หายนะที่คาดเดาได้
เป็นเรื่องแปลกที่ทั้งที่หายนะนั้นคาดเดาได้ แต่มันก็ยังเกิดขึ้น
ในช่วงหาเสียงของ Clinton/Gore Presidential Campaign เขามีนโยบายที่จะเพิ่มความเข้มงวด เรื่องความปลอดภัยในการโดยสารเครื่องบิน แต่พอได้เข้ามาบริหารกลับกลัวที่จะทำ เพราะเกรงว่าผู้โดยสารจะไม่ได้รับความสะดวก แล้วก็เกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก 9/11 — เราจำอันนี้ไม่ได้เพราะมันถูกกลบด้วย National Information Infrastructure (NII) ซึ่งกล่าวถึงวิสัยทัศน์ที่ทุกบ้าน/ทุกโรงเรียนมีอินเทอร์เน็ต อันเป็นจุดที่อินเทอร์เน็ตขยายตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทั่วโลก
วิกฤติซับไพร์มในสหรัฐ มีสัญญาณมาหลายปีก่อน กล่าวคือ subprime mortgage มีค่าประมาณ 10% ระหว่างปี 2001-2003 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 18-21% ในช่วงระหว่างปี 2004-2006 พอปี 2008 ก็เกิดลูกโป่งแตกทันที
แล้วรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ล่ะครับ… ผมว่าอันนี้ก็ใช่ ความทะนงตนของผู้มีอำนาจในเวลานั้น ตลอดจนการไม่ได้รับข้อเท็จจริง ทำให้ตัดสินใจยืนหยัดชนลูกเดียว ทั้งที่การถอยเสียหนึ่งก้าว ก็จะเป็นการสลายเงื่อนไขการยึดอำนาจได้อย่างนุ่มนวล
การจัดการกับหายนะที่คาดเดาได้นี้ ไม่ใช่ใช้การควบคุมความเสี่ยงแต่อย่างเดียว แต่ยังต้องผสมผสานวิธีการจัดการ การเฝ้าระวัง การติดตามความคืบหน้า ฯลฯ ตลอดจนความจริงจังที่จะกำจัดบรรเทาหายนะต่างๆ เรียกว่าการบริหารความเสี่ยง คือทำงานอย่างตระหนักรู้
ในชีวิตของเรา ไม่มีใครต้องการจะเผชิญกับหายนะทั้งนั้น ในด้านธุรกิจก็เช่นเดียวกัน แต่ธุรกิจต้องดำเนินไป ไม่มีธุรกิจใดที่ไม่เสี่ยง ถ้าหากไม่รับความเสี่ยงเสียเลย ก็ไม่ควรทำธุรกิจอีกต่อไป จะทำธุรกิจก็ควรเข้าใจความเสี่ยงของงานที่ทำอยู่ หาทางป้องกัน ลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหาย ดำเนินการอย่างระมัดระวัง แต่อย่าให้ถึงขนาดที่กระบวนการเหล่านี้ขัดขวางการทำงาน ประสาทหลอนจนต้องคลุมโปงนอนอยู่ในบ้านอย่างเดียว ไม่ยอมทำอะไรเลยก็แล้วกันครับ ยิ่งเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ทำอะไรจะต้องระมัดระวัง แต่ควรแยกให้ออกระหว่างการระวังรอบคอบ กับอาการประสาทหลอน
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยเขียนบทความไว้เมื่อสามเดือนที่แล้ว บรรยายถึงลักษณะหกประการของหายนะที่คาดเดาได้ (Predictable Surprises) ว่า…