สติต้านกระแส
อ่าน: 3461พระนิพนธ์ แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๙ ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ยาวมาก แต่น่าอ่านครับ
ยานิ โสตานิ โลกสฺมิ……..สติ เตสํ นิวารณํ
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ…………ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเรพระพุทธภาษิตข้างต้นนี้ มีความว่า “กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เรากล่าวว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแส กระแสเหล่านั้นอันบุคคลปิดกั้นได้ด้วยปัญญา”
คำว่ากระแส ในภาษาทั่วไปหมายถึง สิ่งที่เคลื่อนไปเป็นแนวเป็นทางเรื่อยๆ เช่น กระแสลม กระแสน้ำ ความหมายทั่วไปของกระแสเป็นเช่นนั้น
แต่กระแสในพระพุทธภาษิตข้างต้นที่มีอยู่ในโลก เช่นเดียวกับกระแสน้ำกระแสลม แต่กระแสทั้งกระแสน้ำกระแสลมจัดเป็นรูปธรรมได้ เห็นได้ สัมผัสได้ แม้กระแสลมจะเห็นไม่ได้ด้วยตาเช่นสิ่งที่จัดเป็นรูปธรรมทั้งหลาย แต่สัมผัสที่ได้จากกระแสลมนั้นเหมือนดังสิ่งที่เป็นรูปธรรม
กระแสลมแตกต่างกับกระแสเสียง ที่น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเกินไปนัก กระแสเสียงที่สัมผัสหู แตกต่างกับกระแสลมที่สัมผัสกาย แต่ยากจะอธิบาย แม้จะเข้าใจได้ชัดเจนในความแตกต่างของกระแสลมกับกระแสเสียง
พระพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า “กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น” ก่อนอื่นควรต้องเข้าใจความหมายของคำว่าสติ เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของพระพุทธภาษิตว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงสอนไว้ ให้กั้นกระแสที่มีอยู่ในโลกด้วยสตินั้น ทรงหมายถึงอะไรที่ควรนำมากั้นกระแส
สติคืออะไร
สติคือความรู้ผิด รู้ชอบ รู้ชั่ว รู้ดี ความหมายของสติชี้ชัดถึงความสำคัญอย่างยิ่งของคำว่าสติ อะไรจะสำคัญสำหรับชีวิตยิ่งไปกว่าความรู้ผิดชอบรู้ชั่วดี ไม่มีแน่นอน ความผิดความชั่วที่ทำกันอยู่มากมาย โดยเฉพาะในทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุใด ที่สำคัญเท่ากับความขาดสติ ขาดความรู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่ว
ทำลงไปแล้วอาจได้สติ รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่ผิดที่ชั่วก็สายเกินไป ทำให้ต้องได้รับทุกข์โทษภัย จากการทำที่ไม่รู้ถูกไม่รู้ผิดไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว จึงพึงเห็นความสำคัญของสติให้อย่างยิ่ง และพึงพยายามอบรมสติให้เกิดมากๆ พยายามให้สติขาดไปจากใจให้น้อยที่สุด
โดยยกเหตุผลสำคัญที่สุดไว้เตือนตน คือนึกถึงประโยคที่พูดกันเสมอ ดังเช่นเรียกคนบ้า ว่าคนเสียสติ หรือคนเสียสติว่าคนบ้า ไม่มีใครอยากเป็นคนบ้า เราทุกคนไม่อยากถูกเรียกว่าคนบ้า ดังนั้นพากันพยายามอบรมสติให้เต็มความสามารถ ทุกเวลานาทีให้เตือนตนเองว่า สติ สติเราต้องมีสติ เราต้องมีสติ อย่าให้สติเสียไปจะเป็นคนบ้า
คนไม่มีสติ แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นคนบ้าก็ยังถูกตำหนิจากผู้รู้เห็นอยู่เสมอ ว่าเป็นคนขาดสติ ซึ่งไม่ใช่เป็นการยกย่อง แต่เป็นการตำหนิติเตียนในระดับที่ไม่น่าฟัง ซึ่งคำตำหนินี้พูดกันเกือบจะติดปากทีเดียว แสดงว่าพากันรู้ดี ว่าการขาดสติไม่ใช่ความดี แต่เพราะนำคำนี้มาพูดมาใช้ตำหนิกันจนกระทั่งฟังเป็นคำธรรมดา
ไม่เห็นความสำคัญของคำตำหนินี้ เป็นผลเสียที่สำคัญมากอยู่ เพราะทำให้พากันไม่เห็นความสำคัญของคำว่าสติ ทั้งๆที่สติเป็นคำสำคัญที่สุด ใจเป็นใหญ่ ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ชัดแจ้ง แต่สติก็เป็นใหญ่เหนือใจ ของทุกคน ผลที่เห็นอยู่ก็คือใจที่มีสติเพียงใด เป็นใจที่ดีเพียงนั้น ใจที่ขาดสติเพียงใด เป็นใจที่บ้าๆบอๆเพียงนั้น
คุณค่าของสติ ที่เห็นได้ชัดพอสมควรก็คือเป็นคุณสมบัติของคนไม่บ้า ถ้าไม่อยากเป็นคนบ้า ก็ต้องพยายามอย่าขาดสติ คือ พยายามมีสติไว้ให้เสมอ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรเมื่อไร อย่าลืมสติ
คืออย่าลืมรู้ตัวในการคิดว่าถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว อย่าลืมรู้ตัวในการพูด คือก่อนจะพูดอะไร ให้รู้ว่าที่จะพูดจะผิด หรือที่จะพูดจะถูก ถ้ามีสติรู้ว่าพูดออกไปจะผิด ก็ต้องไม่พูด จะพูดออกไปต่อเมื่อคิดแล้ว แน่ใจแล้วว่าจะเป็นการพูดไม่ผิด จะเป็นการพูดถูก
การทำก็เช่นเดียวกับการพูด ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อย่าลืมสติ สติสำคัญเสมอ สติสำคัญมากที่สุด ไม่ว่าจะคิดอะไร ไม่ว่าจะพูดอะไร ไม่ว่าจะทำอะไร แม้ต้องการรักษาตนให้เป็นคนดี ต้องไม่ลืมความสำคัญของสติ ต้องไม่ลืมโดยเด็ดขาด
คนลืมสติ หรือคนขาดสติ แม้ยังไม่ถึงขนาดเป็นคนบ้าคนบอ แต่ก็จะเป็นคนขาดสิ่งสำคัญนานาประการ ที่ไม่ควรขาดอย่างยิ่ง
ตัวอย่างที่สำคัญและน่าจะยกขึ้นบอกตัวเอง ก็คือพระพุทโธ อันเป็นยอดมงคล ยอดสิริของทุกคน ของทุกชีวิต คือคำพระพุทโธ ที่มีความหมายสูงสุดของพระผู้ทรงสูงสุดด้วยมหาสิริ มหามงคล คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของพรหมเทพและมนุษย์
การมีสติ ไม่ลืมพระพุทโธ เป็นความมีสติที่สำคัญมาก สำคัญจริง แต่เพราะส่วนมากไม่คิดให้ดี ไม่คิดให้รอบคอบ จึงไม่อาจเข้าใจได้อย่างถูกต้องตามความจริง ว่าเมื่อไม่มีความรู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ชั่ว ความไม่เห็นค่าสูงส่ง ของคำพระพุทโธ ก็จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากขาดสติ เพราะไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ที่จะเกิดในจิตใจในความคิดของตน
ที่ไม่มีสตินึกถึงพระพุทโธพร้อมกับมีความสำนึกจริงใจ ว่าใจของเราอยู่กับพระพุทโธ คืออยู่กับพระพุทธองค์แทบเบื้องพระพุทธบาท เราไม่เพียงแต่ท่องพระพุทโธ พระพุทโธ เหมือนแบบนกการ้อง
ใจเราอยู่กับพระพุทโธ พร้อมกับที่ใจเรานึกถึงพระพุทโธ พระพุทโธ เช่นนี้แล้วไม่มีที่สติจะหลุดพ้นไปจากใจได้ ไม่มีที่เราจะเป็นคนไม่ดี ที่คิดผิด พูดผิด ทำผิดได้ต่างๆนานา อันล้วนจะนำมาแต่ความเสื่อมเสียมากมายหลายประการ
ที่จริง ขอพูดตามความจริง ว่าสติไม่จำเป็นต้องพึ่งพระพุทโธก็เกิดได้ ก็มีได้ ที่อัญเชิญพระพุทโธมากล่าวไว้แต่ต้น ก็เพราะสติที่เกิดพร้อมพระพุทโธนั้นเป็นสติระดับสำคัญที่สูงส่งยิ่งนัก มีผลเกินกว่าสติที่เกิดแต่อะไรอื่นทั้งปวง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสูงส่งเพียงใด คำพระพุทโธมีความสูงส่งเพียงนั้น
การมีสตินึกถึงพระพุทโธ อัญเชิญคำพระพุทโธสู่จิตใจด้วยใจที่อยู่เบื้องพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา อย่างจริงจัง มิใช่สักแต่ว่าท่องพระพุทโธ พระพุทโธ เหมือนท่องสูตรคูณ สองหนึ่งเป็นสอง สองสองเป็นสี่ อะไรทำนองนี้ ที่เป็นการท่องที่คล่องปากเท่านั้น
อย่าท่องพระพุทโธแบบท่องสูตรคูณ แต่จงส่งจิตใจไปอยู่แทบเบื้องพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา พระผู้ทรงเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นซึ่งคำพระพุทโธ เช่นนี้จะมีคุณยิ่งใหญ่เหนือคุณใดทั้งนั้น เป็นคุณที่เป็นสิริมงคลอย่างมหัศจรรย์พันพรรณานา
จะเป็นคนมีปัญญาที่สุด มีสิริมงคลชีวิตที่สุด ชีวิตได้บรรลุถึงจุดสูงสุดที่สุด แม้พยายามมีสติ มีพระพุทโธ และมีใจส่งไปอยู่แทบเบื้องพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์แห่งพระพุทโธ ให้สม่ำเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออก
เราทุกคนคิดพูดทำที่ยากลำบากนักหนาอยู่แทบทุกลมหายใจเข้าออก เพราะความปรารถนาอย่างเดียว คือได้มีชีวิตที่สูงส่งไม่น้อยหน้าใคร ได้เป็นคนสำคัญในความรับรู้ของผู้คนทั้งหลาย
ขอให้คิดถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า “ทุกสิ่งทำเร็จด้วยใจ” และน่าจะเชื่อได้สนิทใจ ว่าใจที่มีพระพุทโธนั้นเป็นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความสำคัญจากใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ย่อมเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแน่นอน
พระพุทโธที่มีอยู่ในใจ โดยใจรู้สึกด้วยว่าอยู่แทบเบื้องพระพุทธบาท นั่นก็คือการมีสติที่สูงส่งที่สุดในจิตใจ ผลที่จะเกิดตามมาย่อมสูงส่งเสมอเหตุ คือสติ และสตินั้นมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ชัดแจ้งว่า เป็นเครื่องกั้นกระแส กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น
ถ้าคิดให้ดี จะเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของสติ กระแสที่มีอยู่ในโลกมากมายนัก และมีอันตรายแก่ผู้ถูกกระแสกระทบอย่างแน่นอน ดังนี้จึงเป็นเครื่องส่อแสดงคุณที่สำคัญอย่างยิ่งของสติ คือความรู้ผิด รู้ชอบ รู้ชั่ว รู้ดี
กระแสในโลก คือสิ่งที่เคลื่อนเป็นแถวเป็นแนวไปเรื่อยๆ และจะกระทบกระแทกคนทั้งหลายไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเรา อาจจะเป็นเขา ผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ทั้งสิ้น และกระแสจะกระทบหนักเบาเพียงไรก็ได้
สำคัญที่ผู้ถูกกระแสกระทบจะมีสติหรือไม่มีสติเพียงไหน พระพุทธภาษิตชี้ชัดว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งนั้น ที่มีอยู่ในโลก มีทั้งกระแสที่แลเห็นได้ด้วยตา ที่สัมผัสได้ด้วยกาย ที่รับได้ด้วยใจ ทั้งหมดเป็นกระแสที่มีอยู่ในโลก ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธภาษิตไว้ ความว่าบุคคลปิดกระแสได้ด้วยปัญญา โดยมีสติเป็นเครื่องกั้น
กระแสทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงว่ามีสติเป็นเครื่องกั้นมีปัญญาเป็นเครื่องปิดกั้น ควรต้องทำความเข้าใจพระพุทธภาษิตอย่างประณีตในความหมายของคำที่ทรงใช้ คือกั้นและปิดกั้น
สติเป็นเครื่องกั้นกระแส ปัญญาเป็นเครื่องปิดกั้น เมื่อให้ความสนใจพอสมควรย่อมเห็นความแตกต่างของการใช้สติและใช้ปัญญา สติเพื่อกั้น ปัญญาเพื่อปิดกั้น
กั้นก็มีความหมายอย่างหนึ่ง ปิดก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง อ่านเผินๆ หรือฟังเผินๆตลอดถึงคิดเผินๆ ก็น่าจะไม่เข้าใจหน้าที่ของสติ และหน้าที่ของปัญญา ที่สำคัญไม่เสมอกัน มียิ่งใหญ่กว่ากัน เพราะปิดและกั้นมีความหมายที่สำคัญกว่ากัน
กั้น มีความหมายว่ากัน กันไว้ เช่น กั้นน้ำหรือกันน้ำไม่ให้ไหลเข้าบ้าน กั้นคนหรือกันคนไว้ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตหวงห้าม
ใช้คำว่ากั้นในความหมายของคำว่ากันได้ด้วยเช่นที่ใช้ว่าสติเป็นเครื่องกั้น กระแส กระแสยังมีอยู่ และยังพร้อมอยู่ที่จะเข้าถึงผู้มีสติ แต่ใช้สติกั้นไม่ให้กระแสเหล่านั้นเข้าถึง อันจะเกิดผลไม่ดี ไม่เป็นที่ปรารถนา
นั่นก็คือตราบใดยังใช้สติได้ดี มีพลังอำนาจกันได้กั้นได้ ไม่ให้กระแสอันไม่พึงปรารถนาเข้ากระทบถึง ตราบนั้นกระแสก็จะเพียงพรั่งพรูเข้าสู่ แต่ไม่อาจกระทบกระทั่งได้อย่างไร เพราะมีสติเป็นเครื่องกั้นอยู่มีสติเป็นเครื่องกั้นไว้ได้
ขาดสติเมื่อไร ก็เมื่อนั้นที่กระแสทั้งหลาย ที่ยังไหลพรั่งพรูเข้าสู่อยู่ จะสามารถเข้าได้ ทำลายความคิดจิตใจได้ ไม่มากก็น้อย สติมีหน้าที่และมีความสำคัญเช่นนี้ แตกต่างกับหน้าที่ของปัญญา
ปัญญา มีหน้าที่สำคัญกว่าสติ สติเพียงกันไว้ กั้นไว้ ไม่ให้กระแสเข้าไปในขอบเขตเป็นที่หวงห้าม เปรียบสติเป็นยาม ที่มีอาวุธในมือ เงือดเงื้อขู่ไม่ให้ผู้ไม่เป็นที่ปรารถนาเข้าไปในเขตหวงห้าม
ผู้จะล่วงล้ำก็จะแสดงแผลงฤทธิ์ต่างๆ นานาอยู่ได้เพียงภายนอกขอบเขตเท่านั้น ล่วงล้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่ได้ตราบเท่าที่ยังมีสติกั้นอยู่ แต่ปัญญาไม่มีหน้าที่เป็นเพียงยาม ที่ถือไม้พลองกระบอกสั้นไว้ขู่กระแสไม่ปรารถนาทั้งนั้น ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าเขตไม่ประสงค์เท่านั้น
แต่ปัญญามีอำนาจยิ่งใหญ่ปัญญาสารถทำลายกระแสได้ ปัญญาสามารถตัดกระแสได้ ถึงให้ขาดหาย ไม่หลงเหลือทำความวุ่นวายแม้เล็กน้อยเพียงใดให้เกิดแก่จิตใจที่มีปัญญาได้ เลย นี้ที่เป็นความสำคัญในพระพุทธภาษิตบทหนึ่ง
กระแสที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด เป็นกระแสเล็กกระแสน้อย หรือกระแสใหญ่กระแสโต เพียงใดก็ตาม กระแสเหล่านั้นมีกระแสกรรมเป็นจุดรวม กระแสทั้งหลายเกิดแต่กระแสแห่งกรรมแน่นอน และเมื่อกล่าวถึงกรรมก็หมายถึงทั้งกรรมดีคือบุญกุศล และทั้งกรรมชั่วคือบาปอกุศล
เพียงเท่านี้ก็ควรจะเข้าใจได้ ว่ากระแสทั้งปวงในโลกมีมากมายเพียงใด โดยเฉพาะกระแสของกรรมไม่ดีจะกระทบกระแทกคนในโลกรุนแรงเพียงใด เครื่องกั้นคือสติ จำเป็นต้องได้รับการอบรมให้เข้มแข็ง ให้ไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับกระแสในโลก ที่มีไม่ขาดสาย ติดต่อกันเข้ารุมเล่นงานผู้คนในโลก
โดยไม่เลือกว่าเป็นคนดีหรือคนไม่ดี ไม่เลือกว่าเป็นผู้ควรได้รับการจู่โจมกระทบกระแทกให้ชอกช้ำเพียงใดหรือไม่ กระแสในโลกไม่น่ากลัวมาก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระมหากรุณาห่วงใยทุกชีวิตทุกผู้คนที่จะต้องเผชิญกับ กระแสในโลก จึงทรงชี้วิธสู้กับกระแสว่าต้องใช้สติสู้ ให้สติกั้นกระแสไว้ ไม่ให้กระแสเข้าทำร้ายชีวิตจิตใจได้เต็มที่
สติคือความรู้ผิดชอบชั่วดี กระแสสายหนึ่งคือกระแสแห่งความโลภ อันเป็นกิเลสที่คนทั่วไปมีอยู่ แตกต่างกันที่บางคนมีน้อย บางคนมีมาก การลักขโมยปล้นจี้เกิดจากถูกกระแสแห่งความโลภเข้ากระแทกกระทั้นทั้งสิ้น
พูดเช่นนี้คงจะเข้าใจ คงจะเห็นความขาดสติของบรรดาผู้พ่ายแพ้ต่ออำนาจของกระแสแห่งความโลภ ลืมความรู้ผิดชอบชั่วดีอย่างสิ้นเชิง ความขาดสติเช่นนี้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีในกรณีเช่นนี้ ย่อมไม่อาจกั้นกระแสกรรมได้
การลักขโมยปล้นจี้จึงเกิดกระแสแห่งความโลภที่ไม่มีเครื่องกั้นคือสติ ย่อมนำไปสู่กระแสแห่งทุกข์โทษภัยของการเป็นผู้ร้าย ที่อาจรุนแรงถึงทำลายชีวิตเขาและชีวิตตนเองได้ เหตุก็เพราะขาดสติ ไม่มีเครื่องกั้นกระแสแห่งกรรม
เป็นผู้ร้าย ทำลายชีวิตเขา ก็เพราะถูกแรงกระแทกแห่งกระแสความโลภ ที่ขาดสติ ขาดเครื่องช่วยกั้นแรงแห่งกระแสให้ไม่รุนแรงเต็มที่ บรรดาผู้ร้ายทั้งหลายไม่รู้จักคำว่าสติ ไม่รู้ว่ามีคำสติอยู่ในโลก ไม่เคยสอนตนเองว่าสติคือความรู้จักผิดชอบชั่วดี
เมื่อใดโทษของความขาดสติเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เช่น ปล้นจี้เข่นฆ่าผู้ตกเป็นเหยื่อแล้ว ถูกจับได้แล้ว ต้องรับโทษอันควรแก่การกระทำที่เป็นไปตามกำลังแห่งกระแสของความโลภ โดยไม่มีสติเป็นเครื่องกั้น แม้เล็กน้อยเพียงใด
กระแสแห่งความโลภนั้น แม้จะหนักหนารุนแรงเพียงใด แต่ถ้ามีสติอยู่บ้างไม่มากก็น้อย กระแสนั้นก็ย่อมบรรเทาความหนักหนาลงได้ อาจไม่มีการเข่นฆ่าประหัตประหารผลาญชีวิตกันเพียงเพื่อได้มาซึ่งเงินไม่กี่ ร้อยบาทและตนเองก็อาจต้องสละชีวิตเพื่อรับโทษแห่งกระแสความโลภ ที่ไม่มีสติเข้ากั้นความแรงเลย
ความรู้จักพอก็เป็นสติอย่างหนึ่ง ที่จะยับยั้งกระแสความโลภได้ เท่ากับเป็นการกั้นกระแสนั้นไม่ให้หลั่งไหลเข้าท่วมหัวจิตหัวใจท่วมความรู้ ดีรู้ชั่ว ความรู้จักพอจะทำให้มีความสุขได้กับภาวะฐานะของตน มีเงินไม่มากมาย แต่พอมีเงินพอกินไม่เดือดร้อน ก็ไม่ดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่ถูกต้อง
ซึ่งผลจะดีโดยตลอดสายหาได้ไม่ อย่างน้อยความดิ้นรนไม่รู้จักพอก็จะเป็นความเร่าร้อนแผดเผาจิตใจ เป็นกระแสที่ไม่มีเครื่องกั้น ไม่มีสติ ทุกคนน่าจะพยายามเห็นความสำคัญของสติให้มาก อย่าเห็นความสำคัญของเงิน ของอำนาจ ของความเป็นใหญ่ จนลืมสติ คือความรู้ผิดชอบชั่วดี
ความไม่รู้จักพอ มีโทษในตัวเองที่ร้ายแรง แต่ไม่ค่อยจะเห็นกันไม่ค่อยจะนึกถึงกัน ลงท้ายกระแสของความไม่รู้จักพอก็จะทำลายได้ หนักเบาเพียงไร อยู่ที่ความไม่รู้จักพอนำไปสู่จุดหมายใด สูงต่ำเพียงใด สูงมากเมื่อตกก็เหมือนตกจากที่สูงมาก ย่อมแหลกเหลวมากเป็นธรรมดา
นั้นอย่าไม่เห็นความสำคัญของสติ อย่าลืมมีสติ เตือนตนเอง ให้รู้ไว้บ้าง ว่ากำลังคิด กำลังพูด กำลังทำ ที่ถูกผิด หรือดีชั่วอย่างไร สติจะช่วยกั้นไม่ให้กระแสแห่งทุกข์โทษภัยเกิดแก่ชีวิตได้หนักหนานัก
ความจริงที่สำคัญควรกล่าวไว้ ก็คือสติและปัญญากับความมีเมตตากรุณานั้นเนื่องกันอยู่จะว่าเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันก็น่าจะได้ อันเมตตานั้น รู้กันได้ด้วยพระคุณที่แสดงออก สำหรับผู้มีเมตตาจะรู้ตนได้ด้วยความเย็นในจิตใจ
ใจที่เย็นเป็นใจที่สงบง่าย เป็นใจที่ไม่วุ่นวายด้วยความร้อนแห่งกระแสความปรารถนาต้องการ นานาประการ ใจที่สงบ ใจที่ไม่ซัดส่ายวุ่นวาย เป็นใจที่มีสติ มีปัญญา
สติและปัญญานั้น เมื่อประกอบกัน ย่อมเป็นกำลังสำคัญ ที่จะสามารถกั้นกระแสแห่งความไม่ดีงามทั้งหลาย ให้ยุติได้โดยดี ไม่ให้กระแสเหล่านั้นมีอำนาจชั่วร้ายเหนือจิตใจ เช่น เมื่อกระแสแห่งความโลภหลั่งไหลเข้ามา สติระลึกได้ จะรู้สึกรู้ถึงโทษของความโลภ ปัญญาจะเห็นลู่ทางปิดกั้นกระแสแห่งความโลภ มิให้เข้าท่วมท้นจิตใจ
กระแสแห่งความโกรธก็ตามกระแสแห่งความหลงก็ตาม จะถูกปิดกั้นได้ด้วยกำลังอันแข็งแรงแห่งสติและปัญญา เช่นเดียวกับกระแสแห่งความโลภนั่นเอง
ปุถุชน คือผู้ยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล ย่อมยังตกอยู่ในกระแสแห่งความโลภ กระแสแห่งความโกรธ กระแสแห่งความหลง แม้ไม่มีสติเพียงพอ ไม่มีปัญญาเพียงพอ ย่อมตกเป็นทาสของกระแสแห่งกิเลสสามกองนั้น อันเป็นสิ่งไม่มีคุณแท้จริงแม้แต่น้อย มีแต่โทษสถานเดียว
โทษของความโลภ แม้มองเพียงผิวเผินย่อมเห็นได้ยาก แต่ที่จริงความโลภมีโทษเป็นอันมาก การละเมิดศีลมีความโลภเป็นเหตุอยู่เป็นอันมาก ทั้งลักขโมยปล้นจี้ ทั้งล่วงประเวณี ทั้งทำลายชีวิต ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดได้จากความโลภ เกิดได้จากถูกกระทบกระแทกจากกระแสแห่งความโลภ
ผู้มีปัญญา มีสติสามารถปิดกั้นกระแสแห่งความโลภได้ ย่อมรักษาศีลได้ด้วยดี ย่อมรักษาใจให้เป็นปกติได้ เช่นเดียวกับความมีสติ ความมีปัญญาย่อมสามารถปิดกั้นกระแสแห่งความโกรธได้ ปิดกั้นกระแสแห่งความหลงได้
เมื่อกั้นกระแสแห่งความโลภได้ กระแสแห่งความโกรธได้ กระแสแห่งความโกรธได้ กระแสแห่งความหลงได้ ปิดโทษแห่งกระแสเหล่านั้นได้ ใจย่อมเป็นปกติ เพราะย่อมรักษาใจไว้ได้ให้เป็นปกติอยู่ เมื่อสามารถปิดกั้นกระแสแห่งความโลภได้ กระแสแห่งความโกรธได้ กระแสแห่งความหลงได้
เพียงเท่านี้ย่อมสามารถปิดกั้นกระแสทั้งหมดอันมีอยู่ในโลกได้ ใจจะไม่ตกจมอยู่ในกระแสกิเลส พ้นจากภาวะเช่นคนว่ายน้ำไม่เป็นตกลงในทะเลโคลน สำลักน้ำโคลน น้ำโคลนเข้าหู เข้าตา เข้าจมูก เข้าปาก จนถึงเข้าปอด สิ้นความสามารถจะช่วยตัวเองได้
การขาดสติ ขาดปัญญา ไม่สามารถปิดกั้นกระแสแห่งกิเลสได้ จะมีผลที่ร้ายแรงกว่าตกทะเลโคลน อย่างประมาณมิได้ จึงผู้มีปัญญาพากันไม่ประมาท เพียงรอบรมสติ อบรมปัญญา เพื่อให้แกร่งกล้า สามารถปิดกั้นกระแสทั้งปวงแห่งกิเลสในโลกได้
ปิดกั้นกระแสในโลกได้ กระทบกระแทกใจ ย่อมปิดกั้นเสียงยกย่องสรรเสริญมิให้ลืมตนได้ มิให้หลงตนได้ ย่อมปิดกั้นเสียงนินทาว่าร้ายได้ มิให้ทำจิตให้เศร้าหมองได้ มิให้สิ้นกำลังใจแม้ที่จะทำดีได้ เพียงเท่านี้ก็สำคัญอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างน้อยจึงพึงใช้สติ ใช้ปัญญา ปิดกั้นกระแสแห่งกิเลส ให้เกิดประโยชน์นี้ ให้จงได้
อยู่ในโลก ย่อมประสบโลกธรรม แม้เพียงสองประการ คือนินทาและสรรเสริญ ไม่มีผู้ใดพ้นได้ จึงมีคำกล่าวว่าแม้พระพุทธปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา
นั่นก็คือแม้พระพุทธปฏิมา คือ พระพุทธรูป ยังถูกตำหนิติว่าสารพัด พระพักตร์ไม่งาม พระหัตถ์ไม่สวย ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปรากฏ คนเดินดิน คือเราทั้งหลาย จะไม่ถูกนินทาว่าร้ายร้อยแปดพันเก้าได้อย่างไร จึงพงใช้สติ ใช้ปัญญา ปิดกั้นกระแสนี้ ให้เต็มกำลังความสามารถ
ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทสองพระผู้สุขุมาลชาติ บรมกษัตริย์ และบรมขัตติยานีนาถ ซึ่งมิได้เคยทรงพ่ายแพ้แก่กระแสแห่งกรรม กำลังพระราชหฤทัยเข้มแข็งองอาจสม่ำเสมอเป็นนิตย์ เป็นเหตุให้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานาประการ
อย่างทรงเบิกบานสงบเย็น ไม่ทรงละเว้นการใด ที่ไม่พึงละเว้น ความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดีจึงเกิดมีได้ในสยามประเทศนี้ ยิ่งกว่าที่มีในประเทศทั้งหลายอื่นทั่วทั้งโลก
เมื่อกระแสแห่งโลกธรรมสองประการคือนินทา และสรรเสริญ ที่ไม่มีผู้ใดอาจพ้นได้แม้พระพุทธปฏิมา ผู้มีปัญญาเมื่อปรารถนาจะปิดกั้นกระแสทั้งสองนั้น จึงต้องเร่งอบรมสติอบรมปัญญา ให้แข็งแกร่ง
ให้สามารถผจญกระแสแห่งโลกธรรมได้อย่างสงบเย็น ด้วยอำนาจของสติของปัญญา ที่อำนาจอื่นหาอาจช่วยได้ไม่ ไม่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงร้ายกาจแห่งเสียงนินทา และเสียงสรรเสริญ ซึ่งเราทุกคนต้องหนีไม่พ้น
ทุกวันนี้โลกไร้แสง โลกมืด โลกมีภัยที่หนีกันไม่พ้น การสูญเสียชีวิตของผู้คนมีมากมาย แทบจะไม่มีวันว่างเว้น สมบัติพัสถานถูกทำลายแหลกลาญมากนัก ทั้งภัยจากน้ำ ภัยจากไฟ ภัยจากลม และที่ใหญ่ยิ่งที่สุด คือภัยจากความโหดเหี้ยมอำมหิตของกิเลสมนุษย์ ทั้งหญิง ทั้งชาย
การตายด้วยสูญเสียชีวิต การหมดสิ้นซึ่งสมบัติพัสถาน เป็นหายนะแบบหนึ่งซึ่งหนักหนาแก่ทุกจิตใจที่ต้องถูกกระทบกระแทกอันเป็นเหตุ ให้ความวิตกกังวลหวาดหวั่นพรั่นพรึงเกิดท่วมบ้านท่วมเมือง หาความสุขสงบเย็นเช่นที่เคยเป็นมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้อีกแล้ว
นินทาและสรรเสริญ อันเป็นกระแสแห่งกรรม แห่งโลกธรรม ที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นเหตุแห่งทุกข์โทษภัยนานาประการ แก่จิตใจที่ขาดสติ ขาดปัญญา เมื่อผจญกับกระแสเสียงสรรเสริญก็ตาม กระแสเสียงนินทาก็ตาม ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาในการปิดกั้น ปล่อยให้เข้าไปทำร้ายจิตใจ หนักหนาเพียงไรก็ได้ เพียงไม่หนักหนานักก็มี
กระแสแห่งเสียงนินทาน่าจะหนักหนารุนแรงกว่ากระแสแห่งการยกย่องสรรเสริญ ดังที่เห็นอยู่ก็เช่นนี้ คือโบราณท่านว่าไว้ว่าจะถึงสมัยหนึ่งที่คนดีจะต้องเดินตรอก ขี้ครอกจะได้เดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
ผู้ใหญ่ในสมัยโบราณ ท่านอธิบายให้ลูกหลานเข้าใจความหมายของคำที่ว่านี้ คือคนดีจะถูกเหยียบย้ำ จนไม่อาจเผยอหน้าให้ใครเห็นได้ คนชั่วร้ายจะได้รับการยกย่อง จนแทบจะล่องลอยฟ้า
ผู้ใหญ่สมัยก่อนที่ท่านเป็นผู้ดี เป็นคนดี ท่านสอนลูกสอนหลานให้มีเหตุผลในการพูด ในการฟัง นั่นก็คืออย่าไม่มีเหตุผล ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ในการพูด ในการฟัง ใครพูดอะไร ใครบอกอะไร ได้ยินก็เชื่อก็ฟังก็พูดต่อ
ท่านว่านี้เป็นเหตุสำคัญให้ถึงสมัยผู้ดีต้องเดินตรอก น่าจะหมายความว่าผู้ดี หรือคนดี ถูกประณามหยามเหยียด จนอับอายขายหน้า ไม่อาจให้ใครเห็นหน้าค่าตาได้
พิจารณาให้เห็นเหตุผล น่าจะเห็นได้ว่าเสียงนินทามีความสำคัญไม่น้อย ทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี หรือคนถูกกลายเป็นคนผิดไปได้มากมายยิ่งขึ้นในทุกวันนี้ จนเป็นเหตุให้มีคำกล่าวว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม หรือผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนนนั่นเอง
ได้ยินใคร พูดถึงใคร อย่างไร ถ้าเป็นผู้ได้ยิน ที่ไม่เคยพบเคยผ่านเรื่องราวที่ฟังเสียง บอกเสียงเล่าด้วยตนเอง ไม่รู้จักผู้ที่ถูกกล่าวถึงไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นด้วยตนเอง
ในการพูดการทำของแต่ละคนนั้น เขาจะเป็นคนดีคนชั่ว หรือเป็นคนถูกคนผิดอย่างไร แม้ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟัง จากปากเขาเป็นภาพเป็นเสียงจากคนอื่นทั้งสิ้น แม้คนอื่นนั้นเราจะพอรู้จักอยู่ แต่ก็จงมั่นคงในสติปัญญาของตน จงรอบคอบให้อย่างยิ่ง ในการเชื่อ
ผู้รอบคอบในการเชื่อ ก็คือรอบคอบในการฟัง เมื่อเป็นผู้รอบคอบในการเชื่อ ก็ย่อมเป็นผู้รอบคอบในการพูดด้วย เป็นธรรมดา
การนินทาว่าร้ายที่เต็มไปทุกแห่ง ทั่วโลกก็ว่าได้ มิได้เกิดแต่เหตุใดอื่น แต่เกิดจากความเชื่อ และนอกจากความเชื่อ ก็คือความอิจฉาริษยาที่ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”
จะกล่าวว่าการนินทาว่าร้าย เป็นเหตุให้โลกฉิบหาย ก็น่าจะไม่ผิด น่าจะเหมือนกันกับที่ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” เพราะการนินทาว่าร้ายจะไม่เกิด แม้ไม่มีความอิจฉาริษยาเป็นเหตุ เมื่อได้ฟังการนินทาว่าร้าย ก็ควรไม่ลืมพระพุทธภาษิตที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”
ได้ยินเสียงนินทาว่าร้าย ไม่ว่าจะจากผู้ใดก็ตาม ให้นึกถึงพระพุทธภาษิตทันที่ ที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”
อย่ายอมเข้าร่วมในการนินทาว่าร้าย หรือในความริษยา แม้เพียงด้วยการเชื่อ โดยมิได้บอกกล่าวเล่าขานต่อไปก็ตาม
แต่ถ้าเชื่อตามเสียงนินทาว่าร้าย และเป็นการเชื่อด้วยจริงใจ เชื่ออย่างปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากคำบอกเล่า ของเขาอื่น ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ น่าไว้ใจ มีความจริงใจ มีความหวังดี ในการนำเรื่องมาบอกกล่าวเล่าให้ฟัง จงรอบคอบให้อย่างยิ่งในการฟัง
ไม่ว่าผู้พูดผู้เล่าจะเป็นใครก็ตาม นึกไว้อย่างหนึ่งว่าการนินทาว่าร้าย ถ้าจริงก็เสียหายแก่ผู้พูดผู้ฟังพอสมควร แต่ถ้าไม่จริง ไม่เพียงแต่ผู้พูดจะเสียหายอย่างยิ่ง ผู้ฟังผู้เชื่อก็จะเสียหายมาก
พระพุทธภาษิตมีกล่าวไว้เป็นสัจจะ ว่า “โลกถูกจิตนำไป ถูกจิตชักไป, สัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิตอย่างเดียว”
ผู้ใดมีจิตที่ตกอยู่ในอำนาจความเชื่อเสียงบอกเล่า โดยไม่พินิจพิจารณาให้รอบคอบ ว่าเป็นการบอกเล่าที่เป็นความจริงหรือไม่จริงอย่างไร อันตรายเกิดจากความเชื่อนั้นย่อมมีแน่นอน และจิตนั้นย่อมจะนำโลกไปตามอำนาจจิตที่มีความเชื่ออันไม่ถูกต้องแน่นอน
“ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย”
ก็เกิดแต่ริษยาที่เกิดในจิต จิตที่มีริษยานั่นเองที่จะนำโลกไปสู่ความฉิบหาย ผู้มีจิตริษยามุ่งมั่นจะทำความฉิบหายให้เกิดแก่ผู้ที่เขาริษยา โดยหารู้ไม่ว่าผู้จะถูกโทษของความริษยาก่อนผู้ใดทั้งนั้น คือเจ้าตัวผู้เป็นเจ้าของจิตริษยานั่นเอง
แม่ปูเดินคดเคี้ยวยังนำลูกปูให้เดินคดเคี้ยวตามด้วย ฉันใด จิตเป็นอย่างไร ดีชั่วอย่างไร ย่อมนำเจ้าของจิตไปอย่างนั้น ฉันนั้นและจิตนั้นเป็นพลังยิ่งใหญ่ เป็นพลังนำโลกมิใช่เป็นเพียงพลังนำอะไรอื่นที่เล็กน้อย
เมื่อใช้เหตุผลพิจารณา ย่อมเห็นชัดว่าโลกทุกวันนี้เร่าร้อนรุนแรง เพราะจิตของผู้อยู่ในโลกเร่าร้อนรุนแรง โลกสกปรก เพราะจิตของผู้อยู่ในโลกสกปรก โลกเต็มไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมเพราะจิตของผู้อยู่ในโลกอำมหิตโหดเหี้ยม โลกเต็มไปด้วยความทรยศคดโกง เพราะจิตของผู้อยู่ในโลกมีแต่ความทรยศคดโกง
โลกเต็มไปด้วยความอกตัญญู โลกเต็มไปด้วยตัณหาราคะ เพราะจิตของผู้อยู่ในโลกมากด้วยตัณหาราคะ การจะแก้ไขให้โลกพ้นจากสภาพน่าประหวั่นพรั่นพรึง จึงทำอย่างอื่นไม่ได้ ต้องทำใจเท่านั้น ให้พ้นจากสิ่งที่ควรประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด คือความสกปรกด้วยความโลภความโกรธความหลง
ความเสื่อมทุกวันนี้ ที่พากันเห็นอยู่ มิได้เกิดแต่อะไรอื่นแน่นอน หากเกิดแต่อำนาจแห่งจิตที่กำลังเสื่อมจากคุณงามความดี จากศีล จากธรรม ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ทุกเวลานาที อำนาจเงินกำลังครองใจ กำลังครองไทย เช่นเดียวกับที่กำลังครองโลก
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระพุทธภาษิตบทใดแสดงว่าเงินจะเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย มีแต่บทที่ว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” ความริษยาจึงน่ากลัวนัก
“ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” พระพุทธภาษิตนี้ชี้ชัดให้เห็นความไม่เป็นมงคลของความริษยา ความริษยามีอยู่ในจิตใจผู้ใดจึงอาจกล่าวได้แน่นอน ว่าจิตใจผู้นั้นไม่มีมงคลอย่างที่สุด
ความริษยานั้น แม้เพียงเกิดขึ้นในจิตใจไม่ทันได้ก่อให้เกิดความฉิบหาย ดังในพระพุทธภาษิต แต่จะหาความสงบสุขจากการมีความรู้สึกอันเป็นความริษยาไม่ได้ แม้ความรู้สึกอันไม่เป็นมงคลนั้นจะยังไม่ทันปรากฏเป็นกิริยาวาจา ยังไม่เป็นการมุ่งร้ายทำความฉิบหายให้เกิดแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ใจที่ความริษยาเข้าครองแล้วก็เร่าร้อน ก็เผาผลาญตัวเอง ไม่อาจมีความสงบสุข อันเป็นมงคลแก่จิตใจ ยิ่งกว่าสุขอื่น
ฟังดูไม่น่าเชื่อ ที่กล่าวว่าความสงบแห่งจิตใจเป็นมงคล เพราะดูไม่น่าจะเกี่ยวกันอย่างไร ความสงบกับความเป็นมงคล จำเป็นต้องคิดให้ลึกสักเล็กน้อย ความสงบของจิตใจหมายถึงความที่จิตใจถูกกิเลสรบกวนน้อยมาก
ถ้าใจสงบก็หมายความว่าใจไม่วุ่นกับกิเลส และนี่แหละคือมงคล สิ่งที่ไม่เป็นมงคลมากที่สุดสำหรับมนุษย์ คือ กิเลส ราคะหรือโลภะ โทสะ และโมหะ สามกองนี้คือกิเลส ที่ไม่เป็นมงคลมากที่สุดสำหรับทุกคน พิจารณาให้ดี จะเห็นว่าเป็นจริง
โลกคือกระจกเงาบานใหญ่ ส่องให้เห็นชัดเจนที่สุด ถึงจิตใจของผู้คนทั้งหลายในโลก เมื่อจิตใจของผู้คนทั้งหลายในยุคนี้สมัยนี้ถูกครอบงำหนาแน่นด้วยความสกปรก ของกิเลส สิ่งไม่เป็นมงคล การกระทำคำพูดที่แสดงออกจึงเป็นไปตามอำนาจของจิต
เป็นเหตุให้โลกที่จิตมนุษย์นำอยู่ เป็นโลกที่สกปรกต่ำช้าน่าประหวั่นพรั่นพรึงไปด้วย และเราก็พากันตำหนิติเตียนยุคนี้สมัยนี้ ว่าไม่สงบงดงามเหมือนในอดีต โดยหาได้คิดไม่ ว่าใจของมนุษย์เรานี้แหละที่สร้างความสกปรกต่ำช้าขึ้นครองโลก ควรได้พยายามแก้ไขใจของเราเองแต่ละคน ให้เป็นส่วนสร้างโลกให้ร่มเย็นเป็นสุข
ยังไม่สายเกินไป ที่จะแก้ไขให้โลกของเรานี้กลับสู่สภาพที่มีความสงบสุขเช่นในอดีตกาลนานไกล อีกครั้งหนึ่ง ถ้าทุกคนจะทำหน้าที่ตอบแทนพระเดชพระคุณสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์จักรีให้เต็มสติปัญญาความสามารถ พยายามทำตนให้เป็นจุดหนึ่งที่ดีงามของประเทศชาติ และของโลก
เมื่อหลายจุดที่ดีงามรวมกันเข้าโลกที่กำลังมืดก็จะสว่าง มีความดีงามน่ารื่นรมย์ คลายความน่าสะพรึงกลัวได้ ไม่มากก็น้อย
อย่างเพียงแต่พากันบ่น พากันว่า แต่ทุกคนจงยื่นมือเข้าช่วยแก้ไข ให้โลกนี้พ้นภัยจากจิตที่มีภัย เพราะเป็นจิตที่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสโลภโกรธหลง ที่มากมายจนจะท่วมทับให้พากันตายหมดสิ้นโลกแล้ว ตายจากความดีงาม ที่น่าสลดสังเวช กว่าตายด้วยการสิ้นลมหายใจมากมายนักหนา
ผู้มีความดีงาม หรือคนดี เป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ก็เข้าใจกันดี ในที่นี้จะขอเพิ่มความมั่นใจของใครทั้งนั้นให้ยิ่งขึ้นด้วยการขอรับรอง ว่าคนดีเป็นผู้มีคุณ และเป็นคุณที่กว้างขวาง ไม่อยู่ในขอบเขตเฉพาะผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง ไม่อยู่ในขอบเขตเฉพาะผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง
แต่คนดีเป็นผู้มีคุณได้ถึงแก่ชาติ และแก่โลก ทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และโลกนรก สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นยิ่งกว่ายอดของคนดี ทรงมีพระคุณสูงสุดแก่โลกทั้งสามที่ผู้มีปัญญาหาปฏิเสธไม่ ผู้มีปัญญาหาสงสัยไม่ ผู้มีปัญญาหาคิดคัดค้านให้เกิดอัปมงคลแก่ตนไม่
ญาติโยมผู้หนึ่งเคยเล่าว่าเคยจมน้ำดิ่งลงสู่ที่ลึกสุดของแม่น้ำ ไม่สามารถพาตนให้พ้นได้ เพราะรู้สึกว่ามีมือมาฉุดให้จมดิ่งลงเรื่อยๆจนเมื่อแน่ใจว่าต้องตายแน่แล้ว ก็นึกถึง “พระพุทโธ” เพียงเท่านั้นก็ได้พบความมหัศจรรย์ของอานุภาพแห่งพระพุทโธ
คือมือที่กำลังฉุดดึงอยู่ หลุดออก ปล่อยให้ร่างของเธอลอยขึ้นพ้นน้ำ เธอพ้นจากความตายได้อย่างมหัศจรรย์เป็นเหตุให้เธอมี “พระพุทโธ” อยู่ในหัวใจตลอดมาจนทุกวันนี้ เป็นเวลาสิบสิบปีแล้ว
ญาติโยมผู้พ้นจากความตายได้ด้วยปฏิหาริย์ เพราะเมื่อชีวิตใกล้จะแตกดับในอุ้งมือของกระแสแห่งกรรม เธอมีสติรู้ว่าอะไรที่ดีจริงสำหรับเธอขณะนั้น ระลึกได้ถึงพระพุทโธ สติก็สามารถกั้นกระแสแห่งกรรมให้เธอได้พ้นภัยเป็นไปดังพระพุทธภาษิต
เธอผู้นั้นมีสติรู้ว่ากำลังจะสิ้นชีวิต พร้อมกันนั้นก็มีปัญญา รู้ว่าที่พึ่งประเสริฐสุดในยามนั้นของเธอ คือพระพุทโธหรือพระพุทธเจ้านั่นเอง คำพระพุทโธจึงก้องขึ้นในใจของเธอ ใจที่เธอคิดว่ากำลังจะออกจากร่างในวินาทีใกล้ๆนั่นแล้ว แต่สติและปัญญาที่เกิดแล้วในใจเธอผู้นั้นก็ปิดกั้นกระแสแห่งกรรม กระแสแห่งความตาย ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
สติและปัญญาจึงสำคัญนัก มีคุณนัก พึงเร่งอบรมสติและปัญญา ให้แข็งกล้าอย่างยิ่งเถิดกระแสแห่งกรรมบรรดามีในโลกจะถูกปิดกั้นให้เป็นที่ ประจักษ์แก่ผู้มีสติปัญญาทุกคน กระแสแห่งกรรมจะถูกสติและปัญญาปิดกั้นอย่างได้ผลเป็นจริง เช่นที่ทรงแสดงไว้ในพระพุทธภาษิต ที่กล่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม กระแสแห่งกรรมที่หนักหนารุนแรง จนยากที่สติและปัญญาจะอาจปิดกั้นได้ง่ายๆก็น่าจะมีอยู่ ตามกระแสแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพชาติในอดีต ไม่รู้ไม่เห็นในภพชาติปัจจุบัน ขึ้นชื่อว่ากรรม ไม่ว่าจะทำเมื่อไร ทำในภพชาติไหน แม้ผู้ทำจะจำไม่ได้แล้ว รู้ไม่ได้แล้ว กรรมนั้นก็ยังมีผล ยังจะให้ผลหนักเบาตามเหตุ
กระแสแห่งกรรมนี้มีอยู่ ที่ยากแก่การจะปิดกั้นด้วยสติและปัญญา ที่ไม่มีพลังเพียงพอแต่แม้ไม่ยอมแพ้เสียก่อนง่ายๆ ก็ย่อมมีเวลาหนึ่งที่จะสามารถชนะ สามารถปิดกั้นกระแสแห่งกรรมแม้รุนแรงหนักหนาได้สำเร็จ ด้วยสติคือความรู้ผิดชอบชั่วดี และด้วยปัญญา คือความฉลาดรอบรู้
ญาติโยมสุภาพสตรีผู้หนึ่งมีเรื่องกระแสของชีวิต ที่ฟังบอกเล่าแล้วยากจะเชื่อ ยากจะเข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่เจ้าของเรื่องและอีกหลายคนที่รู้เรื่อง ก็ยืนยันรับรองว่าเป็นเรื่องจริง ที่น่ากลัวความลี้ลับของกรรม ที่ต้องทำไว้แล้วจริง แต่ไม่รู้จริง
ในชาติปัจจุบันปรากฏผลให้เห็น ทำให้ต้องเชื่อว่ามีเหตุอันควรแก่ผลแน่นอน ความน่ากลัวของกรรมไม่ดี ที่ต้องได้ทำมาแล้วจริง มีผลจริงที่น่ากลัว ที่ยากจะเข้าใจให้ชัดเจนได้ ว่าเป็นไปได้อย่างไร จะลบล้างแก้ไขได้อย่างไรหรือไม่ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ให้คุณประโยชน์แก่จิตใจเป็นที่สุด อบรมจิตใจให้กลัวกรรมเป็นที่สุด
ญาติโยมผู้นั้นเล่าอยู่ในทุกวันนี้ ว่าเป็นผู้ที่ต้องทำกรรมไม่ดีไว้หนักหนา จนตัวเองก็เหลือเชื่อ เหลือจะเข้าใจว่าทำได้อย่างไร ทำอะไรบ้าง การทำดีจนสุดชีวิต ทุกวิถีทางที่คนอื่นยากจะทำ ก็ยังไม่อาจหนีพ้นอำนาจของกรรมไม่ดี ที่ต้องทำไว้ในอดีตชาติแน่
ไม่ได้ทำในชาตินี้แน่ ผลของกรรมที่ได้รับเกือบตลอดชีวิตในชาตินี้ แสดงชัดแจ้งถึงกรรมไม่ดีที่ได้ทำไว้แน่นอน ไม่ในชาติใดก็ชาติหนึ่งในอดีต ฟังเรื่องราวแล้วก็น่าจะยอมเชื่อ ว่าเป็นผู้มีกรรมหนักนักหนา
ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าต้องผจญกรรม ที่ให้ความทุกข์ใจแสนสาหัส จนต้องร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทั้งที่อายุเพิ่มจะสิบกว่าขวบเป็นนักเรียนโรงเรียนฝรั่ง ชั้นมัธยมปีที่ 4 อยู่ไม่อยู่วันหนึ่งก็ถูกกล่าวหาว่าเอาตำราเข้าไปดูในห้องสอบ ไม่มีหลักฐานในการกล่าวหา แต่คุณครูสาวสวยก็ยืนยันว่าเห็น
เธอเล่าว่าร้องไห้อยู่หลายวันในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ไม่อยากไป โดยไม่กล้าบอกให้ทางบ้านรู้ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจรับความไม่จริง ว่าทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง เท่านั้นเรื่องที่จบ คุณครูก็ไม่เอาเรื่องต่อไป
เธอเล่าว่าเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนนั้นแล้ว จนถึงจบอุดมศึกษาแล้ว วันหนึ่งขณะทำงานอยู่ในต่างประเทศ ได้พบข่าวหนังสือพิมพ์ว่าคุณครูของเธอคนนั้น ถูกฆ่าตายขณะเดินทางโดยเรือยนต์โดยสารจะไปต่างประเทศ ต่อมาได้ทราบรายละเอียดว่าไปสอนศาสนาในเรือฝรั่งผู้ฟังขัดใจมาก จึงจัดการด้วยความโหดร้าย
ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าเป็นเรื่องที่ฝังใจตลอดมานานปี โดยไม่เล่าให้ใครฟังเลย มีความพิศวงงงงวยอยู่ในหัวใจตลอดเวลาว่าทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับเธอ ในเมื่อเธอเป็นคนเรียนหนังสือดี อธิการที่เป็นชาวฝรั่งเศสก็รักและเอ็นดูเธอมาก
คุณครูสาวสวยผู้นั้นที่ทำให้เธอต้องร้องไห้แทบหัวใจแตกสลาย ก็มิใช่ว่าจะเกลียดชังเธอ แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงทำให้เกิดเรื่องร้ายกาจแก่ชีวิตเด็กสาวๆคนหนึ่ง จนต้องเจ็บปวดหัวใจแสนสาหัส กรรมอะไรหรือหาคำตอบไม่ได้จริงๆ
ต่อมาญาติโยมผู้นั้นก็ต้องเสียน้ำตาเพราะเรื่องการเรียนอีกครั้งหนึ่ง หนักหนามิได้น้อยกว่าครั้งแรก ปีนั้นเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต และก่อนเสด็จสวรรคตไม่กี่วันเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานปริญญาบัตร ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ญาติโยมผู้นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ตื่นเต้น เพราะจะได้ปริญญาในปีนั้นด้วย แต่แล้วเหตุร้ายแรงก็เกิดแก่ชีวิตญาติโยมผู้นั้นอีกครั้ง
บนกระดานประกาศผลสอบมีชื่อญาติโยมผู้นั้นตกภาษาไทย ต้องสอบแก้ตัวต้องไปรับปริญญาปีต่อไป ความผิดหวังอย่างไม่คาดคิดมาก่อนเลย ทำให้อีกครั้งหนึ่งต้องร้องไห้แทบหัวใจจะแตกสลาย เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นผู้ที่เรียนภาษาไทยได้ผลดีมาตลอด เป็นที่รู้กัน
การต้องมาสอบตกภาษาไทยทำให้ไม่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจะพระราชทาน อันเป็นความตื่นเต้นชื่นชมโสมนัสของบรรดาผู้จะได้รับปริญญาในปีนั้นเป็น ที่สุด คิดถึงใจญาติโยมผู้นั้นที่ร้องไห้อย่างไม่อับอายใคร เป็นที่พูดถึงกันอยู่นาน ไม่ใช่เพราะเธอสอบตก ต้องสอบแก้ตัว
ทำให้จะไม่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระเจ้าอยู่หัวที่เพิ่งจะมี เป็นครั้งแรกในสมัยนี้ แต่เพราะไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศผลสอบ ก็มีการต้องแก้ผลการประกาศใหม่เมื่อปรากฏว่ามีการผิดพลาดในการรวมคะแนน ข้อสอบภาษาไทย ของญาติโยมผู้นั้น เธอต้องร้องไห้เสียน้ำตาไปเปล่าๆ และต้องล้มป่วยเป็นแรมเดือน
ด้วยความกระเทือนรุนแรงของจิตใจมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนและก็ไม่เคยมีอีกเลยจนทุกวันนี้ ไม่เคยมีการรวมคะแนนผิด จนแทบจะทำให้ต้องเสียชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งไป
ทำไมจึงมีเหตุให้ญาติโยมผู้นั้นต้องเสียน้ำตาแทบจะขาดใจ กรรมอะไรและบุญอะไร ที่เข้ามาสู่ชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง ทำความชอกช้ำให้แก่จิตใจอย่างน่าจะไม่เป็นที่เข้าใจของใครทั้งหลาย
นอกจากเจ้าตัวผู้เป็นเจ้าของจิตใจที่รับกระแสแห่งกรรมไม่ทัน สติขาดไปในช่วงสำคัญ ปัญญาก็เกิดไม่ทัน จึงไม่มีเครื่องปิดกั้นกระแสแห่งกรรม ที่ตามมาทันผู้ต้องได้ทำไว้แล้วแน่นอน แม้จะในอดีตกาลนานไกลเพียงไร ก็หารู้ไม่
ญาติโยมผู้นั้นมีชีวิตที่ถูกกระแสแห่งกรรมกระทบกระแทกรุนแรงตลอดเวลา แทบจะหาช่วงพ้นจากกระแสแห่งกรรมไม่มีเลย แม้จนทุกวันนี้ที่อยู่ในวัยสูงอายุมากแล้ว กระแสแห่งกรรมก็ยังรุนแรงนัก หลายคนพูดถึงเธออย่างเวทนาว่าเสียงมากมายที่พูดถึงเธอนั้นเป็นไปอย่างประณาม ความเลวร้ายต่างๆ นานาของเธอ
ที่เป็นความรู้สึกจริงใจของผู้พูดที่ได้ยินมา และชื่อเสียงที่ได้ยินนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ที่น่าสงสารญาติโยมผู้นั้นก็เพราะผู้ได้ยินเรื่องเลวร้ายของเธอ ซึ่งส่วนมากรู้จักเธอจากเสียงเล่าไม่รู้จักหน้าค่าตาและเรื่องราวจริงๆ ของเธอ
แต่เข้าร่วมเล่าขานความไม่ดีของเธอ อย่างต้องการช่วยพรรคพวกเพื่อนฝูงให้พ้นจากการอาจพลัดหลงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับคนไม่ดีมากๆ ซึ่งใครๆ ที่เป็นคนดีจะระวังตัวมากในเรื่องนี้ ไม่ประสงค์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนไม่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่ดีมากๆ ซึ่งเสียงเล่าลือเกี่ยวกับญาติโยมผู้นั้น เธอถูกจัดอยู่ในพวกเลวมากๆ มีการเล่าถึงเรื่องของเธอไปกันคนละเรื่องสองเรื่อง ล้วนแต่เห็นภาพที่เลวร้ายเหลือจะพรรณนาทั้งนั้น
ปฏิกิริยาจากญาติโยมผู้นั้นมีเพียงตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆว่าทำบาปทำกรรม อะไร จึงมีผลเช่นนี้ อยากรู้ที่สุด เพราะน่ารู้จริงๆ มันเป็นไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ นี่คือปัญหาที่ญาติโยมผู้นั้นปรารภปรารมญ์อยู่ไม่ว่างเว้น แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนจากใครเลย
เสียงนินทาว่าร้ายจากคนเล็กคนน้อย ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าได้ยินจากคนนั้นบ้างคนนี้บ้างมาเล่าให้ฟัง พร้อมกับปลอบใจไม่ให้เดือดร้อน ซึ่งเจ้าตัวคนกรรมหนักก็ยอมรับกรรมด้วยดี ช่างเขาเถอะ อยากว่าอะไรก็ให้เขาว่าไป เราไม่เป็นอย่างเขาว่าก็ดีแล้ว
เพื่อนของญาติโยมผู้นั้นจะได้ยินเช่นนี้เป็นประจำ พร้อมกับเหตุผลที่ทำให้ญาติโยมผู้นั้นยอมรับฟังเรื่องเลวร้ายร้อยแปด อย่างไม่ตอบโต้แม้สักคำเดียว สักครั้งเดียวด้วย มีแต่ให้เหตุผลว่าเราต้องเคยทำเขามาก่อนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ เขาจะมานินทาว่าร้ายเราทำไม ทั้งๆที่ไม่เคยได้รู้จักกันเลย ต้องเป็นกรรมของเราแน่
กรรมน่ากลัวที่สุด โดยเฉพาะที่เป็นกรรมไม่ดี ที่เป็นบาป เป็นอกุศล แต่กรรมที่เป็นบุญ เป็นกุศล ก็ให้คุณได้อย่างยิ่ง ญาติโยมผู้มีชีวิตของผู้ชดใช้กรรม เคยได้รับคุณยิ่งใหญ่จากกรรมดี ที่เจ้าตัวพิศวงสงสัยยิ่งนัก ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปแล้วจริง
เธอเล่าว่าครั้งหนึ่งอยู่ดี อยู่ดีๆจริงๆ ไม่มีเรื่องวุ่นวายแม้เล็กน้อยเพียงใดจริงๆ แต่กระแสแห่งกรรมก็จู่โจมเข้าจับหัวใจ ในลักษณะที่จะทำให้เป็นบ้าอย่างรุนแรง ถึงขนาดอยากจะวิ่งและแผดเสียงกรีดร้องให้ก้องป่า ขณะนั้นเธออยู่ในป่า ปฏิบัติธรรม เป็นยามค่ำคืนต้นๆ ยังไม่ถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม
ความอยากร้องอยากวิ่งให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยนั้น ถูกยับยั้งด้วยอำนาจประหลาด ที่สั่งเป็นเสียงให้ได้ยินชัดเจน อย่าวิ่ง ขืนวิ่ง จะเตลิดไปเลย อย่าร้อง ขืนร้อง ก็จะไม่ได้กลับคืนอีกแล้ว สติรู้ผิดชอบชั่วดีที่เกิดในขณะนั้นทำให้ปฏิบัติตามเสียงสั่ง ผลก็คือไม่กรีดร้องแบบคนบ้า
แต่ใจพร่ำร้องขอความเมตตาจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ผู้เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างกว้างขวางตลอดมาจนทุกวันนี้ ท่านโปรดเมตตาช่วยคนที่กำลังจะบ้าให้หายในวินาทีเดียว วินาทีเดียวจริงๆ เสียงคร่ำครวญวอนขอรับเมตตาจากท่านพระอาจารย์ต้องไปถึงท่านในเมืองพระนิพพาน แน่
ด้วยเมตตายิ่งใหญ่ ท่านลงปรากฏองค์ต่อหน้าผู้กำลังตกอยู่ในอำนาจของอกุศลกรรมพร้อมกับนำสายฟ้า ติดตามท่านมาด้วยให้ผ่าเปรี้ยงลงตรงหน้าผู้กำลังเผชิญกระแสแห่งกรรม ความบ้าที่กำลังฉุดกระชากหญิงที่มีกรรมหนักนักหนาไว้ในอุ้งมือแห่งกรรม เหมือนจะพลอยตกใจเสียงฟ้า จึงหายวับไปกับตาทันทีนั้น
คืนหัวใจที่สงบเย็นอย่างเป็นสุขให้เจ้าของได้ครอบครองอย่างมีความสุขอีก ครั้งหนึ่ง เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วจริงๆ
ผู้หญิงที่ทุกวันนี้เป็นเหยื่อความรังเกียจเกลียดชังของเพื่อนร่วมทุกข์ จำนวนไม่น้อย ท่านผู้รู้จริงบางท่านเมตตาให้ความเข้าใจเมื่อได้รับฟังเรื่องนี้
ท่านว่า “อกุศลกรรมตามมาทัน แต่ความดีที่ยิ่งใหญ่นักมาตัดขาดในพริบตา” เรื่องของกรรมไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่เป็นเรื่องมีจริง และเรื่องของบุญก็เป็นเรื่องมีจริงเช่นเดียวกัน อยากหนีบาป อยากได้บุญ ก็เร่งอบรมสติให้ทุกลมหายใจเข้าออกเถิด
พูดถึงท่านพระอาจารย์มั่น ผู้เมตตารักษาชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้ให้พ้นจากมือกรรมเปิดทางให้มือบุญเข้า มาทัน ก็นึกถึงท่านพระอาจารย์ผู้เมตตาอีกองค์หนึ่ง ที่เป็นศิษย์สำคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านคือท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดถ้ำขาม
หลายท่านคงเคยได้ยินท่านเล่าถึงนิมิตสำคัญของท่านแล้ว ท่านเล่าว่าท่านนิมิตเห็นสัตว์ร้ายมากมายในป่า ทั้งเสือสิงห์กะทิงแรด กำลังบ้าคลั่งสู้กันอย่างดุเดือด ขณะนั้นสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรากฏพระวรกายขึ้นเพียงเท่านั้น
ทันทีสัตว์ร้ายทั้งหมดก็สยบกายหมอบลง ทั้งแทบเบื้องพระยุคคลบาท และทั้งที่ห่างไกลออกไป ทั่วทั้งป่านั้น เป็นที่อัศจรรย์พ้นจะกล่าวในความรู้สึกของท่านพระอาจารย์องค์สำคัญ และท่านก็ได้ให้ความเข้าใจกระจ่างชัดแก่ศิษยานุศิษย์ผู้รับฟังเรื่องนี้จาก ท่านว่า
บ้านเมืองของเรานี้มีบุญหนักหนา ไม่มีภยันตรายใดจะเกิดได้ภายใต้พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น หลังจากนิมิตของท่านพระอาจารย์ฝั้น ก็ล้วนเป็นเครื่องรับรองนิมิตของท่าน ว่าเป็นจริงอย่างไม่มีข้อให้ต้องสงสัยแม้แต่น้อย
อยู่ในโลก ย่อมประสบโลกธรรม แม้เพียงสองประการ คือนินทาและสรรเสริญ ไม่มีผู้ใดพ้นได้ จึงมีคำกล่าวว่าแม้พระพุทธปฏิมายังถูกตำหนิว่าสารพัด คนเดินดินจะพ้นได้อย่างไร จึงพึงให้ความสำคัญแก่การใช้สติใช้ปัญญาปิดกั้นกระแสนี้ให้เต็มกำลัง ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทสองพระผู้สุขุมาลชาติจอมกษัตริย์และบรมขัตติยานีนาถ
ซึ่งมิได้เคยทรงพ่ายแพ้แก่กระแสดังรับพระราชทานยกมาแสดงกำลังพระราชหฤทัยจึง เข้มแข็งองอาจสม่ำเสมอเป็นนิตย์ เป็นเหตุให้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานาประการอย่างเบิกบานสงบเย็น ไม่ทรงละเว้นอย่างใดที่ไม่พึงละเว้น ความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดีจึงมีได้ในสยามประเทศนี้ ยิ่งกว่าที่มีในประเทศทั้งหลายอื่น
เราคนไทย มีดวงแก้ววิเศษอยู่ในมือแล้วจงพร้อมใจกันแสดงความเทิดทูนค่าวิเศษของดวงแก้ว นั้น อย่าคิดพูดทำอะไรทั้งสิ้นอย่างประมาท อันจะก่อให้เกิดความมัวหมอง แต่ต้องระแวดระวังกายวาจาใจของตน ให้งดงามอย่างที่สุดด้วยความดี ความดีของพวกเรานั้นแล้ว คือเครื่องถนอมรักษาดวงแก้วมณีมีค่าสูงสุดให้ผ่องใสแพรวพราว
ที่ห้าธันวาคม วันอุดมมงคลสำคัญ นำเสด็จบรมราชัน เลื่อนลอยฟ้าลงมาดิน ขอให้ตั้งใจให้สัจจะน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นวรชัยมงคล ว่าจะปฏิบัติตนเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว อีกต่อไปในชีวิตนี้ ขอวรชัยมงคลนี้ สัจจปฏิญาณนี้จงขึ้นถึงพระราชหฤทัย ได้ทรงโสมนัสยินดีปีติ ลบความเศร้าหมองทั้งหลายได้หมดสิ้น ขอพระราชทานถวายพระพร
ขออำนวยพร
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
« « Prev : อภัยทาน
Next : โลก » »
ความคิดเห็นสำหรับ "สติต้านกระแส"