อย่ารอ: การสร้างแพลอยน้ำเพื่อช่วยน้ำท่วมด้วยท่อพีวีซี…อีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายๆ
จดหมายส่งต่อครับ เมืองไทยมีคนที่คิดว่าตัวมีความรู้ตั้งมากมาย แต่ความรู้นั้นถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้ จะมีความหมายอะไรครับ มีความรู้แล้วควรช่วยคนอื่นด้วย
การสร้างแพลอยน้ำเพื่อช่วยน้ำท่วมด้วยท่อพีวีซี…อีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายๆ
ข้อมูลอุทกภัย
อุทกภัยครั้งนี้ เกิดความเสียหายหนักเป็นวงกว้าง เนื่องจากเกิดฝนตกหนักในลุ่มน้ำหลายแห่งพร้อมกัน ทั้งลุ่มน้ำป่าสัก มูล ชี สะแกกรัง เจ้าพระยา และท่าจีน
เนื่องจากมีผู้ประสบภัยกระจายอยู่ใน 38 จังหวัด แม้ในขณะที่เขียนบันทึกนี้ มีจังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อยู่ 22 จังหวัด ก็ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่ที่น้ำเคยท่วมใน 16 จังหวัดที่ไม่มีน้ำท่วมแล้ว จะกลับสู่ภาวะปกติ ที่จริงความช่วยเหลือในพื้นที่เหล่านี้ จะเปลี่ยนจากการช่วยให้มีชีวิตรอดปลอดภัย ไปเป็นการฟื้นฟูและสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ อีกทั้งจังหวัดซึ่งอยู่ในเส้นทางน้ำไหลซึ่งยังไม่ปรากฏในรายการ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย
วันนี้ช่วงเช้า ผมเข้าไป วอร์รูมน้ำท่วมอีก ไปพบปะแลกเปลี่ยนกับทีมทำข้อมูลของ คชอ.มา วันนี้มาคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ ทีมทำข้อมูล EIS (Executive Information System) และ ไมโครซอฟท์ ทีมนี้พยายามจะรวบรวมข้อมูลเพื่อการตัดสินใจให้กับวอร์รูมน้ำท่วม มีบล็อคไดอะแกรมตามรูปทางขวา
มีทีมจาก ESRI ซึ่งมีข้อมูลเชิงแผนที่ (GIS) ที่มี base map และ layer จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ข้อมูลนี้มีประโยชน์มาก เนื่องจากไฟฟ้าเข้าถึงตรงไหน ก็แปลว่ามีคนอยู่ตรงนั้น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเข้าไปดูได้อย่างไร
อีกทีมหนึ่งก็เป็น Change Fusion และ Opendream ซึ่งเป็นทีมที่ทำ pm.go.th/flood
ผมเห็นว่าข้อมูลใดที่ส่งให้วอร์รูม สาธารณชนก็ควรจะได้รับข้อมูลนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้เนื่องจากมีผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก และผู้ประสบภัยบางส่วน ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ดังนั้นน่าจะระดมสรรพกำลังทั้งจากภาครัฐและเอกชนไปช่วย แต่หากไม่มีข้อมูลว่าพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือแบบไหนแล้ว ความช่วยเหลือก็จะขาดความแม่นยำไป บางพื้นที่อาจได้มากเกินไปหรือได้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่บางพื้นที่อาจมีความช่วยเหลือน้อยเกินไป
แจกแผนที่ระดับน้ำ
แผนที่นี้อาจไม่สวย และไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเวลานี้ แต่ในอนาคต แม้ไม่เพิ่มอะไรเลย ก็จะใช้ดูได้ว่าตรงไหนน้ำล้นตลิ่งครับ เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด มาโดยโปรแกรม ดังนั้นก็เป็นไปได้ ว่าถ้าระดับน้ำสูงใกล้ขอบตลิ่ง ก็จะเตือนให้เริ่มเฝ้าดูได้
ผมทำแผนที่ที่ไม่สวยอันนี้ออกมา ก็เพื่อให้เว็บอื่น หน่วยงานอื่น ใช้ข้อมูลเดียวกันได้ ถ้าจะเอา code Google Maps ไปแปะเว็บ ก็คลิกรูปข้างล่าง แล้ว View source เอาเองนะครับ เป็น Google Maps JavaScript API V3 ซึ่งไม่ต้องใช้ API Key อีกแล้ว
ถ้าใช้กับ Google Earth โหลด Network Link จาก kml file อันนี้ อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะ kml file มีจุดและข้อมูลอยู่มาก เวลาคลิกดูข้อมูลละเอียด จึงช้าจนน่าหงุดหงิดครับ
สันติไมตรี
ครั้งหลังสุดที่ไปตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล คงจะเป็นตอนที่ไปฟังบิล เกตส์พูดอะไรสักอย่างเมื่อหลายปีก่อน มาวันนี้เข้าไปอีกครั้ง เพื่อไปแลกเปลี่ยนความรู้ ช่องทาง และประสบการณ์กับทีมข้อมูลของ ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ด้วยหวังว่าจะช่วยให้การตัดสินใจจากฝั่งของรัฐ เป็นไปด้วยความถูกต้อง ฉับไว เพื่อบรรเทาทุกข์ ประคับประคอง และฟื้นฟูชีวิตของผู้ประสบภัย
เขียนบ่นไว้ในบันทึกที่แล้ว เรื่องการกระจายอำนาจ กระจายทรัพยากรออกไปช่วยพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่ประสบภัยแล้ว และกำลังจะประสบภัย พอไปคุยกันนี้ก็ได้ข้อมูลใหม่จาก “คนนอก” ที่เข้าไปช่วย (ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับรัฐหรือรัฐบาล) ว่าที่จริงรัฐบาลพยายามทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ติดขัดระเบียบราชการ ซึ่งเขียนไว้แน่นปั๋งเหมือนกำแพง มีตัวอย่างจริงคือเทศบาลแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ส่งเครื่องมือมาช่วยสร้างคันดินในภาคกลาง กลับมีปัญหากับหน่วยงานตรวจสอบทันที เนื่องจากอยู่นอกขอบเขตอำนาจ เรื่องนี้มีวาระจะเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อผ่อนคลายระเบียบในการประชุมครั้งหน้า ทรัพยากรของทางภาครัฐ กระจายออกพื้นที่ที่ยังไม่กระทบเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ การระดมทรัพยากรกลับมาช่วยพื้นที่ที่กำลังได้รับผลกระทบ จึงขลุกขลักอยู่บ้าง… เรื่องนี้เป็นบทเรียนว่าแม้แต่ความจริง ก็มีหลายมุมมอง หากไม่เข้าใจ ควรถาม ไม่ใช่คิดเอาเอง [แต่บันทึกที่แล้ว ผมไม่ลบหรอกนะครับ]
ปัญหาของการบูรณาการข้อมูลนั้น หลักๆ ก็คือเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการล่วงหน้า
การบูรณาการข้อมูลไม่ใช่การนำข้อมูลทุกอย่างมารวมไว้ในที่เดียวกัน แต่เป็นการนำข้อมูลที่มีความหมาย ไปสู่ผู้ตัดสินใจ เพื่อที่การตัดสินใจนั้น จะเกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน เรื่องนี้ไม่ยากแต่ค่อนข้างสับสน เนื่องจากข้อมูลกระจัดกระจายอยู่คนละกรมกอง มีกันคนละนิด ต่างคนต่างทำ จึงไม่มีภาพใหญ่ที่ควรจะมี (PMOC) พอเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ต่างคนต่างระดมส่งข้อมูลมา ทำให้ย่อยไม่ไหว หาความหมายไม่ทัน กลายเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง น้ำท่วมที่ศูนย์บรรเทาอุทกภัย
คชอ.ภาคประชาชน
รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ขึ้นดูแลประสานงานการช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย — อันนี้ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ด้วยโครงสร้างในระบบราชการ ก็จะต้องมีอะไรทำนองนี้แหละ; พวกเราชาวบ้านทั่วไป เรียนรู้จากประสบการณ์มาตั้งแต่เกิด มักจะมีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก สนุกนิ้วไปต่างๆ นานา ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็อย่างนี้แหละ — น่าเสียดายที่เรามักไม่ค่อยเรียนรู้ข้อจำกัดของระบบราชการ และเรารอคอยความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ซึ่งก็คงจะ too little too late ตามเคย (ว่าแล้วผมก็คาดเดาซะเอง… เฮ้อ)
ระบบการสั่งการของรัฐบาลหรือองค์กรขนาดใหญ่ มีปัญหาแบบเดียวกัน คือผู้ที่อยู่บนยอดดอย เห็นภาพใหญ่ แต่มักจะเผลอออกคำสั่งโดยละเอียด ซึ่งกลับไม่เกิดประโยชน์ต่อพื้นที่ที่อยู่กันคนละบริบท ผู้ที่อยู่ระดับสูงควรกระจายอำนาจการตัดสินใจ จัดสรรทรัพยากรลงไปยังพื้นที่ ให้อำนาจการตัดสินใจ ไว้ใจ สั่งการจากหน้างาน จากคนที่เข้าใจสถานการณ์และข้อจำกัดในพื้นที่ ติดอาวุธให้เขา ให้โอกาสเขาทำงานได้อย่างที่ควรจะทำ — ข้อมูลที่เขาส่งขึ้นไป เวลาประดังกันมาจากหลายพื้นที่ ก็จะถูกกรอง ถูกจัดหมวดหมู่เข้าไปในภาพใหญ่ ทำให้สถานการณ์ฉุกเฉินมักจะไม่ได้รับการแก้ไขหรอกครับ (แต่ต้องรายงานนะ) ธรรมชาติของการรวบรวมเป็นอย่างนั้นเอง
คชอ.จึงควรดูเรื่องกำกับทิศทาง-ตรวจสอบ-จัดสรรทรัพยากร มากกว่าสั่งการครับ — คราวสึนามิสั่งละเอียดไปหน่อย อาจเป็นเพราะเกิดขึ้น 21 วันก่อนการเลือกตั้งใหญ่
ปั๊มน้ำกู้ชาติ
น้ำท่วมใหญ่ นอกจากเสียหายในวงกว้างแล้ว ยังเป็นไปตามสภาพภูมิประเทศด้วย แผ่นดินไทยไม่ได้เรียบแบนแต๊ดแต๋ แต่มีความลาดเอียงแม้ในเขตที่ราบลุ่ม มีคันนา ถนน คูคลอง เนินเขา ภูเขา มีอาคารบ้านเรือนขวางทางน้ำอยู่ ทำให้น้ำไหลไม่สะดวก การที่น้ำปริมาณมากไหลไปไม่สะดวก ทำให้น้ำยกตัว เอ่อขึ้นล้นตลิ่ง ท่วมเทือกสวนไร่นานและบ้านช่องของชาวบ้าน
น้ำท่วมจะผ่านไปในที่สุด แต่บริเวณที่น้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นแอ่ง เป็นกะทะ จะยังมีน้ำขังอยู่ ซึ่งจะต้องระบายออก นอกจากนี้ เมื่อน้ำไหลผ่านจากพื้นที่หนึ่งไปยังปลายน้ำ พื้นที่ตามเขื่อนดิน เขื่อนกระสอบทราย ที่ใช้ป้องกันน้ำท่วม จะมีรั่วซึมได้บ้างเป็นธรรมดา บ้านเรือนร้านค้าที่ทำเขื่อนกั้นน้ำเอาไว้ ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันครับ
เวลาพูดถึงการสูบน้ำออก เรามักจะนึกถึงเครื่องยนต์ ถ้ามีอยู่แล้ว จ่ายค่าพลังงาน/มีพลังงานให้ซื้อได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่มี ลองทำปั๊มกำลังคนดูไหมครับ ใช้ท่อพีวีซีกับวัสดุเหลือใช้ก็พอ
ความเป็นธรรมเรื่องพื้นที่น้ำท่วม
คงไม่มีใครอยากให้น้ำท่วมหรอกครับ แต่มันก็ท่วมนะ การไหลของน้ำเป็นไปตามหลักง่ายๆ แต่ในสภาพพื้นที่กลับมีความซับซ้อนมากมาย
ทำไมน้ำท่วมปักธงชัย เพราะติดทางหลวงหมายเลข 304 เมื่อไหลว่าปักธงชัย ไปโชคชัย ก็ติดทางหลวงหมายเลข 24 อีก เมื่อน้ำไหลผ่านช่องแคบๆ ไปได้ช้า ก็จะยกตัวเอ่อขึ้นล้นตลิ่ง กลายเป็นน้ำท่วม
ทำไมไม่ปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพบ้าง
(ยังไม่รู้เลยว่าจะท่วมหรือไม่) รอบๆ กรุงเทพก็ถนนเยอะเช่นกัน เยอะที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ อันที่ทำให้กรุงเทพเป็นไข่แดงที่น้ำ(ยัง)ไม่ท่วมคือทางหลวงหมายเลข 9 ซึ่งเรียกว่าถนนวงแหวนรอบนอก แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งนำน้ำลงมาจากทางเหนือนั้น เจอคอขวดแถวอยุธยา กล่าวคืออัตราการไหลของน้ำเหลือน้อยลง จากไหลได้ ~3,000 ลบ.ม./วินาที เหลือเพียง ~2,000 ลบ.ม./วินาที ถ้าอัตราการไหลของน้ำไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที น้ำก็ไม่ล้นตลิ่งที่อยุธยา
แต่น้ำเหนือหลากมาเร็วกว่านั้นมาก บางวันถึง 4,000 ลบ.ม./วินาที น้ำในปริมาณมากนอกจากล้นตลิ่งแล้ว ยังดันน้ำที่อยู่เหนือขึ้นไปด้วย ทำให้น้ำยกตัวล้นตลิ่งเหนือขึ้นไป ดังที่ปรากฏเป็นเหตุอุทกภัยใหญ่ในขณะที่เขียนนี้
[หากใครยังไม่ได้ดู ก็ขอให้แวะดู Google Maps ซึ่งเพิ่งจะอัพเดตภาพถ่ายจากดาวเทียมเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อให้เห็นขอบเขตของความเสียหาย]
ทีนี้มาดูแผนที่เหนืออยุธยา เมื่อแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน อ.ป่าโมก อ่างทอง ลงมาถึง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก แม่น้ำไหลไปทางตะวันออกไปยังตัวจังหวัดอยุธยา แต่มีคลองใหญ่แยกออกไปทางตะวันตกเข้าสู่โครงการชลประทานเจ้าเจ็ด-บางยี่หนอีกเส้นหนึ่ง [น้ำมาก ก็เป็นปัญหาอีก] เมื่อน้ำล้นตลิ่งฝั่งตะวันตกแล้ว มันจะไม่ไหลกลับข้ามแม่น้ำมาท่วมกรุงเทพฝั่งตะวันออกหรอกครับ น้ำไหลไปตามภูมิประเทศของพื้นที่
การจัดการสิ่งที่จัดการไม่ได้
ภัยพิบัติจากธรรมชาติทุกครั้ง จัดการไม่ได้หรอกครับ เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่สเกลของมนุษย์กระจ้อยร่อย จะไปต่อกรกับธรรมชาติ ถึงจัดการไม่ได้ ก็ไม่เหมือนกับการปล่อยไปตามยถากรรมหรอกนะครับ
ถึงแม้จะฟังดูโหดร้าย แต่ความช่วยเหลือมีจำกัด สื่อมวลชนจะไม่รายงานข่าวเฉพาะพื้นที่ตลอดไป ความสนใจของสาธารณชนจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ถึงที่สุดแล้ว ผู้ประสบภัยจะต้องยืนอยู่บนขาของตัวเองให้ได้
ในขณะที่น้ำใจยังหลั่งไหลไปช่วยผู้ประสบภัยอยู่นี้ ด้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ยังมีเรื่องปวดหัวรออยู่อีกมากมาย เช่นด้วยข้อจำกัดของพื้นที่รับบริจาค สิ่งของบริจาค ต้องขนออกอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็ใช้รถยนต์ขนของกันตามความเคยชิน แต่หากสิ่งของขนขึ้นโบกี้รถไฟ แล้วไปส่งตามรายทางสถานีละโบกี้ (ไปถึงแล้วปลดโบกี้ทิ้งไว้เลย) จัดตั้งศูนย์กระจายความช่วยเหลือขึ้นตามสถานีรถไฟต่างๆ น่าจะประหยัดค่าขนส่งได้มาก อาจขอความอนุเคราะห์จากการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอให้ลดค่าขนส่งบ้าง รถขนส่งต่างๆ แทนที่จะวิ่งเข้ามารับสิ่งของจากกรุงเทพ ก็ไปรับจากสถานีกระจายความช่วยเหลือในพื้นที่ ลดเวลาขับรถ+ประหยัดค่าน้ำมัน+เพิ่มความถี่ที่เข้าไปในพื้นที่ ฯลฯ
ข้างบนนี้ผมยกตัวอย่างไปอย่างนั้นล่ะครับ
อย่างไรก็ตามน้ำท่วมใหญ่คราวนี้ สร้างหายนะเป็นวงกว้าง
แผนที่สถานการณ์น้ำท่วมอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งๆ ที่บอกไว้ตลอดเวลา ว่าไม่อยากเขียนเรื่องเฉพาะกาล แต่ในเมื่อเขียนแล้วเป็นประโยชน์ ก็เกิดข้อยกเว้นได้ครับ (ถึงอย่างไรก็บล็อกของผม)
ตั้งแต่ทราบข่าวว่าน้ำเริ่มท่วมเมื่อแปดวันก่อน ผมก็เริ่มเช็คข้อมูล ยิ่งเช็คยิ่งตกใจ เขื่อนลำตะคองที่เหลือแค่ค่อนอ่างเมื่อสักสองอาทิตย์ก่อนหน้านั้น กลับเต็มล้นอย่างรวดเร็ว — เมื่อสามวันก่อน เขียนเรื่องแผนที่สถานการณ์ไว้อย่างฉุกละหุก เนื่องจากรับปากไว้ว่าจะไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในช่วง CrisisCamp ครับ วันนี้ได้นอนเต็มตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน พาแม่ไปซื้อของเผื่อว่าพอน้ำมา อาจจะออกจากบ้านไม่ได้หลายวัน หวังว่าเน็ตไม่ล่มนะครับ ยังไงก็จะรีบปั่นข้อมูลระดับน้ำก่อน เผื่อว่าจะออกไปไหนไม่ได้แล้วเน็ตล่มด้วย
จนเมื่อคืน พบข้อมูลดีมากจาก สทอภ. กระทรวงวิทยาศาสตร์ คือภาพถ่ายจากดาวเทียมหลายลุ่มน้ำ รูปรายละเอียดสูงขนาด 4.6k pixel อันนี้ ดีเป็นพิเศษ เนื่องจากมีรายละเอียดเพียงพอจะกำหนดขอบเขตที่น้ำท่วม ตลอดจนหาเส้นทางที่จะนำความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ — สำหรับภาพจากดาวเทียม หนึ่ง pixel มีขนาด 101 x 101 ม. หมายความว่าถ้าน้ำท่วมเต็มพื้นที่ขนาด 101 x 101 เมตร เราก็จะเห็นสีฟ้า แสดงว่าตรงนั้นท่วมอย่างแน่นอน ส่วนถ้าท่วมไม่เต็มกริด ก็ไม่แน่ครับ แล้วแต่คนแปลความหมาย — ภาพอื่นๆ ก็มีครับ แต่ทำเป็น thumbnail ขนาด 1k pixel ซึ่งไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะนำไปใช้บรรเทาทุกข์ครับ