พระนิพนธ์ แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๙ ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ยาวมาก แต่น่าอ่านครับ
ยานิ โสตานิ โลกสฺมิ……..สติ เตสํ นิวารณํ
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ…………ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร
พระพุทธภาษิตข้างต้นนี้ มีความว่า “กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เรากล่าวว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแส กระแสเหล่านั้นอันบุคคลปิดกั้นได้ด้วยปัญญา”
คำว่ากระแส ในภาษาทั่วไปหมายถึง สิ่งที่เคลื่อนไปเป็นแนวเป็นทางเรื่อยๆ เช่น กระแสลม กระแสน้ำ ความหมายทั่วไปของกระแสเป็นเช่นนั้น
แต่กระแสในพระพุทธภาษิตข้างต้นที่มีอยู่ในโลก เช่นเดียวกับกระแสน้ำกระแสลม แต่กระแสทั้งกระแสน้ำกระแสลมจัดเป็นรูปธรรมได้ เห็นได้ สัมผัสได้ แม้กระแสลมจะเห็นไม่ได้ด้วยตาเช่นสิ่งที่จัดเป็นรูปธรรมทั้งหลาย แต่สัมผัสที่ได้จากกระแสลมนั้นเหมือนดังสิ่งที่เป็นรูปธรรม
กระแสลมแตกต่างกับกระแสเสียง ที่น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเกินไปนัก กระแสเสียงที่สัมผัสหู แตกต่างกับกระแสลมที่สัมผัสกาย แต่ยากจะอธิบาย แม้จะเข้าใจได้ชัดเจนในความแตกต่างของกระแสลมกับกระแสเสียง
พระพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า “กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น” ก่อนอื่นควรต้องเข้าใจความหมายของคำว่าสติ เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของพระพุทธภาษิตว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงสอนไว้ ให้กั้นกระแสที่มีอยู่ในโลกด้วยสตินั้น ทรงหมายถึงอะไรที่ควรนำมากั้นกระแส
สติคืออะไร
สติคือความรู้ผิด รู้ชอบ รู้ชั่ว รู้ดี ความหมายของสติชี้ชัดถึงความสำคัญอย่างยิ่งของคำว่าสติ อะไรจะสำคัญสำหรับชีวิตยิ่งไปกว่าความรู้ผิดชอบรู้ชั่วดี ไม่มีแน่นอน ความผิดความชั่วที่ทำกันอยู่มากมาย โดยเฉพาะในทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุใด ที่สำคัญเท่ากับความขาดสติ ขาดความรู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่ว
ทำลงไปแล้วอาจได้สติ รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่ผิดที่ชั่วก็สายเกินไป ทำให้ต้องได้รับทุกข์โทษภัย จากการทำที่ไม่รู้ถูกไม่รู้ผิดไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว จึงพึงเห็นความสำคัญของสติให้อย่างยิ่ง และพึงพยายามอบรมสติให้เกิดมากๆ พยายามให้สติขาดไปจากใจให้น้อยที่สุด
โดยยกเหตุผลสำคัญที่สุดไว้เตือนตน คือนึกถึงประโยคที่พูดกันเสมอ ดังเช่นเรียกคนบ้า ว่าคนเสียสติ หรือคนเสียสติว่าคนบ้า ไม่มีใครอยากเป็นคนบ้า เราทุกคนไม่อยากถูกเรียกว่าคนบ้า ดังนั้นพากันพยายามอบรมสติให้เต็มความสามารถ ทุกเวลานาทีให้เตือนตนเองว่า สติ สติเราต้องมีสติ เราต้องมีสติ อย่าให้สติเสียไปจะเป็นคนบ้า
คนไม่มีสติ แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นคนบ้าก็ยังถูกตำหนิจากผู้รู้เห็นอยู่เสมอ ว่าเป็นคนขาดสติ ซึ่งไม่ใช่เป็นการยกย่อง แต่เป็นการตำหนิติเตียนในระดับที่ไม่น่าฟัง ซึ่งคำตำหนินี้พูดกันเกือบจะติดปากทีเดียว แสดงว่าพากันรู้ดี ว่าการขาดสติไม่ใช่ความดี แต่เพราะนำคำนี้มาพูดมาใช้ตำหนิกันจนกระทั่งฟังเป็นคำธรรมดา
ไม่เห็นความสำคัญของคำตำหนินี้ เป็นผลเสียที่สำคัญมากอยู่ เพราะทำให้พากันไม่เห็นความสำคัญของคำว่าสติ ทั้งๆที่สติเป็นคำสำคัญที่สุด ใจเป็นใหญ่ ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ชัดแจ้ง แต่สติก็เป็นใหญ่เหนือใจ ของทุกคน ผลที่เห็นอยู่ก็คือใจที่มีสติเพียงใด เป็นใจที่ดีเพียงนั้น ใจที่ขาดสติเพียงใด เป็นใจที่บ้าๆบอๆเพียงนั้น
อ่านต่อ »