หัวใจนักปราชญ์ ตีความแบบตามใจฉัน

อ่าน: 9244

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต วัดราชโอรสาราม กล่าวในหนังสือ พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด ถึงคาถาบาลีบทหนึ่งว่า สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตโต กถัง โส ปํณฑิโต ภเว แปลว่า ผู้ปราศจาก สุ จิ ปุ ลิ จะเป็นบัณฑิตได้อย่างไร คาถาบทนี้ เป็นที่ถือกันว่าเป็นหัวใจนักปราชญ์

ผมลองค้นพระไตรปิฎกดู ไม่พบทั้ง “สุ จิ ปุ ลิ” และ “หัวใจนักปราชญ์” และเมื่อพิจารณาดูว่าสมัยพุทธกาล อักษรเทวนาครี/อักษรพราหมณ์ มีไว้เพื่อจารึกพระเวทย์ และมีไว้ใช้ในวรรณะพราหมณ์และวรรณะกษัตริย์เท่านั้น ตัว ลิ (ลิขิต/เขียน) จึงไม่น่าจะเกิดจากสมัยนั้น น่าจะเป็นเกจิอาจารย์แต่งเสริมขึ้นในสมัยหลัง เลยค้นไม่พบในพระไตรปิฎก [พาหุสัจจะ ตามความหมายในพระไตรปิฎก]

แต่อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า สุ จิ ปุ ลิ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมาก เพียงแต่การตีความนั้น ผมขยายออกไปอีก ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวครับ บางส่วนเล่าให้ฟังแล้วในกิจกรรมอ่างปลา

ความรู้ไม่ได้ถ่ายให้กันได้ง่ายๆ เหมือนเทน้ำจากถังหนึ่งไปยังอีกถังหนึ่ง ฝั่งผู้สอนหรือผู้ถ่ายทอดนั้น เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ต้องใช้แสวงหาเอา แต่ปัจจัยที่เกิดขึ้นในตัวเรา (ซึ่งไม่ต้องไปโทษใคร) นั้น คือ สุ จิ ปุ ลิ ของกระบวนการเรียนรู้นั่นล่ะครับ

อ่านต่อ »


เกลือกับแผ่นดินอีสาน

อ่าน: 6240

จากบันทึกเรื่องเกลือ ซึ่งเป็นข้อกังวลเรื่องการกระจายตัวของเกลือ ทำให้ดินเค็ม เพาะปลูกไม่ได้ แต่ก่อนที่จะหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ก็ต้องเข้าใจสาเหตุที่เกิดขึ้นเสียก่อน

ในอดีตกาลนานมาแล้ว อีสานเคยเป็นทะเลมาก่อน เมื่อแผ่นดินยกตัวขึ้น/ระดับน้ำลดลง น้ำทะเลก็ถูกขังอยู่ใน “แอ่ง” และเมื่อน้ำระเหยไปเรื่อยๆ จึงเหลือแจ่เกลือตกตะกอนอยู่บนแผ่นดินอีสาน แล้วก็มีซากพืชซากสัตว์มาทับถม กลบฝังเกลือปริมาณมหาศาลเอาไว้ใต้แผ่นดิน ใต้แอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร

จากคำถามในบันทึก

อีสานมีฝนเฉลี่ย 1000 มม. (เกือบ)ทุกพื้นที่ แต่มีปัญหาเก็บกักน้ำไม่อยู่ เมื่อฝนตกลงมา ก็ซึมลงไปใต้ดินหมด หากชั้นของเกลืออยู่ตื้น น้ำที่มีความเค็ม ก็จะทำให้ดินเค็ม ใช้เพาะปลูกไม่ได้

กรมทรัพยากรธรณี อธิบายไว้ว่า

รูปแสดงภาพตัดขวางแสดงชั้นเกลือหิน จาก อ.พล จ.ขอนแก่น ถึง จ.หนองคาย (จาก นเรศ สัตยารักษ์, 2533)

พื้นที่ดินเค็ม บริเวณอำเภอจตุรัส จังหวัดนครราชสีมา ปรากฎคราบเกลือสีขาวพบผิวดิน ไม่สามารถทำการเกษตรได้

พื้นที่ห้วยคอกช้าง บ.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม เป็นพื้นที่ดินเค็ม ซึ่งแม้จะ ไม่มีคราบเกลือให้เห็น แต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรมได้

พื้นที่ หนองบ่อ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม แสดงความแตกต่างของระดับพื้นที่พื้นที่ใกล้ ระดับน้ำใต้ดินจะมีคราบเกลือบนผิวดิน ปลูกพืชไม่ได้พื้นที่เนินที่อยู่ด้าน หลัง อยู่สูงกว่า มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น

อ่านต่อ »


การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่

อ่าน: 4816

เมื่อต้นปี 2551 หรือปลายปี 2550 สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้จัดการสัมนาระดมความคิดเห็นหลายรอบ เพื่อพยายามกำหนดขอบเขตของ “สิ่งท้าทายอุบัติใหม่” (emerging challenges) เตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทย

เผอิญผมได้มีส่วนไปร่วมด้วยหลายครั้ง เห็นว่าวิธีการแบบนี้ น่าสนใจครับ ต่างกับการประชุมสัมนาแบบการบรรยายซึ่งเชิญผู้รู้ไปหมดมาพูด ต่างกับการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ตั้งธงไว้แล้วว่าจะต้องได้ข้อสรุปในแนวไหน แต่เป็นการประชุมโฟกัสกรุ๊ปของผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ที่เลือกเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหลายวงการ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวิทยาการต่างๆ มาคุยกันเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อระดมความคิด จัดเรียงลำดับความสำคัญ หาแนวทางเตรียมการรับมือเบื้องต้น ทุกคนได้พูดครับ ไม่อย่างนั้นจะเชิญมาทำไม

เก็บข้อมูลดิบไว้ทั้งหมด แต่นำข้อสรุปของแต่ละกลุ่ม มากลั่นกรองเป็นข้อสรุปของรอบ ของเรื่อง ของสาขา แล้วเข้าสภาที่ปรึกษาฯ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอไปยังรัฐบาลเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ที่มีลำดับความสำคัญสูงใน 5 ประเด็นได้แก่

  1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
  2. เทคโนโลยีอุบัติใหม่ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (GMOs)
  3. พลังงานทางเลือก: พลังงานนิวเคลียร์
  4. การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ในกระแสโลกาภิวัตน์
  5. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และมิติสังคมวัยวุฒิ

อ่านต่อ »


ข่าวลือ

5 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 15 April 2009 เวลา 18:02 ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3564

เหตุการณ์ก่อความสงบนี้ ไม่ใช่ว่าจะปราศจากเค้าลาง เชื่อว่าผู้ที่สนใจข่าวสาร คงทราบดี ส่วนผู้ที่ติดตาม อาจจะคาดเดาได้ด้วยซ้ำไป

ผมอยากบอกว่าทุกฝ่ายคาดการณ์ผิด เหตุการณ์ลุกลามเพราะข้อมูลถูกบิดเบือน จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ผู้รับข่าวสาร คิดเอาเองโดยเชื่อข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบ ทำให้ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ที่จริงแล้วผู้ถูกกระทำโดยความรุนแรงที่เกิดขึ้น คือสังคมไทยทั้งหมด

ในสถานการณ์อันซับซ้อนแบบนี้ ยากจะพูดว่าสาเหตุอันใดเป็นตัวจุดชนวน เหมือนมีผู้ยิงปืนแล้วมีคนเสียหาย กฏหมายจะต้องหาว่าใครเป็นผู้เหนี่ยวไก แต่ว่าในกรณีความไม่สงบนี้ สังคมไทยควรมองย้อนกลับไปนานกว่านั้น หาทางป้องกันไม่ให้ใครเอาลูกไปใส่ในปืนต่างหาก

  • คนฟังอยากฟังเรื่องที่อยากฟัง แต่คนพูดกลับพูดในเรื่องที่อยากพูด ดังนั้นเมื่อพูดออกมา คนบางส่วนจึงไม่ฟัง
  • ในเมื่อเรื่องที่พูด กับเรื่องที่อยากฟังเป็นคนละเรื่อง ความคิดจึงไปกันคนละแนว ยังแตกต่างกันโดยพื้นฐาน คุยกันไม่รู้เรื่อง เป็นประเด็นการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่ต้องการสื่อ
  • ในเหตุการณ์ชุลมุน ไม่มีช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างกลุ่มที่ขัดแย้งกัน ฝ่ายก่อความไม่สงบปิดข่าวสารจากรัฐจากผู้ชุมนุม ใช้ข่าวสารของตนเองเท่านั้น ส่วนรัฐปิดช่องทางสื่อสารของอีกฝ่ายหนึ่งไปยังแนวร่วม
  • การที่สื่อข้อความทางเดียว ไม่ทำให้การสื่อข้อความสมบูรณ์ ผู้สื่อข้อความออกไป ไม่มีทางรู้ได้ว่าผู้รับรับข้อความนั้นได้หรือไม่ รับได้ถูกต้องหรือไม่ รับถูกต้องแล้วเข้าใจหรือไม่ เข้าใจแล้วจะเชื่อหรือไม่ เชื่อแล้วจะปฏิบัติตามหรือไม่
  • ข้อความที่น่าเชื่อถือ มักจะมีส่วนผสมระหว่างข้อเท็จจริง (ซึ่งต่างกับความจริง) กับสิ่งที่ผู้รับข่าวสารต้องการจะได้ยินและต้องการจะเชื่อ ฟังดูสมเหตุผล แล้วปล่อยให้ผู้ฟังคิดไปเอง
  • ข่าวลือที่พูดต่อๆกันไป คือการรับประกันความถูกต้องของข้อมูล ด้วยความน่าเชื่อถือของตัวผู้พูดเอง แล้วเมื่อปล่อยข่าววนไปวนมาในกลุ่ม ข่าวสารเรื่องเดียวกัน กลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพราะคือการยืนยันซ้ำข่าวสารที่ต้องการจะเชื่ออยู่แล้ว หน่วงเวลาตามธรรมชาติโดยการลืออ้อมไปอ้อมมา

อ่านต่อ »


สื่อโทรทัศน์ไทย ไม่เรียนรู้อีกแล้ว

อ่าน: 5643

หลายวันมานี้ มีเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทย เกิดขึ้นหลายเรื่อง ผมไม่เคยคิดว่าจะเขียนบันทึกวิจารณ์ใคร แต่คราวนี้ขอสักทีเถิดครับ

คนทำอาชีพสื่อ โดยเฉพาะผู้ประกาศทางทีวี ชอบคิดว่าอะไรๆ ก็โทษสื่อ แต่กลับไม่มองคำวิพากษ์เหล่านั้น เป็นเสียงสะท้อนและนำมาพิจารณาปรับปรุง ผมมีคำวิจารณ์ดังนี้

  1. ข่าวการก่อความไม่สงบ ไม่ใช่ข่าวบันเทิง หรือข่าวทั่วไป ไม่ควรใช้นักข่าวทั่วไป ซึ่ง(บางคน)แทรกมาทั้งความเห็น และการคาดเดา กระหืดกระหอบ ยักคิ้วหลิ่วตา
  2. ที่ไม่ชอบมากๆ คือการรายงานสดที่เต็มไปด้วย filler; ถ้าเรียนสื่อสารมวลชนมาก็คงทราบอยู่แล้วว่าไม่ควรอย่างไร สาระ 15 วินาที ก็รายงาน 15 วินาที ไม่ต้องพูด 3 นาที; ถ้าไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ถ้าไม่เห็นก็บอกไม่เห็น
  3. คำแนะนำให้แยกแยะว่าเป็นภาพสด หรือภาพจากแฟ้มข่าว ก็ดีแล้ว แต่น่าจะมีวันเวลาที่บันทึกภาพนั้นแปะอยู่ด้วย
  4. ผู้ประกาศที่ประจำอยู่ที่สถานี ควรดึงนักข่าวในพื้นที่ให้กลับสู่ประเด็น คือความเป็นจริงตามที่เกิดขึ้น ไม่ต้องคาดคั้นให้เกิดการคาดเดา; ถ้าผู้ประกาศเหนื่อยหรือเครียด น่าจะเปลี่ยนตัว ถ้าไม่มีตัวก็นำรายการอื่นมาแทนบ้างก็ได้
  5. ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายความขัดแย้งระหว่างผู้ก่อการจลาจล กับชาวบ้านให้เลยเถิดไปกว่านี้ครับ รายงานความจริงตามเหตุการณ์เท่านั้นพอแล้ว ถ้าพยายามยืนยันข่าวที่ได้มาจากหลายแหล่งบ้างก็ดี เรียนรู้จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บ้าง
  6. ในความเห็นของผม ในบรรดาผู้ที่ออกมาพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมดจนถึงขณะนี้ “ผู้ที่พูดได้ใจความที่สุด” คือโฆษกกองทัพบก และ “ผู้ที่พูดให้สาระประโยชน์ที่สุด” คือโฆษกกระทรวงสาธารณสุข
  7. ที่ผิดหวังมากคือผู้กำกับรายการ/ผู้กำกับภาพ ที่ปล่อย filler ออกมามาก - ภาพควัน การขว้างปา การเผาทำลาย การยิงปืนขึ้นฟ้า หรือภาพความรุนแรงอื่นๆ — ไม่มีรายการไหนเลยติดเรตตัวเองเป็น “ฉ” ทั้งที่มีภาพ เสียง และเสียงบรรยายความรุนแรง ซ้ำแล้วซ้ำอีก
  8. ควันไฟกองจริงหายไปหมดแล้ว แต่ภาพที่ท่านฉายแช่เอาไว้เป็นสิบนาที ยังอยู่อีกนาน ท่านคิดกันบ้างหรือเปล่า
  9. สำหรับผู้ชม งานนี้ท่านไม่ควรเชียร์ข้างไหนเลยนะครับ ความเสียหายเกิดแล้ว ร้ายแรงมากด้วย แต่ประเทศไทยแหลกราญทั้งประเทศ สังคมไทยแพ้ย่อยยับทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
  10. สังคมไทยต้องการการรักษาหมู่เรื่อง PTSD
  11. สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้วิจารณ์เลิกนิสัย Monday morning quarterback ได้แล้วครับ ตอนนี้ควรเริ่มคิดหาทางแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจัง
  12. ก่อนแก้ไขปัญหา จะต้องให้สถานการณ์นิ่งก่อน  — แล้วก็ต้องรู้ว่าปัญหาคืออะไร ข้อจำกัดคืออะไร

อ่านต่อ »


กังหันน้ำก้นหอย (5)

อ่าน: 5520

บันทึกเรื่องสูบน้ำใช้ธรรมชาติกับฟิสิกส์ซึ่งผมเขียนไว้เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2551 ถูก reblog ครั้งหนึ่งไปยังฟิสิกส์ราชมงคล

เมื่อศึกษาเพิ่มเติม แล้วเขียนออกมาเป็นบันทึกชุดกังหันน้ำก้นหอย [1] [2] [3] [4] และบันทึกนี้ซึ่งเป็นบันทึกสุดท้าย ผมได้รับความคิดเห็น อีเมล และ SMS ขอข้อมูล และขอเว็บไซต์ที่ไปศึกษามา และแจ้งด้วยว่าอยากร่วมทดลองสร้างต้นแบบ เนื่องจากเห็นว่าเป็นประโยชน์กับชีวิตชาวบ้าน สร้างได้ด้วยราคาถูก และชาวบ้านบำรุงรักษาได้เอง ขออนุโมทนาด้วยครับ

ผมเองไม่ค่อย bookmark อะไรไว้ เมื่อจะศึกษาอะไรก็ค้นเอาในเวลาที่สนใจ เพียงแต่ว่าเวลาค้าจะต้องหาคำสำคัญ (keyword) ให้ถูกต้อง ในกรณ๊นี้ใช้ “spiral pump” “water wheel” “hydro power” ฯลฯ

สำหรับเว็บไซต์ที่ไปเอารูปมา อยู่ที่


กังหันน้ำก้นหอย (4)

อ่าน: 20547

ความรู้ที่แท้จริงนั้น จะต้องแยกความรู้สึกและความเห็นออก เหลือแต่แก่นของความรู้แท้ๆ

กังหันน้ำก้นหอย มีใช้มาตั้งแต่ยุคที่ไม่มีไฟฟ้า เป็นการเปลี่ยนพลังงานจลน์ (น้ำไหลหมุนกังหัน) เป็นพลังงานศักย์ (ยกน้ำขึ้นสูง) โดยวิธีการก็เป็นความรู้้ระดับมัธยม

แต่เครื่องมือใดๆ ในโลกนั้น ต่างก็มีข้อจำกัดด้วยกันทั้งนั้น บันทึกนี้กล่าวถึงข้อดี ข้อจำกัด และวิธีแก้ไขข้อจำกัด

  1. หัวตักน้ำที่อยู่ปลายท่อ มีขนาดใหญ่กว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ เพื่อที่จะกรอกน้ำเข้าไปในท่อ แม้หัวตักน้ำยกตัวขึ้นพ้นน้ำไปแล้ว
  2. กังหันนี้หมุนช้าๆ ก็สามารถทำงานได้ ซึ่งเหมาะกับเมืองไทยที่พื้นที่ไม่มีความลาดเอียงมากนัก ลำธารจึงไม่ไหลเชี่ยว แต่หากลำธารมีน้ำไหลช้ามากหรือเกือบนิ่ง อาจใช้ฝายขนาดเล็ก ปล่อยน้ำออกในช่องที่เล็กกว่าความกว้างของลำธาร เพื่อเพิ่มความเร็วของน้ำ ให้ไปหมุนกังหัน
  3. เมื่อน้ำเข้าถึงขดในสุดแล้ว ความดันอากาศยังคงรักษาอยู่ได้โดยปล่อยน้ำออกที่ระดับสูง ตามที่คำนวณหรือทดลองไว้
  4. หากกังหันน้ำ ไม่สามารถส่งน้ำขึ้นไปยังระดับความสูงที่ต้องการได้ เราสามารถลดขนาดพื้นที่หน้าตัดของท่อที่ส่งน้ำขึ้นสูงนี้ลง (เมื่อพื้นที่ลดลง จะยกน้ำขึ้นได้สูงกว่าเดิม เช่นเดียวกับการบีบปลายสายยางรดน้ำต้นไม้)

อ่านต่อ »


กังหันน้ำก้นหอย (3)

อ่าน: 10395

จากบันทึกก่อน กังหันน้ำก้นหอยนี้ ทำงานด้วยการประยุกต์กฏของบอยด์ ซึ่งกล่าวโดยคร่าวๆ ว่า สำหรับก๊าซแล้ว เมื่ออุณหภูมิคงที่ ปริมาตรคูณกับความดัน มีค่าคงที่ ซึ่งอาจจะจำได้ในรูปของสูตร P1V1 = P2V2 สมัยเด็กๆ นัยของกฏของบอยด์บอกว่า ถ้าอุณหภูมิคงที่ เมื่อปริมาตรน้อยลง ความดันจะสูงขึ้น

  1. กังหันน้ำก้นหอย ตักน้ำเมื่อหัวตักจุ่มลงไปในน้ำ แต่เมื่อพ้นน้ำแล้ว มีอากาศตามเข้าไป
  2. น้ำและอากาศถูกส่งเข้าไปยังขดถัดไป ใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นเรื่อยๆ
  3. แต่เมื่อเลื่อนไปยังขดถัดไป ปริมาตรน้ำเท่าเดิม แต่ปริมาตรอากาศลดลง
    • ปริมาตรของขด = พื้นที่หน้าตัดของสายยาง x เส้นรอบวงของแต่ละขด
    • พื้นที่หน้าตัดของสายยางคงที่้
    • เส้นรอบวงของแต่ละขด = 2πr โดยที่ r เป็นรัศมีของแต่ละขด
    • เมื่อเป็นขดในๆ มากขึ้น รัศมีก็ลดลงเรื่อยๆ ทำให้ปริมาตรของแต่ละขดลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน
    • แต่ปริมาตรน้ำซึ่งเป็นของเหลว(เกือบ)คงที่ ช่องว่างที่เป็นที่อยู่ของอากาศ จึงลดลงในอัตราที่มากกว่าอัตราการลดลงของรัศมี ซึ่งทำให้ความดันในขดในๆ เพิ่มขึ้นในอัตรที่มากกว่าการลดลงของรัศมี
    • นี่เป็นเหตุผลว่ากังหันน้ำก้นหอย สร้างความดันขึ้นได้อย่างไร โดยอาศัยเพียงการหมุนของกังหัน ถ่ายเทน้ำและอากาศเข้าไปยังขดในๆ
  4. อากาศในขดนอกสุด มีค่าเท่ากับความดันบรรยากาศ (1 bar หรือดันน้ำขึ้นไปได้สูง 34 ฟุต/10.36 เมตร)

อ่านต่อ »


กังหันน้ำก้นหอย (2)

อ่าน: 25225

กังหันน้ำก้นหอย เป็นการใช้กฏของบอยด์ (หรือกฏของก๊าซ) ซึ่งเป็นความรู้ระดับมัธยมปลาย มาประยุกต์ใช้ สร้างความดันขึ้นในท่อ เพื่อยกน้ำขึ้นสูง

วัสดุหลักในการสร้างกังหัน มีท่อสายยาง กันหันน้ำ หัวตักน้ำ แป๊บเหล็กเป็นแกนหมุน และที่ทำเองได้ยากคือโรตารี่ยูเนี่ยน (rotary union บางทีเรียก rotary joint หรือ spiral เป็นท่อที่ปลายทั้งสองข้างหมุนจากกันได้อย่างอิสระ โดยของเหลวที่อยู่ภายในท่อไม่รั่วออกมา)

กังหันน้ำหมุนไปตามการไหลของกระแสน้ำ โดยหัวตักน้ำมีขนาดใหญ่กว่าสายยาง

เมื่อกังหันหมุนไป น้ำจะถูกตักส่งเข้าไปในสายยาง เมื่อหมุนไปเรื่อยๆ น้ำที่ถูกตักในรอบที่แล้ว ก็จะถูกส่งไปยังขดต่อไป ใกล้จุดศูนย์กลางของกังหันมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไปถึงขดในสุด ก็จะถูกส่งเข้าไปที่แป็บเหล็กที่เป็นแกนหมุน น้ำไหลออกมาจากกังหันผ่านแกนหมุน

ในรูปจะเห็นท่อที่ตั้งฉากกับกังหันอยู่สองท่อ ท่อล่างที่เป็นแกนหมุนของกังหัน ส่งน้ำออกมาด้วย ส่วนท่อบน ปั่นเอากำลังกลจากการหมุนของกังหัน มีการทดเฟืองเพื่อเพิ่มความเร็วในการหมุน

กังหันน้ำแบบนี้ ทำงานที่ความเร็วต่ำ จึงไม่ต้องการกระแสน้ำเชี่ยว แต่น้ำต้องไหลเพื่อหมุนกังหันไปเรื่อยๆ

อ่านต่อ »


กังหันน้ำก้นหอย (1)

อ่าน: 9239

บันทึกนี้ เขียนไว้เมื่อปีก่อนครับ ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมศึกษาเพิ่มเติมถึงกังหันแบบต่างๆ ตลอดจนย้อนรอยไปการคำนวณ ซึ่งเป็นความรู้ระดับมัธยม นึกถึงสมัยเรียน วิชาการที่ศึกษามา สามารถจะทำอย่างนี้ได้ง่ายๆ แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกเลย — เราเรียนกันแต่ทฤษฎี แต่ไม่รู้จะเอาไปใช้อย่างไร อาการอย่างนี้ รู้ทฤษฎีหรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากัน คือไม่มีใครได้อะไรขึ้นมาทั้งสิ้น

มีปัมป์น้ำที่ใช้กระแสน้ำไหล บวกกับความโน้มถ่วงและแรงดันอากาศ เพื่อใช้ลำเลียงน้ำมาฝากครับ

วิธีการนี้ ใช้กังหันน้ำ ซึ่งแน่ล่ะต้องมีน้ำไหล ตักน้ำปนอากาศ แล้วให้น้ำหนักของน้ำมากดอากาศเพื่อสร้างแรงดันในท่อปิด ทำให้สามารถส่งน้ำไปยังระดับที่สูงขึ้น จึงสามารถลำเลียงน้ำได้โดยไม่ต้องใช้มอเตอร์

อ่านต่อ »



Main: 0.071913003921509 sec
Sidebar: 0.13574886322021 sec