Much Is Left? The Limits of Earth’s Resources, Made Interactive เป็นการแสดงข้อมูลซับซ้อนด้วยภาพ (Visualization)

เป็นที่ทรัพยากรเป็นสิ่งมีค่าและมีอยู่จำกัด ซึ่งเมื่อหมดก็คือหมดครับ

แต่ผมไม่คิดว่าการทำนายว่าทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันจะหมดลงเมื่อไหร่ เรามักเข้าใจว่าจะเกิดปัญหาเมื่อทรัพยากรหมด ซึ่ง(หวังว่า)คงจะอีกนาน ที่จริงแล้ว ปัญหาต่างๆ จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อการนำทรัพยากรไปใช้(ผลิต)ในระดับสูงสุดต่างหาก ปัจจุบันโลกมีประชากรเกือบเจ็ดพันล้านคนแล้ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นอัตราการใช้ทรัพยากรจึงเพิ่มขึ้นด้วยอัตราก้าวหน้า ซึ่งเร่งให้ใช้หมดไปด้วยอัตราที่เร็วขึ้น กรณีประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบ ถูกบุกรุกโดยประเทศที่มีอำนาจในทางทหารแข็งแกร่ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก คงเป็นสัญญาณสำคัญว่าการแย่งชิงทรัพยากรจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

ในขณะนี้ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงด้วยอัตราสูง สัตว์ต่างๆ ถูกกิจกรรมมนุษย์ทำลายที่อยู่และแหล่งอาหาร ทำให้จำนวนสายพันธุ์ลดลง

ก่อนที่จะมีมนุษย์ โลกมีอัตราการสูญพันธุ์ 0.01-0.1% ต่อพันปี ในศตวรรษที่แล้ว (1900-2000) มีอัตราการสูญพันธุ์ 1-10% ต่อพันปี และอัตราการสูญพันธุ์ของศตวรรษนี้ (2000-2100) อยู่ที่ 2-20% ต่อพันปี

โลกเคยผ่านการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง Permian-Triassic extinction event Cretaceous-Tertiary extinction event The Great Dying หากสัตว์ใหญ่กินเนื้อไม่สูญพันธุ์ไป เผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งกระจอกงอกง่อยคงไม่ได้มีโอกาสครองโลก การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในรอบนี้ อาจเกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นการทำลายตัวเอง

เมื่อต้นทศวรรษ 1970 การค้นพบบ่อน้ำมันใหม่ทั่วโลกถึงจุดสูงสุด แม้ว่าเทคโนโลยีการสูบการกลั่นน้ำมัน จะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าในเมื่อปริมาณน้ำมันที่ค้นพบใหม่ เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้น้ำมัน สักวันหนึ่งปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้ จะไม่พอกับความต้องการของตลาดโลก — สถานการณ์นี้เรียกว่า Peak Oil ซึ่งได้เคยเขียนบันทึกไว้แล้ว [เมื่อโลกผลิตน้ำมันได้น้อยลง] ขณะนี้ผ่านไป 40 ปีแล้ว ถ้าสถานการณ์เป็นไปตามที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเทศต่างๆ โลกทั้งโลกกำลังจะเข้าสู่สถานการณ์ Peak Oil ในปี ค.ศ. 2014 หรืออีกสามปีข้างหน้า… แล้ววันนี้ เราทำอะไรกันอยู่ครับ

ค.ศ. 2025 โลกจะมีปริมาณน้ำจืดต่อหัวประชากร ไม่ถึงระดับขั้นต่ำ คือ 500 ลิตรต่อคนต่อปี น้ำจืดมีน้อยลง จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น สร้างเขื่อนไม่ได้ น้ำฝนตกลงมา ก็ปล่อยให้ไหลทิ้งไปหมด อบต.ก็ขยันสร้างแต่ถนน ไม่สนใจขุดสระเก็บกักน้ำไว้ใช้ พื้นที่ชลประทานทั่วประเทศมีไม่ถึง 10% แถมส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตภาคกลางอีก

ค.ศ. 2038 ธาตุอินเดียมหมดโลก การผลิตสารกึ่งตัวนำ (ไอซี คอมพิวเตอร์​ อุปกรณ์โทรคมนาคม​ ฯลฯ) จะต้องเปลี่ยนไป ค.ศ. 2029 ธาตุเงินหมดโลก ค.ศ. 2030 ธาตุทองหมด ค.ศ. 2044 ธาตุทองแดงหมด ผลิตสายไฟฟ้าไม่ได้ ฯลฯ

ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจะเป็นปีไหนไม่สำคัญ SciAm ไม่ใช่หมอดูที่ต้องการพิสูจน์อวดอ้างความแม่น แต่บรรดาปีที่เขียนมาข้างบนนี้ อยู่ในช่วงอายุของผู้อ่านส่วนใหญ่ของผมและลูกหลานของท่าน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของท่านเองเหมือนกัน ส่วนจะเลือกหาทางออกหรือจะรอวัดดวง ก็แล้วแต่ล่ะครับ

http://www.gregcraven.org/

« « Prev : แว๊บไป แว๊บมา สวนป่าอีกแล้ว: ค่าย TT&T รุ่นที่ 3

Next : เปลี่ยนพลาสติกกลับเป็นน้ำมันดิบ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 August 2010 เวลา 1:47

    อ่านแล้วจ๋อยไปเลยค่ะ ถ้าไม่สนใจก็ไม่รู้ซะที ถ้าไม่รู้ก็ไม่เริ่มคิด ไม่ “ตระหนัก”

    จริง ๆ เรื่องอย่างนี้ควรฝึกให้เป็นนิสัยกันให้จริงจังเหมือนในบางประเทศนะคะ เรื่องการคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรเท่าที่เรามีอยู่ เริ่มจากใกล้ตัวก่อน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ คชจ.ส่วนตัว/ส่วนรวม คชจ.องค์กร ฯลฯ

    ของบางอย่างถ้าผลิตใหม่ไม่ได้ไม่ทัน ก็ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคให้สอดรับ หรือไม่ก็สนับสนุนการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ มาทดแทน ถ้าทำเป็นนิสัยได้ก็น่าจะทำให้เราละเมียดกับการใช้ชีวิตไปได้หลาย ๆ เรื่องด้วยมังคะ การคิดถึงใจเขาใจเรา การตระหนักถึงคุณค่าของคน ของผลงาน ของจิตใจ ของช่วงเวลา ของสรรพสิ่ง เราคงให้เกียรติให้ความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ กันมากขึ้น รวมทั้งตัวเราเองด้วย

    แม้กระทั่งการใช้พื้นที่บนลานปัญญาที่พวกเราใช้กันอยู่นี่ ได้ยินป๋าเตือนหลายครั้งแล้ว จนตอนนี้เราก็กำัลังจะมีปัญหาเรื่องทรัพยากรพื้นที่เหมือนกับบันทึกนี้แหล่ะ แม้หลายสิ่งที่เตือน ๆ กันอาจขัดกับความต้องการอยู่บ้าง

    เช่น ตั้งใจจะสื่อสารเฉพาะบุคคลแต่ใช้พื้นที่ส่วนรวม
    หรือตั้งใจจะแซวเจ้าของบันทึกเล่น แค่ อิอิ คำเดียว
    ก็ลืมไปเหมือนกันนะคะว่าในแง่ของการใช้ทรัพยากรก็ยังเข้าข่ายไม่คุ้มค่าอยู่ดี

    จนป๋ามาเตือนเรื่อง “ลานตาย” เลยสะดุ้งขึ้นมาทีนึง (มีตัวอย่างให้ดูตอนเดี้ยงไปสองวันแล้วนี่นา)

    เลยจะร่วมด้วยช่วยกันนะคะ ตอนนี้ก็เลยไล่รวบคอมเมนท์บรรทัดเดียวในบันทึกตัวเองอยู่ค่ะ แล้วก็คงต้องให้ความสำคัญกับการคอมเมนท์กันอีกหน่อยเนาะคะ เพราะยังไง ๆ ก็กำลังใช้พื้นที่ 8 kB เท่าตัวบันทึกอยู่อ่ะเนอะ

    ถึงกระนั้นก็ตาม หนูยังเห็นว่าการแซว+แหย่ในคอมเมนท์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรหายไปอยู่ดี ก็มันหนุกอ่ะ ฮ่้า ๆๆ

    แค่อาจต้องพยายามทำให้มีคุณค่ามากขึ้นด้วยการเติมประเด็นอะไรที่พอแลกเปลี่ยนกันได้ลงไปหน่อยนึง

    นิ ป๋า นิ

    (^____^)

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 August 2010 เวลา 4:27
    ในสังคมใดๆ สมาชิกก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน แม้จะไม่อยากรับผิดชอบล่ะครับ สำนึกแก้ไขไม่ได้ด้วยกฏระเบียบ ถ้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องสำคัญแล้ว คงไม่ต้องพูดกันบ่อยให้ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ พูดไปก็เหนื่อยเปล่าครับ

    มนุษย์ยังต้องการพลังงาน ซึ่งต้นทางของพลังงานที่แผ่มายังโลกคือพลังงานแสงอาทิตย์ รูปของความร้อนทำให้เกิดลมและคลื่น ส่วนรูปของแสงทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงในพืช ดูดคาร์บอนไดออกไซด์แล้วปล่อยออกซิเจนออกมา

    เวลาเราเอาใบไม้กิ่งไม้ไปเผา หรือเอาน้ำมันไปสันดาปในเครื่องยนต์ ก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้ในรูปพันธะทางเคมีออกมาพร้อมกับความร้อน แต่เพราะธรรมชาติใช้เวลานานกว่าจะสะสมพลังงานแสงแดด แต่มนุษย์ปล่อยพลังงานนี้ออกมาในเวลาอันรวดเร็ว จึงทำให้เกิดปัญหาครับ

    ปัญหาเรื่องโลกร้อน เราไปดูกันที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่กลับไม่ค่อยพิจารณาการนำพลังงานแสงแดดมาใช้โดยตรง

    พลังงานจากดวงอาทิตย์ (E) นำมาใช้งาน (W) ที่เหลือเปลี่ยนเป็นความร้อน (H) หรือ E = W+ H
    ค่า H ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ จะน้อยกว่า E เสมอ เพราะว่า W เป็นบวกทำให้เราได้งาน
    แต่ถ้าไม่ทำอะไร W = 0 คือพลังงานจากแสงแดดที่ปิ้งโลกอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนเป็นความร้อนทั้งหมด E = H
    จะไม่ร้อนยังไงไหว

  • #3 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 August 2010 เวลา 16:45

    สิ่งที่มีชีวิตที่แข็งแรงปรับตัวได้เสมอ โลกใบนี้ได้ผ่านอะไรมามากมาย แต่สิ่งที่มีชีวิตก็ยังคงดำรงค์อยู่ได้มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อวิกฤติมาถึง อัจฉริยภาพของมนุษย์จะถูกนำมาใช้เสมอ เรื่องบางอย่างมันเกินขีดความสามารถ ของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะตรวจวัดได้ค่ะ
    E ในที่นี้คือ E( passive E ) พลังจากแหล่งกำเนิดจากดวงอาทิตย์ แต่ความจริงแล้วมนุษย์ผลิต(active) E มากมายมาใช้ ร่วมกับ E( passive E ) พัฒนา W เป็นวัตถุ สร้างความสะดวกสบาย สนองกิเลส มนุษย์มานานแล้ว จนมนุษย์ยิ่งห่างไกลธรรมชาติมากขึ้น เพราะมนุษย์เชื่อว่ามีสมองเป็นเลิศ สามารสร้าง E ชีวภาพได้ และก็ทำได้เสียด้วยซิ ยิ่งทำให้มนุษย์ไม่ยำเกรงธรรมชาติ จึงเกิดภัยพิบัติ จากความประมาทที่ ทำร้ายทำลายธรรมชาติจนขาดความสมดุลย์ ธรรมชาติก็ทำลายล้างมนุษย์และสรพพสิ่งลงเสียบ้าง เพื่อปรับสมดุลย์ค่ะ ธรรมชาติเตือนเราแล้วนะค่ะ

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 August 2010 เวลา 20:36
    คนที่หลงเพลิดเพลิน เข้าใจความเปลี่ยนแปลงแบบช้าๆ ได้ยากครับ Boiling Frog ยิ่งไม่ช่างสังเกต ก็ยิ่งไปกันใหญ่
  • #5 ลานซักล้าง » “350 ppm” ขีดปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 September 2010 เวลา 1:12

    [...] จากบันทึกเหลืออีกเท่าไหร่ ปริมาณน้ำจืดต่อหัวประชากรของโลก จะต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในปี 2025 อีก 15 ปีเท่านั้น พืชผักอาหารจะทำอย่างไรกัน แล้ววันนี้ทำอะไรกัน [...]


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.73555612564087 sec
Sidebar: 0.53591704368591 sec