AAR สวนป่างานค่ายนิสิตแพทย์ 23-26 เม.ย. 2552

โดย Logos เมื่อ 27 April 2009 เวลา 0:17 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 4283
  • งานนี้ มีหมอชาวเรามาสองหมอ คือหมอป่วน กับหมอตา; มีแม่หมอ (ป้าจุ๋ม); มีหมอเสน่ห์ยาแฝด (อ.ขจิต) เป็นตัวเดินเรื่องตลอดงาน สงสารเด็กจัง ฮาๆๆๆ
  • แม้อากาศร้อนจัด กับพายุฝน เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่ปรับปรุงได้ กล่าวคือต้องการเงาไม้ปิดบังแสงแดดตกกระทบลานคอนกรีตข้างอาคารใหญ่ ถ้าไม้ใหญ่โตช้า ทำร้าน+ไม้เลื้อยหรือพลาสติกพรางแสง จะเร็วกว่า ผมคิดว่ามีประโยชน์มากกว่าการใช้ลานกินข้าวเป็นที่นอนดูดาว ซึ่งเลี่ยงไปใช้ชานอาคารที่ชั้นสองแทนได้ ถ้าไม่มีเงาไม้ ลานคอนกรีตที่กินข้าว จะกลายเป็นเตาอบไป
  • ทางเข้าสวนป่าเป็นหลุมเป็นบ่อ แม้จะยังใช้สัญจรได้ แต่เป็นเป็นโอกาสดีที่จะปรับให้เรียบ(ขึ้นบ้าง) เนื่องจากฝนทำให้ดินอ่อนลงแล้ว
  • ถ้าจะออกจากสวนป่าหลังเที่ยง ควรพิจารณาค้างอีกคืนหนึ่ง ระยะระหว่างสวนป่าถึงบ้านป้าจุ๋ม 400 กม.กับเศษอีกนิดหน่อย วันนี้ใช้เวลาขับห้าชั่วโมงสิบห้านาที (รวมเวลาหยุดพักยี่สิบนาที) แต่ช่วงท้ายๆ มีอาการอ่อนเพลีย และมืดแถวหนองแค/สระบุรี จึงไม่ควรเสี่ยง
  • ผมร่วมกิจกรรมวงอ่างปลาเป็นครั้งแรก เล่นไม่เป็น แต่ฟังการอธิบายแล้วเล่นเลย; ด้วยข้อจำกัดของเวลาประกอบกับเด็กอาจโดยรังสีของประสบการณ์ ทำให้ไม่กล้าถาม วงอ่างปลาจึงเป็นรูปแบบของวงอ่างปลาแต่ไม่คล้ายวงอ่างปลา ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือเป็นการจุดประกายเกี่ยวกับแนวคิด ระบบความคิด วิธีมอง วิธีเรียนรู้ วิธีทำ การสร้างกำลังใจ (ให้ตัวเอง) อันเป็นทักษะที่ฝึกได้ — แน่นอนว่าเด็กแต่ละคนจะได้อะไรไปไม่เท่ากัน แต่ได้ไปบ้างก็ยังดีกว่าผ่านไปเฉยๆ — จะใช้กิจกรรมนี้ น่าจะมีเด็กที่กล้าและตั้งคำถามเป็น ยิ่งเป็นคำถามกวนประสาท (แต่เป็นคำถามที่ดี) จะยิ่งสนุกและได้รับประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งผู้ถาม ผู้ฟัง และผู้ตอบ
  • ไม่ได้ยินกระบวนกรพูดถึงเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต; ความสำเร็จ/ความล้มเหลว เป็นเรื่องของอดีต ซึ่งผ่านไปแล้ว อย่าไปติดอยู่กับมัน
  • ไม่ได้ยินกระบวนกรพูดถึง self-esteem (ค้นหา) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยให้ชีวิตยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่แก่วงไปแกว่งมา; คนที่มี self-esteem สูง เข้าใจคุณค่าของตนตามความเป็นจริง และแกว่งไปมาน้อยเมื่อเจอกับโลกธรรม
  • ในค่ายต่อๆ ไป อาจจะต้องช่วยหาความสำเร็จย่อยๆ ให้กับผู้เข้ารับการอบรมทุกคน ให้ทุกคนเข้าใจว่าความแตกต่างนั้นมีค่า ต่างมีดีกันคนละด้านสองด้าน ไม่มีใครห่วยแตกจนสมควรจะแยกตัวออกไปจากกลุ่ม (Developing Your Child’s Self-Esteem) — ระบบการศึกษาปกติที่สอนตามหลักสูตร ละเลยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พ่อแม่เลี้ยงลูกโดยขาดความรู้เรื่องนี้ ทำให้เด็กโหยหาการยอมรับ/ความสำเร็จอย่างฉาบฉวย แล้วในที่สุดก็เป็นคนที่ไม่มีความอดทน ติดเพื่อน/ติดเกมส์ จับจด เอาแต่ใจตัว

« « Prev : ใดใดในโลก ล้วนอนิจจัง

Next : เสียงพูดสุดท้าย ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

13 ความคิดเห็น

  • #1 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 0:41

    ดีใจที่ได้อ่าน AAR ค่ะ

    เรื่องการออกแบบกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้….ไม่ทราบว่าหมอเจ๊(พี่ตา) พอมีเวลาได้เล่าให้ฟัง “ประเด็นที่ต้องเอาใจใส่และกระบวนกรต้องพึงจัดประสบการณ์ด้วย” ให้หรือเปล่าคะ….กระบวนการให้เกิดการยอมรับความแตกต่างและเห็นคุณค่าความแตกต่างหลากหลาย เป็นประเด็นที่ใช้เวลามากถึงมากที่สุดในการทำความเข้าใจระหว่างกระบวนกรที่กระบี่คราวก่อน

    การออกแบบกิจกรรมสำหรับพี่แล้ว….กิจกรรมจะมีความหมายก็ต่อผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้…จะมากหรือน้อยขึ้นกับตัวผู้เรียนรู้ก็จริงแต่ก็ขึ้นกับการประเมินผู้เรียนให้รอบคอบด้วยเหมือนกัน

    สำหรับ การจัดกิจกรรม “อ่างปลา” เป็นเทคนิคการสอนแบบ group dicussion ซึ่งถ้าต้องการให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพก็จะเหมือนการจัด discussion คือมีสรุปด้วย มีรายละเอียดที่อ่านได้จาก Fishbowl ด้วยเหมือนกันค่ะ

    ตั้งใจรออ่านทุกบันทึกที่มาจากสวนป่าคราวนี้ เพราะว่าเป็นครั้งที่อยากไปมากแต่ไม่มีโอกาส

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 0:43

    เห็นด้วยว่า แม้จะไม่มี reaction ออกมามากนักจากกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แต่ความไม่มี(ด้านนอก)คือมี(ด้านใน)  พี่เชื่อเช่นนั้นเช่นเดียวกัน
    บางคนอาจจะเก็บไปคิดต่อ บางคนอาจจะพัฒนาวิธีการเอาไปใช้ในเงื่อนไขต่างๆ บางคนอาจจะได้ความ วิธีคิด ประสบการณ์จากปลาในอ่างนั้นติดตัวไป…

    ความเงียบแต่ไม่เงียบ

  • #3 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 0:44

    ขอโทษนะคะลิงค์ตกหล่นค่ะ

    http://en.wikipedia.org/wiki/Fishbowl_(conversation)

    และ ฤฤฑ ก็คือ AAR
    อืมง่วงแล้ว

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 2:05
    เรื่อง “ประเด็นที่ต้องเอาใจใส่และกระบวนกรต้องพึงจัดประสบการณ์ด้วย” นี้ โทรคุยกับพี่ตาครับ แต่ไม่ได้คุยกันที่สวนป่า

    ยังมีประเด็นอื่นที่ผมไม่รู้จะเรียบเรียงอย่างไรครับ ผมไม่ได้มองหาคำตอบ/วิธีการ/พิธีกรรม/ขั้นตอนสมบูรณ์แบบ เพราะไม่ชอบคำว่า “ต้อง” ที่แปลว่าคุณทำอย่างนี้ซิ วิธีนี้(เท่านั้น)เป็นวิธีการที่ถูกต้อง เป็นอย่างมาก

    เช่นกระบวนกรควรหยุด “เจาะทะลวง” ที่ตรงไหน; ถ้าผู้ฟังเปิดใจแล้ว กระบวนกรควรใส่สิ่งที่คิดว่าดีแล้วลงไปหรือไม่ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่กระบวนกรใส่ลงไป เป็นสิ่งที่ถูกต้อง {กะเทาะเปลือกออก แล้วพอกปูนเข้าไปใหม่ ในที่สุดก็มีเปลือกเหมือนเดิม อาจจะสวยกว่าเก่า แต่ก็ยังมีเปลือกหนัก}

    หรือถ้าปล่อยให้เด็กค้นพบเอง จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อสรุปของเขาถูกต้อง/เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาและสังคมรอบตัวเขา กระบวนกรควรมีศรัทธา/เชื่อใจในความดีงามและความสามารถในการพินิจพิจารณา (ด้วยมโนคติ) ของผู้ฟังแค่ไหน

    ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่กระบวนกรจะต้องศึกษา/ประเมินผู้เข้าฟังก่อนในเบื้องต้น และปรับเปลี่ยนพลิกแพลงตามสถานการณ์+ความจริงที่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ ซึ่งนั่นเห็นชัดเลยว่าวิธีการนี้จะใช้เวลาพอสมควร และไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์

    ในกรณีของค่ายนี้ “open sesame” เกิดขึ้นเมื่อเค้าคุยกันเองตอนจะสรุปปิดค่าย โดยกระบวนกรไม่ได้เข้าไป intervene ซึ่งผมคิดว่าประสบผลสำเร็จดีทีเดียวครับ เด็กๆ (ปีสี่) รู้จักกันมากขึ้น จนผมแปลกใจว่าสามสี่ปีที่ผ่านมานี่ ทำอะไรกันอยู่ ทำไมเพิ่งจะมาต่อมน้ำตาแตก/เข้าใจเพื่อนมากขึ้นเอาเมื่อเช้านี้เอง รู้วันนี้ก็ยังดีกว่าไม่รู้จักเพื่อนไปจนจบครับ แต่ห่วงว่าจะเป็นไฟไหม้ฟาง

    ผมเป็นห่วงเรื่องการใช้ภาษา การเรียบเรียงความคิด ตลอดจนการสื่อความคิดของเด็กๆออกมา

    และผมเป็นห่วงว่าเด็กๆ ฉุกคิดได้หรือเปล่า ว่าความวุ่นวาย/ความไม่เข้าใจกันนั้น เกิดจากการคิดไปเองเสียเป็นส่วนใหญ่ พิพากษาคนอื่นไปโดยไม่ได้แสวงหาความจริง

    deep listening ถูกเข้าใจว่าเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์แบบ one-way คือผู้ฟังเข้าใจข่าวสารผิดโดยผู้พูดไม่มีโอกาสแก้ตัว (ทำไมไปปักใจว่าคนฟังฟังผิด แต่ไม่คิดว่าตัวเองสื่อข้อความผิดพลาดเอง หรือมีปัญหาทั้งสองด้าน)

    ทีมอาจารย์เอาใจใส่เด็กๆ มากครับ น่าดีใจแทนเด็กๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตระหนักในเรื่องนี้หรือไม่นะครับ

    ผมไม่ได้คาดหวังให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบหรอกนะครับ สิ่งที่เขียนนี้คือ AAR ตามที่มองเห็น ซึ่งท่านอื่นคงจะมีมุมมองอื่นครับพี่

    อ้อ มี request ให้ผมพูดเรื่องประสบการณ์ในการประยุกต์วิทยาการต่างๆ ที่ใช้ในการจัดการสึนามิ แต่ไม่มีเวลาพูดครับ

  • #5 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 9:22

    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่าการจัดกิจกรรมทุกอย่างไม่ควรตั้งความหวังเรื่องความสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญสำหรับพี่ ที่ใช้ในการเรียนการสอนคือ อย่ายึดกิจกรรมเป็นหลัก ให้ยึดการเรียนรู้ของผู้เข้าเรียนหรืออบรมเป็นหลัก กิจกรรมเป็น tool เพื่อนำไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่เราคาดไว้คร่าวๆ
    กิจกรรมปรับเปลี่ยนได้และให้ดู Dynamic ของกลุ่มเป็นสำคัญ ค่อนข้างยืดหยุ่นนะ …ความสำคัญสำหรับการเป็นกระบวนกรร่วมกันหลายคนคือสิ่งที่หมอจอมป่วนพูดเสมอคือการเป็นลมหายใจเดียวกัน รู้วัตถุประสงค์ตีวัตถุประสงค์ให้เข้าใจตรงกัน ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นควรตัดสินใจแก้ไข ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ากระบวนกรมีหลายคน แบ่งงานกันก็จริงแต่ก็ควรตกลงกันก่อนว่า ช่วงไหนให้เข้าแทรกและส่งซิกกันอย่างไง และบอกกันให้ได้
    สำหรับพี่นะ ในฐานะของคนทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนนี้นะคะ พี่มักจะเตือนตัวเองเสมอว่าขณะที่เราสังเกตนักศึก๋ษา นักศึกษาเขาก็สังเกตเราด้วย ถ้าเราทำงานเป็นทีมไม่เป็น เราจะไปสอนการทำงานเป็นทีมสอนเขาให้หัดฟังคนอื่นก็ไม่สำเร็จเท่าไหร่หรอก ถ้าเราใช้อารมณ์ในการแก้ไขความขัดแย้ง เราจะไปสอนเขาให้มีสติก็ไม่ได้ผล และถ้าเรากั๊กความรู้เราไว้เราจะไปสอนให้เขาเผื่อแพร่กับคนอื่นก็ยาก

    ส่วนวิธีการสอน สำหรับพี่แล้ว ไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุดหรือไม่ดีเลย แม้แต่Lecture ที่มักถูกเบือนหน้าจากนักกิจกรรมทั้งหลายนั้นว่า Passive ก็ยังจำเป็นถ้ามันเป็นnew concept หรือมีความซับซ้อนยากแก่การทำความเข้าใจ แต่ควรมี Discussion ต่อด้วย เพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจมากขึ้น  การdiscussion ถ้าทำไม่เหมาะกับกลุ่มผู้เรียน บางทีได้ผลน้อยกว่า Lecture แล้วต่อด้วย discussion ด้วยซ้ำ
    และมีงานทางการศึกษาที่แนะนำว่า เมือ่ไหร่ที่สิ้นสุด section ไม่ว่าจะจัดวิธีสอนแบบไหนก็ตาม ควรตั้งคำถามว่า เขาเรียนรู้อะไร เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาไหมอย่างไร และมีการสรุปบทเรียน

    ที่เขียนมานี้คือการถอดบทเรียนประสบการณ์การจัดการเรียนการสอนกว่า 20 ปีของพี่เองนะคะ ผ่านการลองผิดลองถูกมาก็มาก แต่ก็ยังไม่ถือว่าตัวเองเก่งยังคอยระวังตัวเองเสมอว่าต้องทะลุทะลวงให้ได้จริงๆกับสิ่งที่จะสอน และยังต้องเรียนรู้จากคนอื่นไปตลอดค่ะ

    (บันทึกนี้ทำไมพี่พูดมากจังแฮะ)

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 April 2009 เวลา 18:11
    คิดและอธิบายความเรื่องลึกซึ้ง เขียนเท่าไหร่ก็ไม่ยาวเกินไปหรอกครับ

    จะเขียนสั้นแค่ อิ หรือร่ายยาวขนาด 2000 ตัวอักษร (สองคืบบนจอโดยไม่มีรูป) ไม่ว่าจะเป็นบันทึกหรือความคิดเห็น ต่างก็กินเนื้อที่ 8 kB เท่ากัน ดังนั้นเอาแบบมีประเด็นไปคิดต่อ/มีบทเรียน ดีแล้วครับพี่

  • #7 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 0:18

    ทีมกระบวนกรที่เหลืออยู่คุยกันต่อที่สวนป่าจนขึ้นรถทัวร์ที่บุรีรัมย์เกือบไม่ทัน
    ก็เรียนรู้อะไรๆเพิ่มเติมอีกมากครับ  อิอิ
    ว่างๆจะเล่าให้ฟังครับ  อิอิ

  • #8 Suchada ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 11:10

    หลัง AAR ที่สวนป่าร่วมกับทีมกระบวนกรและคุณหมอจาก รพ ชลบุรี เราก็รีบบึ่งรถออกจากสวนป่าฯ มากับ พี่หมอเจ๊และน้องจิ๋ม ตลอดทางได้คุยแลกเปลี่ยนในเรื่องการทำกระบวนการและสิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน จนมาถึง กทม ไม่รู้ตัว ถ้าวัดเวลาตามนาฬิกาก็หลายชั่วโมง แต่หากวัดตามความรู้สึกก็แค่แป๊บเดียว จากนั้นก็มานั่งคุยต่อที่ร้านข้าวต้มจนเกือบเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับไปนอน

    โดยส่วนตัว ทุกครั้งหลังเข้าร่วมในกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ ไม่ว่าในบทบาทใด จะมีประเด็นให้กลับมาใคร่ครวญและเรียนรู้โลกภายในของตัวเองควบคู่กันไปด้วยเสมอ สำหรับงานนี้ก็มีประเด็นที่เห็นว่าเป็นข้อจำกัดของตัวเองให้ไปพัฒนาต่อ รวมทั้งเห็นความจำเป็นที่จะไปทำโครงการต่อเนื่องให้กับนิสิตรุ่นนี้ ร่วมกับอาจารย์หมอที่โรงพยาบาลชลบุรี เพื่อดูแลหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านไว้ในใจเด็กๆ ให้เติบโตอย่างงดงาม … ตั้งใจว่าจะสานต่อค่ะ        

    เสียดายจังที่มีโอกาสคุยกับคุณพี่ Logos น้อยไปและไม่ได้ฟังเรื่องสึนามิเลย วันหลังเจอกันจะขอแก้ตัว นั่งจับเข่าคุยกันนะเจ้าคะ

  • #9 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 11:51
    ค่ายนี้หรือค่ายไหน ก็เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผมเสมอ แต่ว่าประสบการณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัว หากเรามองหาจุดปรับปรุงในระบบ/วิธีการ/เป้าหมาย/องค์ประกอบแวดล้อม อาจจะช่วยให้การเตรียมค่ายต่อๆ ไป ดีขึ้นกว่าครั้งนี้อีกครับ

    ถึงอย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าค่ายนี้มีความพิเศษและมีสิ่งที่ให้เรียนรู้หลายอย่าง ขอบคุณกระบวนกร/วิทยากร/กองเชียร์ทุกท่านครับ ดีใจที่ได้มีโอกาสไปร่วม แม้จะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่สนุกมาก นอกจากนั้น ยังดีใจเรื่อง Ulem อีกครับ

  • #10 ลานจอมป่วน » กูเป็นกู ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 April 2009 เวลา 21:59

    [...] เหมือนที่รอกอดเขียนไว้…… [...]

  • #11 ลานซักล้าง » หัวใจนักปราชญ์ ตีความแบบตามใจฉัน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 April 2009 เวลา 0:19

    [...] แต่อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า สุ จิ ปุ ลิ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมาก เพียงแต่การตีความนั้น ผมขยายออกไปอีก ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวครับ บางส่วนเล่าให้ฟังแล้วในกิจกรรมอ่างปลา [...]

  • #12 khajitf ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 May 2009 เวลา 18:12
    • เป็นค่ายที่ให้ประสบการณ์มาก
    • เพิ่งพบว่า
    • นักศึกษาอยู่ด้วยกัน 3 ปี เพิ่งมารู้จักตัวตนกันในปี 4 งงเหมือนกัน
    • ประเด็นการพูดของนักศึกษายังติดในคำว่า อือ เออ เหมือนความคิดไม่คล่อง
    • แต่ในฐานะหมอเสน่ห์ เอ้ย กระบวนกร  ยอมรับว่า มีหลายประเด็นที่ผมไม่สามารถดึงออกมาได้จากนักศึกษา มีประเด็นที่เขาไม่ได้เปิดใจทั้งหมด เป้นการเรียนรู้ที่มีค่ามากๆๆ
    • ขอบคุณมากครับ
  • #13 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 February 2012 เวลา 23:22
    กลับมาอ่านอีกที bullet ที่สองของบันทึก ได้กลายเป็นร้านให้ต้นไม้เลื้อยปกคลุมมาหลายปีแล้วนะครับ เวอร์ชั่นแรกเป็นไม้ไผ่ซึ่งรับน้ำหนักต้นไม้ไม่ไหว จึงเปลี่ยนเป็นเหล็กแทน

    เมื่อต้นไม้เลื้อยขึ้นเต็ม แสงแดดไม่กระทบลานคอนกรีตข้างอาคาร heat load เบาลงมาก อากาศในอาคารอบรมก็ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนสมัยก่อนอีกแล้วครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.892657995224 sec
Sidebar: 0.55470609664917 sec