ชั่งหัวมัน
อ่าน: 2953เรื่อง ชั่งหัวมัน
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๙ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ในระยะสองสามวันมานี้พวกเราคงจะได้ยินข่าวอันหนึ่ง คือข่าวว่าประธานเหมาเจ๋อตุงถึงแก่ความตาย ที่เอาเรื่องประธานเหมาเจ๋อตุงมาพูดกับโยม อย่านึกว่าพูดการบ้านการเมือง ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเมือง แต่ว่าเป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงชีวิตว่า คนเรานี้แม้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีอำนาจราชศักดิ์สักเท่าใดก็ตาม ก็ย่อมจะถึงจุดจบลงไปสักวันหนึ่ง จุดจบนั้นคือความตายนั่นเอง ความตายของคนคนหนึ่งเกิดขึ้น ก็ย่อมมีข่าวไปทั่วโลก เพราะว่าคนคนนั้นมีชื่อมีเสียงในทางการบ้านการเมือง
ข่าวที่ปรากฎออกไปนั้น มีคนเสียดายก็มี มีคนดีใจก็มีเหมือนกัน เช่นว่าจากเกาะไทเป (ไต้หวัน) หนังสือพิมพ์เขาดีใจ เขาดีใจว่าตายเสียทีก็ดีแล้ว แต่ว่าในส่วนอื่นๆ ของโลกนั้นเขาเสียใจกัน เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดา คนเราย่อมมีคนรักบ้าง มีคนชังบ้าง
เรื่องความรักความชังของมนุษย์นี้ เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดต้องมี หนีไม่พ้น ในทางธรรมท่านจึงบอกให้รู้ว่า มันเป็นโลกธรรม คือเป็นธรรมสำหรับชาวโลกทั่วๆ ไป คือว่าบางสิ่งก็เป็นที่พอใจ เช่นในดิลกธรรม ว่าถึงเรื่องความมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีความสุข อันนี้เป็นอิฏฐารมณ์ เป็นสิ่งที่น่าพอใจพึงใจ ใครๆ ก็อยากจะมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีความสุข แต่ในอีกด้านหนึ่งในความไม่มีลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อันนี้ไม่มีใครต้องการ
แต่ว่าเราอยู่ในโลกจะหนีพ้นไปจากสิ่งนี้ไม่ได้ ธรรมทั้งแปดประการนี้ เป็นกระแสของโลก เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า เป็นโลกธรรม คือมีอยู่ในโลกตลอดเวลา เราเกิดมาในโลกก็ต้องพบกับสิ่งหล่านี้ ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ญาติโยมทุกคนลองคิดดู ว่าในชีวิตของเรานี้ เราเคยมีลาภ เราเคยเสื่อมลาภ เราเคยมียศ เราเคยสรรเสริญ มีความทุกข์ มีความสุข ได้รับการสรรเสริญ ได้รับการนินทา ใครๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น คนเราจะเป็นคนที่ดีส่วนเดียวก็ไม่ได้ การดีการเสียของบุคคลนั้น มันขึ้นอยู่กับการกระทำเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าคนอื่นนั้นเขาอาจจะมองเราในทางใดก็ได้ เพราะการเพ่งมองของคนอื่นนั้น เป็นสิทธิของเขา เป็นสิทธิในการที่จะมอง ในการที่จะพูด ในการทีจะแสดงออก ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขา เราจะไปห้ามก็ไม่ได้
เช่นมีใครคนหนึ่งมีพูดนินทาเรา เราก็จะไปบอกว่า “คุณอย่ามานินทาฉันนะ” อย่างนี้มันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาทำของเขาเอง ตามเรื่องตามราวของเขา สรรเสริญก็เหมือนกัน เขาก็ทำตามความคิดความเห็นของเขา ถ้าเขาชอบเขาก็ชม ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ติ ทีนี้หน้าที่ของเราที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เราควรจะทำใจอย่างใด ควรจะทำใจไม่ให้เป็นสุข เพราะคำสรรเสริญ ไม่ให้เป็นทุกข์เพราะทำนินทา
เรื่องไม่ให้สุขไม่ให้ทุกข์ในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ว่าไม่ใช่เหลือวิสัย เป็นเรื่องที่เราควรจะกระทำได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านคงไม่วางหลักไว้ ให้เราทั้งหลายปฏิบัติ ข้อธรรมะที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ให้เราทั้งหลายทำมาปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าหากเราหมั่นคิดนึก ตรึกตรองด้วยปัญญา เพื่อให้มองเห็นสิ่งนั้นๆ ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
เช่นในเวลาที่ถูกนินทา เราก็ควรจะคิดอย่างไร เวลาที่เขาสรรเสริญเยินยอ จะคิดอย่างไร ในเรื่องนี้มีตัวอย่างอยู่ตอนหนึ่ง ในพระสูตร คือคราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เดินทางจากเมืองนาลันทา จะไปเมืองราชคฤห์ แล้วก็ไปประทับอยู่ที่หมู่เกาะไม้มะม่วง ระหว่างนาลันทา จะไปเมืองราชคฤห์ ในการเดินทางคราวนั้น นอกจากพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีบริษัทของปริพาชกอีกพวกหนึ่ง หัวหน้าชื่อสุปิยปริพาชก ลูกน้องของสุปิปริพาชก ชื่อพรหมทัตต์ปริพพาชก สองคนนี้มีความคิดไม่ตรงกัน
คือหัวหน้าที่เป็นอาจารย์สุปิยปริพพาชกนินทาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดทาง เดินไปก็นินทาไปกล่าวร้ายไป ใส่ความไปเรื่อยๆ แต่ว่าลูกศิษย์ของอาจารย์กลับตรงกันข้าม พูดสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ตลอดเวลา ศิษย์กับอาจารย์มีความเห็นไม่ตรงกัน ในองค์พระพุทธเจ้า อาจารย์เห็นไปในแง่เสีย ลูกศิษย์เห็นไปในแง่ดี แล้วต่างคนต่างพูด ไปตามความคิดเห็นของตน เรื่องนี้พระสงฆ์ได้ยินเข้า ก็นำไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ทรงทราบ ว่าอาจารย์กับศิษย์มีทัศนะไม่ตรงกัน อาจารย์นั้นนินทาพระรัตนตรัย ลูกศิษย์กลับสรรเสริญพระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พวกเธออย่าไปหวั่นไหว กับคำสรรเสริญ กับคำนินทาของสองคนนั้น เพราะคำพูดของสองคนนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเธอดีขึ้นหรือเลวลง คือคำพูดของคนอื่นนั้น ไม่มีอำนาจอิทธิพลเหนือใครๆ เราจะดีไม่ใช่เพราะเขาชมว่าดี เราจะเสียไม่ใช่เพราะเขาติว่าเสีย แต่เราจะดีเพราะการกระทำของตนเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิพากย์วิจารณ์ของคนอื่นว่าดีว่าเสีย อันนี้ เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคบอกแก่ภิกษุเหล่านั้น ให้ทำในใจ ว่าอย่าไปหวั่นไหวกับคำชม คำนินทา หรือคำด่าว่าของใครๆ แต่ให้เอาคำด่าเหล่านั้นมาเป็นหลักสำหรับเตือนตนเอง
สมมติว่ามีใครคนหนึ่งเขาว่าเราไม่ดี เราอย่าไปโกรธเขา ถ้าเราไปโกรธเขา เราก็ไม่ได้กำไรอะไร แล้วก็ทำให้กิเลสเกิดขึ้นในใจ ควรจะอยู่เฉยๆ สงบจิตใจต่ออารมณ์นั้น อันนี้ก็จะต้องใช้สติกำกับความรู้สึกตัว ในเมื่อสิ่งนั้นมากระทบหู เราก็มีสติคอยควบคุมไว้ที่ตัวผัสสะที่มันมากระทบนั่นเอง ไม่ให้เกิดความเวทนา คือไม่ให้เกิดยินดี ไม่ให้เกิดยินร้าย ในเสียงที่มากระทบนั้น
และเมื่อเราหักห้าม ไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายได้แล้ว เราก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า ที่เขาว่าเราชั่ว เราชั่วตามเขาว่าหรือเปล่า ให้พิจารณาตัวเองสอดส่องมองดู การคิดการพูดการกระทำ การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของตัวว่า เรามีอะะไรเสียหายเหมือนกับที่เขาว่าหรือเปล่า ถ้าเราพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ตัวเรานั้น มีข้อบกพร่อง มีความเสียหาย ไม่ดีไม่งามอยู่ในจิตใจเรา เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องแก้ไขสิ่งนั้น ให้ดีให้งามขึ้น แล้วก็ควรจะไปขอบใจคนนั้น ที่เขาช่วยชี้โทษให้แก่เรา เพราะคนเราตามปกตินั้น มักจะมองไมเห็นความผิดของตัว
ความไม่ดีของตัวไม่มีใครมองเห็น เพราะคนเรามักจะมองแง่ที่ดีไปทั้งหมดในเรื่องของตัว เรื่องชัวไม่ค่อยมอง แล้วคนเราโดยปกติแล้ว ไม่ใช่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าจะเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ มีดีมีเสียปะปนกันอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพราะยังเป็นปุถุชน คำว่า เป็นปุถุชน หมายความว่า เป็นคนมีสติปัญญาไม่สมบูรณ์ ยังมีข้อบกพร่องอยู่ในความคิด ในการพูด ในการกระทำ เมื่อเรามีความบกพร่องเราควรจะยินดี ในเมื่อคนอื่นเขามาเตือนสติ มาบอกมากล่าวว่า คุณไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เราจะไปโกรธเขาทำไม แต่เราควนจะนึกว่าเราไม่ดี เหมือนเขาว่าหรือเปล่า ถ้ามองเห็นว่าเรามีสิ่งไม่ดีเหมือนเขาว่า ก็ควรจะนึกขอบใจเขาที่ช่วยแนะช่วยเตือน ให้เราได้เกิดความรู้สึกสำนึกได้ แล้วเราควรจะเปลี่ยนแปลงความคิด การพูด การกระทำ ซึ่งเรียกว่าไม่ดีนั้น ให้เป็นความดีขึ้นมา อย่างนี้ก็จะเป็นการเรียบร้อย
คำนินทานั้นไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เรา เหมือนกับคนโบราณเขาแสดงหนังตะลุง เวลารบกับยักษ์ มันแผลงศรมา แผลงศรมาที่พระฤาษี พระฤาษีความจริงไม่ได้ไปรบกับเขาหรอก แต่ว่าลูกศิษย์ไปรบ ลูกศิษย์ไปรบ ฤาษีก็ทนไม่ได้ ต้องไปเป็นกองเชียร์ให้ลูกศิษย์หน่อย ยักษ์มันโกรธว่าฤาษีไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่กิจของฤาษีมาทำนอกเรื่อง มันเลยแผลงศรมาเพื่อจะตัดคอพระฤาษี แต่ว่าพอลูกศรมามันกลายเป็ดอกไม้ไปเสีย ลูกศรที่แผลงมาแทนที่จะเป็นลูกศรอาบยาพิษ กลายเป็นดอกไม้บูชาพระฤาษี สมัยเด็กๆ เคยดูหนังตะลุง นึกว่าฤาษีแกเก่งจริง แกมีฤทธิ์มีอำนาจจเป่าลูกศรยักษ์ให้เป็นดอกไม้ไปได้ เด็กมันก็ดูไปในรูปอย่างนั้น ดูตามประสาของเด็ก
ครั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ มาศึกษาธรรมะอะไรเข้า ก็มาเกิดความคิดค้นในแง่ธรรมะว่า ไม้ที่กลายมาจากศรยักษ์ ไม่ใช่ดอกไม้ธรรมดา แต่หมายความว่า ลูกศรเป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตใจ ลูกศรมันจะแทงเราให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้าเรามีปัญญาเราก็แปลงลูกศรนั้นให้เป็นดอกไม้ คือให้เห็นไปในแง่ดีแง่เป็นประโยชน์ ไม่ให้มันก่ออทุกข์ก่อโทษแก่เรา ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อคนอื่นแผลงลูกศรมาใส่เรา ด้วยคำพูดนินทาด่าว่าเสียดสี กระทบกระเทียบเปรียบเปรยอย่างไรก็ตาม เราก็มาคิดแต่เพียงว่า มันเป็นเรื่องมีประโยชน์ ลูกศรนั้นก็กลายเป็นดอกไม้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เรา กลายเป็นดอกมะลิไป กลายเป็นดอกกุหลาบไปเสียก็ได้ เราก็ปลอดภัย ไม่มีความทุกข์ไม่มีความเดือดร้อน อันเกิดขึ้นจากลูกศรนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะทำใจไว้ในรูปอย่างนี้
เวลานี้คนเราไม่รู้จักทำใจ เวลามีอะไรกระทบกระเทือน ก็พูดตอบไปในทางเสียหาย ตัวอย่างเช่นเห็นง่ายๆ ในเรื่องของพวกนักการเมือง พวกที่จะไปทำให้พวกนักการเมืองต่อยกันก็คือ นักข่าว นักข่าวเขาเรียกว่าพวกหาเรื่อง แล้วก็หาเรื่องไม่ใช่จะมาลงข่าวอย่างเดียว หาเรื่องให้คนทะเลาะกันด้วย ไปสัมภาษณ์คนนั้นว่าอย่างนั้น พอเสร็จแล้วไปบอกคนนั้นว่า เขาว่าคุณอย่างนั้น คนที่ถูกสัมภาษณ์ทีหลัง เขาเรียกว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความคิดความอ่าน พอเขาสัมภาษณ์ อ้ออย่างนั้นไม่ได้มันไม่ถูกต้อง อย่างนี้มันต้องเล่นงานกัน นักข่าวก็นั่งยิ้มแป้นชอบใจ กูหยิกท้ายมดให้กัดกันได้สมใจเล้ว ให้มดมันกัดกันแล้วก็เอาไปเขียนทั้งสองฝ่าย ข่าวคนโน้นก็เขียนคนนี้ก็เขียน แล้วก็เกิดเป็นอาหารของหนังสือพิมพ์ต่อไป อย่างนี้เป็นตัวอย่าง
ทีนี้ถ้าหากว่าเราเป็นคนฉลาด เราทำเรื่องจริงให้มันเป็นเรื่องเล่นไปเสียก็ได้ ให้เป็นเรื่องสนุกไปเสียก็ได้ มันจะไม่มีเรื่องอะไร อันนี้อยากจะเล่านิทานเซ็นให้ญาติโยมฟังสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของพระนิกายเซ็น พระญี่ปุ่นนิกายเซ็น อาจารย์คนนั้นกแกก็เป็นคนมีชื่อเสียง อยู่ในวัดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นที่เคารพบูชาของมหาชน แต่ว่ามีเด็กหญิงข้างวัดคนหนึ่ง ลูกของเจ้าของร้านขายน้ำชา เด็กหญิงคนนั้นเกิดมีท้องขึ้น โดยไม่รู้ว่าใครเป็นสามี พ่อก็โกรธเรียกมาขู่ตะคอก ตีอย่างนั้นอย่างนี้ทุกวันๆ ลูกสาวเจ็บบ่อยๆ พ่อถามว่า ใครทำให้เอ็งมีท้อง เจ็บหนักเข้าไม่รู้ว่าจะบอกว่าใครก็เลยบอกว่า หลวงพ่อในวัดนั่นเอง ว่าไปใส่ให้ให้หลวงพ่อเข้าให้แล้ว
พ่อก็เลยโกรธไปถึงต่อว่าหลวงพ่อ บอกว่า แหมเป็นพระเป็นเจ้านึกว่าเป็นคนดีเป็นคนเรียบร้อย กราบไหว้บูชาอุดหนุนจุนเจือทุกสิ่งทุกประการ ไม่น่าเลยที่จะทำอย่างนี้ ไปทำให้ลูกสาวฉันมีท้องแล้วไม่รับเสียด้วย หลวงพ่อองค์นั้นแกพูดว่าอย่างไร แกพูดว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ” อ้ออย่างนั้นหรือ เท่านั้นแหละ แล้วคนนั้นก็กลับไป วันหลังผ่านมาก็มาด่าอีก วันไหนกลุ้มขึ้นมาก็ด่าหลวงพ่ออีก หลวงพ่อแกไม่ว่าอะไร แกบอกว่า “อ้ออย่างนั้นหรือ” คนนั้นก็กลับไปทุกที อยู่ต่อมาหญิงคนนั้นครบสิบเดือน ก็คลอดลูกออกมา เป็นผู้ชาย พ่อของหญิงนั้นก็คิดว่า เออเกิดแล้วก็ต้องเอาไปคืนให้พ่อมัน เอาไปให้พ่อมันเลี้ยง เอาไปให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ผูกเปลไป ไกวเปลไปป้อนข้าวป้อนน้ำไปตามเรื่อง ชาวบ้านมาเห็นก็ว่า เออสมน้ำหน้า ไม่ปฏิบัติธรรมะไม่เจริญภาวนา ไปเที่ยวทำให้เขามีลูกมีเต้า ก็ต้องเอามาเลี้ยง สมน้ำหน้าไหมล๊ะ “อ้ออย่างนั้นหรือ” ท่านก็ตอบว่า “อ้ออย่างนั้นหรือ” ไม่ว่าอะไรเลี้ยงลูกเต้าเขาไปตามเรื่อง ไม่โกรธไม่เคือง
ทีนี้ต่อมาแม่หญิงคนนั้นแกนึกได้ว่า แหม เรานี่บาปมากเสียแล้ว ไปทำให้หลวงพ่อถูกด่าถูกว่าบ่อยๆ ทำให้คนเขาไม่เลื่อมใสศรัทธา ต้องพูดความจริงเสียทีเถอะ เลยก็ไปบอกว่า ที่หนูบอกว่าหลวงพ่อทำให้หนูท้องมันไม่จริงหรอก หนูท้องกับเจ้าหนุ่มร้านกาแฟตรงกันข้ามนั่นเองแหละ เลยก็เรียกเจ้าหนุ่มนั้นมา มาถามว่าจริงไหม บอกว่า จริง ทำไปไม่บอก ก็ไม่ถามจะบอกอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไปปวัดอีก พ่อของเด็กนั้นก็ไปที่วัด ไปที่วัดก็ไปจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอโทษขอโพย บอกว่า ขอโทษหลวงพ่อที่ทำให้หลวงพ่อเดือดเนื้อร้อนใจ หลวงพ่อท่านตอบว่า “อย่างนั้นหรือ” หลวงพ่อว่า “อย่างนั้นหรือ” เสร็จแล้วมันก็หมดเรื่องกัน เขาเรียกว่ารู้จักคิดจักนึก ไม่เอาเรื่อง ไม่โกรธไม่ตอบ ก็ตัวเราไม่ได้เสียหายอะไร เรายังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ แล้วเขานินทาว่าร้ายอย่างนั้น ท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่ท่านว่า อย่างนั้นหรือ เท่านั้นเอง นี่มันก็ดีเหมือนกัน
คนไทยเรามีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “ช่างหัวมันเถอะ” ฟังแล้วดูเป็นคำตลาดๆ ไปหน่อย แต่ถ้าเอามาใช้ในแง่ธรรมะ มันก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน เช่นมีอะไรเกิดขึ้นเราก็ว่า ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมันเถอะ เราว่าอย่างนั้น คอยพูดกับตัวเองไว้ ชั่งหัวมันเถอะ ใครจะพูดจะนินทาว่าอย่างไรเราก็ว่า ชั่งหัวมันเถอะอย่างนี้มันก็สบายใจ ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน
เขาเล่าว่า พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ท่านสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ท่านองค์นี้เป็นนักเรียนนอกเหมือนกัน แล้วก็ไปบวชประเทศศรีลังกา บวชแล้วสร้างวัดวาสร้างเจดีย์อะไรไว้สวยงาม ท่านเป็นนักเรียนวิศวะ แล้วก็ต่อมาท่านก็ลาสิกขา กลับมาอยู่ที่วัดกรุงเทพฯ ที่หน้าวังของท่านมีตาชั่ง เหมือนกับกระทรวงยุติธรรมวางไว้อันหนึ่ง แล้วในตาชั่งอันนั้นแกวางอะไรไว้รู้ไหม วางหัวมันไว้สองหัว ชั่งหัวมันนั้นเอง ติดไว้หน้าวัง คนเดินไปเดินมาท่านมานั่งมองดู คนเห็นชั่งหัวมันก็ว่าเจ้าวังนี้ไม่ค่อยเต็มเต็ง ชั่งหัวมันท่านได้ยินก็ยิ้ม ยิ้มว่าคนมันว่า ว่าเจ้าชั่งหัวมัน ท่านเอาหัวมันมาวางไว้เพื่อสอนคน สอนว่า ให้ชั่งหัวมันเสียมั่ง อย่าไปยึดไปถือ อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่านึกว่าเป็นของกูๆ ตลอดไป ให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง ใครเขาว่าอะไรก็ชั่งหัวมันเถอะ มันก็ไม่มีอะไร อันนี้มันก็ดี
สังคมในยุคปัจจุบันนี้น่าจะใช้ ใช้คำว่า ชั่งหัวมันเสียมั่ง เวลามีอะไรเกิดขึ้นชั่งหัวมัน พอพ้นระยะหนึ่ง เรียกว่าระยะสั้นส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น เราต้องมาคิดว่า เออ เขาว่าอย่างนั้นเขาว่าออย่างนี้ มีอะไรเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ ก็แก้ไขต่อไป นี้เรียกว่าในฝ่ายเสีย ด้านเขาติเรา ในเรื่องชมก็เหมือนกัน คนที่ชมเรานั้นก็ต้องระวังเหมือนกัน อยู่ดีๆ มาถึงเขาก็ชมใหญ่เชียว ต้องมีแผนการแล้ว มาชมอย่างนั้น จะยืมสตางค์เรา หรือจะขออะไรจากเรา หรือว่าจะไหว้วานเราให้ทำอะไรแก่เขา มันมีเรื่อง อยู่ดีๆ จะมานั่งชม มันไม่ได้อะไร ต้องมีเรื่อง เราอย่าไปหลงลมที่เขาชมเรา แต่เราต้องคิดว่าเออมันจะมาไม้ไหนก็ไม่รู้ ทำอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องระวังตัวไว้ เพื่อจะได้แก้สถานการณ์ต่อไป และถ้าหากว่าใครเขาชมเราเราอย่าไปเมา แต่เราคิดงว่าเออเขาว่าเราดี เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เรามีอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเรามองเห็นว่าเรามี ดีแล้วสมตามที่เขาชมเรา ต้องรักษาระดับความดีนี้ไว้ แล้วก็ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ อันนี้จะช่วยให้สบายใจ ไม่เกิดปัญหายุ่งยากแก่ชีวิตจิตใจของเรามากเกินไป ในเรื่องเกี่ยวกับคคำติคำชม
ในเรื่องอื่นก็เหมือนกัน เช่นเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ญาติโยมทั้งหลาย ในชีวิตประจำวันก็ย่อมมีความทุกข์บ้าง มีความสุขเกิดขึ้นในใจบ้าง ไม่มีใครเลยจะเป็นสุขตลอดเวลา หรือเป็นทุกข์ตลอดเวลา ถ้าผู้นั้นยังไม่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นั้นท่านมีแต่ความปกติ เขาไม่เรียกว่าเป็นสุข ท่านปกติของท่าน คือจิตของท่านอยู่ในสภาพปกติ ไม่ขึ้นไม่ลง แต่ว่าปุถุชนเรานี้ ยังขึ้นยังลง ถ้าขึ้นก็เรียกว่าเป็นความสุข ถ้าลงก็เรียกว่าเป็นความทุกข์ นั่นเป็นเรื่องของคนธรรมดาๆ ที่ยังอยู่ในกระแสของกิเลส คือยังยินดียินร้าย ยังพอใจ ไม่พอใจ ยังเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็เรียกว่าเป็นสุขเป็นทุกข์
แต่ชีวิตของพระอรหันต์นั้น ท่านไม่มีสภาพเป็นอย่างนั้น ท่านมีสภาพจิตเป็นปกติ จิตปกติของพระอรหันต์นั้น คือผุดผ่อง ไม่มีเศร้าหมอง ไม่มีความขุ่นมัว ไม่มีกิเลสเข้ามาเกาะจับอยู่ในจิตใจของท่าน อะไรจะมากระทบอายตนะของท่าน รูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น อะไรมากระทบกายประสาท ไม่มีอำนาจปรุงแต่งจิตใจของท่าน จิตใจของท่านไม่ถูกปรุงแต่ง ท่านจึงอยู่ในสภาพที่เรียกว่าปกติ
ความปกติอันนี้แหละ เราเรียกว่าสุข อย่าพูดว่าสุขอย่างยิ่ง พูดตามภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่ภาษาของพระอรหันต์ ภาษาของพระอรหันต์นั้นไม่มีคำว่าสุขว่าทุกข์ ทีแต่คำว่า ปกติ คือมันอยู่อย่างนั้น คือไม่ขึ้นไม่ลง แต่พูดให้ชาวบ้านเข้าใจก็ว่ามีความสุขเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ขึ้นไม่ลงอะไรทั้งนั้น นั่นสภาพของพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราที่เป็นคนธรรมดา ยังอยู่ในอำนาจของอารมณ์ คือสิ่งใดมากระทบก็เกิดหวั่นไหว ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เพราะอารมณ์นั้นๆ มากระทบ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เราควรจะได้ทำอย่างไรที่จะไม่ให้จิตขึ้นลงกับอารมณ์นั้นๆ พูดกันโดยปกติแล้ว ญาติโยมทุกคนไม่ต้องการอยู่อย่างเป็นทุกข์ แต่ต้องการอยู่อย่างมีสุขใจสบายใจ ความสุขใจสบายใจ ก็หมายความว่า มีสภาพจิตใจสงบเหมือนน้ำอยู่ในถ้วยแก้ว มันอยู่นิ่งไม่กระเพื่อม เพราะไม่มีอะไรมากระทบให้เพื่อม แต่ถ้าเราไปดูน้ำในที่บางแห่ง เช่นน้ำในหนองในบึง มันกระเพื่อม แม้แต่ในทะเลที่ทางกรมอุตุเขาบอกว่าทะเลเรียบ มันเรียบอย่างแบบทะเลนั่นเอง ไม่ใช่ว่าเรียบอย่างนั้น ไม่ใช่ แต่ว่าคลื่นมันน้อยๆ มันไม่รุนแรง เราจึงเรียกว่า น้ำทะเลเรียบ
จิตใจก็มีสภาพเช่นนั้น ถ้าหากว่ามันสงบ ก็หมายความไม่กระทบกระเทือนด้วยสิ่งที่มารบกวนจิตใจ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น จิตใจของผู้นั้น อยู่ในสภาพสงบ แต่ว่าในปกตินั้น มันไม่สงบ บางครั้งก็มีเรื่องกลุ้มใจ วิตกกังวล ด้วยปัญหาอะไรๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นเรามีครอบครัวก็ต้องมีปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับลูกบ้าง เกี่ยวกับงานบ้าง ทรัพย์สมบัติกิจกรรมอย่างโน้น อย่างนี้อย่างนี้อะไรต่างๆ นานา ทำให้ต้องมีความวิตกกังวลวุ่นวายใจอยู่บ้างบ่อยๆ และในขณะที่เรามีความวุ่นวายทางจิตใจนั้น เราลองสังเกตุใจเราว่าเป็นอย่างไร มันร้อนหรือว่าเย็น สงบหรือว่าวุ่นวาย มืดหรือว่าสว่าง
ถ้าเราพิจารณาตัวเองแล้วจะรู้ว่า มันมีความร้อนบ้างวุ่นวายบ้าง มืดบอดไปด้วยอำนาจกิเลสที่มากระทบจิตใจบ้าง อันนี้เป็นความสุขหรือไม่ เราก็ตอบว่ามันไม่เป็นความสุข แต่มันเป็นความร้อนอกร้อนใจ ไม่มีความสงบใจ และถ้าเราอยู่ในสภาพเช่นนั้น สักชั่วโมงหนึ่งสองชั่วโมง เราจะสบายไหม ไม่สบาย คล้ายๆ กับอยู่ใกล้กองไฟ ผิวหนังมันร้อนผ่าวอยู่ตลอดเวลา จิตใจมันเผาอยู่ด้วยอารมณ์อย่างนั้นตลอดเวลา อันนี้เป็นความทุกข์ทางจิตใจ เป็นเรื่องที่เราจะคิดแก้ไข
การศึกษาธรรมะ การปฏิบัติธรรมะ ในทางพระพุทธศาสนานั้น ก็มีจุดหมายอยู่ที่เรื่องนี้ เรื่องว่าเราจะอยู่ได้อย่างไร จึงจะมีจิตใจสงบเป็นปกติอยู่ได้ตลอดเวลา อันนี้เป็นปัญหาที่เราต้องศึกษา จากธรรมะ ของพระพุทธเจ้า จากวิธีแนวปฏิบัติจากแนวธรรมะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งทรงวางไว้ เพื่อเราอยู่ได้เป็นปกติไม่วุ่นวายมากเกินไป
บางคนอาจจะนึกไป วันนั้นคุยกับนักศึกษาหลายคน เป็นนักศึกษาผู้ใหญ่แล้ว ได้ปริญญาโทแล้ว กำลังทำปริญญาเอกอยู่ บอกว่าโลกในสมัยนี้มันแข่งขันกันในเรื่องการทำมาหากิน คนเราที่จะไปวัดไปวาเพื่อปฏิบัติตนไปนิพพานนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เขาพูดว่าอย่างนั้น อาตมาได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็นึกในใจว่า นี่ยังไม่เข้าใจความหมาย ยังไม่รู้จุดหมายแท้จริงของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานั้น สอนให้เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้เราอยู่ในโลกได้อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ให้โลกมันทำร้ายเรา นี่จุดหมายมันอยู่ตรงนี้ ให้เราอยู่ในบ้านเรือน ปฏิบัติหน้าที่การงานเป็นปกติ โดยไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ได้หมายความว่า เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วต้องทิ้งบ้านทิ้งช่อง มาอยู่วัดวาอาราม หรือว่าไปอยู่ป่าดงอะไรอย่างนั้นไม่ใช่
ก็มีบ้างสำหรับบุคคลบางประเภท เช่นว่าผู้ที่มาบวชเป็นพระ ตั้งใจจะบวชอยู่ตลอดชีวิต ก็เพื่อจะได้ทำกิจพระศาสนา เพื่อศึกษาให้ลึกซึ้ง เพื่อปฏิบัติให้พ้นจากความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด แล้วจะได้เป็นพี่เลี้ยงญาติโยมทั้งหลายต่อไป ช่วยตักเตือนแนะนำญาติทั้งหลาย ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ อันจะช่วยให้ชีวิตเรียบร้อยก้าวหน้า นั่นเป็นประเภทหนึ่ง แต่ว่าประเภทคนทั่วไปที่ยังคลุกคลีอยู่กับงาน ต้องทำการค้าขายธุรกิจ ติดต่อกับคนนั้นคนนี้ ทางศาสนาไม่ได้ห้าม ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าให้ทำอย่างผู้มีปัญญา ไม่ใช่ทำด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อนวุ่นวาย จิตใจกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้ทำด้วยจิตใจที่รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น ตามสภาพที่เป็นจริง สิ่งนั้นไม่ทำให้เราเกิดเป็นปัญหา ไม่ให้เราต้องเป็นทุกข์
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ให้เราทำงานด้วยความเพลิดเพลิน ด้วยความสนุกสบาย ไม่ใช่ทำงานด้วยความทุกข์ใจ ด้วยความเดือดร้อนใจ หรือด้วยความกระวนกระวาย ด้วยประการต่างๆ แต่ให้ทำงานด้วยอารมณ์สดชื่นรื่นเริง มีความสะดวกสบายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างานที่เราทำนั้นจะเป็นหนักงานเบา งานไกลงานใกล้ ยากง่ายอย่างไร ใจเราเป็นปกติคงเดิม ไม่ใช่ว่าพองานหนักแล้ว ใจมันหนักขึ้นมา พองานเบาก็เบาขึ้นมาไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นเรียกว่ายังไม่ถึงธรรมะ ยังไม่รู้เท่าทันของสิ่งที่เข้ามากระจิตใจเรา เมื่อใดเรามีความรู้สึกในใจว่าเหมือนกัน งานหนักกับงานเบาเท่ากัน เหมือนกันในแง่ที่ว่า มันเป็นงานเท่านั้นเอง แล้วเป็นงานที่ต้องใช้สมอง ใช้ปัญญาคิดอ่าน เพื่อทำให้มันสำเร็จไป และในขณะที่เราทำนั้น เราไม่ได้ทำด้วยอารมณ์รีบร้อน แต่เราทำด้วยใจสงบเย็น การทำด้วยอารมณ์รีบร้อน กับการกระทำด้วยใจสงบเย็นนั้นมันผิดกัน
ให้สังเกตง่ายๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน เวลาเราเดินทางไปไหนๆ ถ้าเราเดินด้วยความรีบร้อนมันเหนื่อยมาก แต่ถ้าเราเดินตามปกติ มันก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน แต่ว่าจิตใจนั้นไม่เหน็ดเหนื่อย เรามีปกติทางด้านจิตใจ หรืองานอะไรอื่นก็เหมือนกัน ถ้าเราทำด้วยความรีบร้อนนั่งเป็นทุกข์ ตัวอย่างง่ายๆ เช่นเราหุงข้าว ถ้าเราหิวเราจะรู้สึกว่ามันเดือดช้า เอาหม้อไฟฟ้าใส่ข้าวใส่น้ำ เสียบปลั๊กแล้วเรากำลังหิว นั่งมองหม้อข้าวทำไมมันเดือดช้าจริงๆ แรงไฟวันนี้มันเป็นอย่างไร ทำไมมันไม่เดือด ใจมันต้องการไว มันไม่ทันใจ เรามีความทุกข์ ใครมาพูดจาขวางหูเข้า เดี๋ยวก็เปรี้ยงปร้างเข้าให้เท่านั้นเอง นี่คือใจมันไม่ดี เพราะว่าไม่รู้จักบังคับใจตัวเอง
แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักบังคับใจตัวเองได้ เราก็เสียบปลั๊กเข้าไป แล้วก็นั่งเฉยๆ มันร้อนของมันเอง แรงไฟมันวิ่งของมันเอง แล้วพอร้อนหม้อข้าวสุก มันตัดไฟของมันโดยอัตโนมัติของมันเอง เราไม่ต้องร้อนใจ เตรียมชามไว้ตักข้าว เตรียมช้อน เตรียมซ่อมไว้กินก็แล้วกัน อย่างนี้มันก็ไม่ยุ่งใจ อาการเช่นนี้มีแก่เราหรือไม่ ญาติโยมลองนึกเอามันก็มีเหมือนอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ มีเอาบ่อยๆ เช่นขับรถไปไหนๆ บางทีก็ขับด้วยความร้อนใจ พอรถติดก็ยิ่งร้อนใจใหญ่ เพราะว่าไปไม่ได้ แล้วเวลาที่รถติดนั้นเราร้อนใจมันไปได้หรือเปล่า ก็ไปไม่ได้ก็ยังติดอยู่นั่นแหละ เพราะว่ารถข้างหน้ามันไม่เคลื่อนเราจะเลื่อนไปได้อย่างไร แต่ว่าใจมันไปก่อนรถ นี่แหละที่มันยุ่งใจ ความต้องการมันวิ่งไปข้างหน้า วัตถุยังไม่เคลื่อน แต่ใจของเราเคลื่อนเสียแล้ว จึงได้สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นในใจของเรา ด้วยประการต่างๆ
การปฏิบัติธรรมะก็เพื่อจะให้มีปัญญา ได้ระงับยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้เกิดความร้อน เกิดความกระวนกระวาย ในสิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่ได้ยังไม่มี เราต้องรู้จักรอต่อสิ่งนั้น ว่าเมื่อไหร่มันจะถึงเวลา ก็ต้องรอไปก่อน รอด้วยความสงบเยือกเย็น ผู้ใดมีใจสงบมีใจเยือกเย็น ผู้นั้นย่อมเป็นสุขในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ แต่ถ้าเกิดอารมณ์ร้อนเมื่อไหร่แล้วก็ไม่สบายใจ แล้วสังเกตดูว่าคนที่มีความร้อนในทางจิตใจบ่อยๆ นั้น ร่างกายมักจะผิดปกติ เช่นว่ามือไม้สั่นบ้าง ศีรษะสั่นบ้าง ประสาทมันเสียนั่นเอง เพราะเราไปเผามันบ่อยๆ ทำให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป คือโทษในทางกายแล้วก็เป็นทุกข์ต่อไป
แต่ถ้าเราเป็นใจสงบเย็นแล้วไว้ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะให้เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นต้องหัดในเรื่องนี้ เช่นเราอยู่ในบ้านหัดได้ง่าย เพราะมีสิ่งรบกวนใจอยู่ตลอดเวลา เช่นว่าคนใช้บางทีมันก็ทำงานถูก บางทีก็ทำไม่ถูก บางทีก็ทำช้าไป บางทีก็เร็วไปอีก จนของเสียหายตกแตกไปก็มี ถ้าเราไปขุ่นกับอารมณ์ของคนใช้ เราจะไม่สบาย แล้วคนใช้จะหัวเราะเราอีกด้วยซ้ำไป หัวเราะว่านายเราอย่างนั้นขึ้นๆ ลงๆ ประเดี๋ยวเป็นอย่างนั้น ประเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ วันก่อนนี้มีคนในบ้านๆ หนึ่งขับรถมาแล้วก็คุยเรื่องนายให้ฟัง แกนินทานายแกนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร แกนินทาแบบขำๆ บอกว่านายผมอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรต่างๆ จะไปเล่นไพ่ขับรถให้ไม่ทันใจก็โกรธ ตอนเลิกไพ่แล้วไปรับไม่ทันก็โกรธ เราไปไม่ทันรถมันติดอย่างนั้นอย่างนี้
นี่แหละ เขาเรียกว่าคนใช้มันมองนายในแง่น่าขำไป เพราะเราทำตัวตลกให้เขาหัวเราะ แต่ว่าเราจะต้องมีจิตใจสูงกว่าคนที่เราใช้ ใจที่สูงกว่าก็คือใจที่มีสติปัญญา รู้จักยังยั้งชั่งใจ ใจสงบใจเยือกเย็นไม่โกรธเคืองอะไรในเรื่องอะไรต่างๆ การดุการว่าคนไม่ฉุนเฉียวแล้วดุ ดุอย่างนั้นเหมือนกับดุตัวเราเอง เอาไฟไปเผาเขาแล้วเราก็ร้อนเองด้วย ไม่ดีอย่างนั้น เราดุด้วยใจเย็นเรียกมาสอนมาเตือน ทำอย่างนั้นไม่ถูกทำอย่างนี้ไม่ถูก ทำอย่างนั้นของเสียหายจะต้องระมัดระวัง ทำอะไรชนิดที่รวดเร็วอย่างนั้น หรือว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ ค่อยพูดค่อยจากัน ถ้าเราค่อยสอนค่อยแนะค่อยเตือนไป คนใช้นั้นก็จะมีจิตใจดีขึ้น เพราะเราคอยกล่อมเกลาเขา คอยแนะคอยเตือนเขา
อีกประการหนึ่ง ทำให้คนที่เขาอยู่กับเรานั้นมีความจงรักภักดี ความจงรักภักดีนั้น เกิดขึ้นเพราะเราไม่โกรธเขามากเกินไป แสดงความเห็นใจ ไม่แสดงอาการฉุนเฉียว อันคนที่โง่นั้นเป็นที่น่าสงสาร คนไม่มีความรู้เป็นคนที่น่าสงสาร แทนที่เราจะไปเกลียดเขา เรานึกว่าเป็นคนที่น่าสงสาร น่าเห็นใจ เราควรจะช่วยเขาในรูปใด เพื่อให้เขามีความคิดดีขึ้น มีการกระทำดีขึ้น อย่างนี้ก็จะทำให้สบายใจ ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน การที่เราจะควบคุมจิตใจของเรานั้น นี่เป็นเรื่องสำคัญ การควบคุมจิตใจก็ควบคุมสิ่งที่มากระทบ ไม่ให้มันเกิดอะไรขึ้นมา คุมบ่อยๆ ทำบ่อยๆ แล้วก็ค่อยดีขึ้นเอง มันดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวเป็นอัตโนมัติ ถ้าเราหมั่นทำบ่อยๆ คือหัดให้มีสติคอยควบคุมตัวเองไว้ ยังยั้งชั่งใจ อะไรมากระทบก็ไม่ให้เกิดอะไรวู่วาม อย่างนี้จะสบายใจได้ประการหนึ่ง คือการต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า ความสุขความทุกข์ในชีวิตประจำวัน นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด
ทีนี้ประการหนึ่ง เมื่อตะกี้นี้พูดขึ้นต้นว่า นายเมาเจ๋อตุงแกตายไป แล้วก็พูดให้โยมรู้ว่า ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่ทุกชีวิต อันนี้คนเราไม่ค่อยได้คิด เรื่องความตายไม่ค่อยคิด เพราะคนเราไม่ค่อยคิด เพราะคนเรามีความต้องการที่จะอยู่มาก ทุกคนเหมือนต้องการที่จะอยู่ทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย แต่ว่าก็ไม่ได้ว่าไม่ให้อยู่ อยู่ไปตามเรื่อง แต่เราจะต้องคิดไว้บ้างว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องถึงจุดจบเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้คิด
ปกติคนเราไม่ค่อยจะได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องความตายนี้แหละ จึงทำให้คนเกิดความประมาทมัวเมาในทรัพย์สมบัติ มัวเมาในความเป็นใหญ่ในอำนาจวาสนา ในเรื่องอะไรต่างๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับความตายไว้บ้าง ถ้าหากว่าได้เอาความตาย ที่เราได้เป็นข่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า แกเองนี่แหละสุดท้ายชีวิตมันก็จบลงกันที่ตรงนี้ แม้จะมีอำนาจสักเท่าใด ยิ่งใหญ่สักเท่าใด ใครๆ เขาก็จะเคารพบูชาสักเท่าใด ก็ต้องถึงจุดจบคือถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เมื่อเราคิดอย่างนั้นเราก็ควรจะถามตัวเราเอง พิจรารณาถึงสังขารร่างกายของเราเอง ว่ามันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะว่าความตายกับความเกิดนั้น เป็นของคู่กัน มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งมันจะปรากฏแก่ตาของเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้น การนึกคิดในเรื่องความตายนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรียกว่าอัปมงคลอะไร แต่เป็นเรื่องเป็นมงคล เป็นเหตุให้คนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานด้วยประการต่างๆ เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายไว้บ้าง คนที่นึกถึงความตายนั้น จะเป็นคนที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้มันน้อย มันสั้น เราควรจะรีบทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ถ้านึกถูกต้อง แต่บางคนมานึกถึงความตายไม่ถูกเป้าหมาย คือพอไปเห็นคนอื่นตาย หรือใครตายแล้วใจอ่อนไป กลัวต่อความตาย มืออ่อนตีนอ่อน แล้วก็นึกว่า จะทำไปทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ไปนึกอย่างนั้น อันนี้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ตรงตามจุดหมายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความตายนั้น ก็เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีจากความตายไปไม่พ้น และเมื่อรู้ว่าเราจะต้องตาย หนีจากความตายไปไม่พ้นแล้ว เราควรจะได้ใช้ชีวิตเท่าที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ
ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อันใด จงทำหน้าที่อันนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง อย่างนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นการนึกถึงความตาย คือให้นึกว่าเราจะต้องตาย เมื่อนึกว่าจะตายแล้วเราก็ไม่ประมาท รีบเร่งกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เช่นในเรื่องการงาน ในด้านวัตถุ ที่เราพูดในภาษาธรรมะว่า ในด้านคดีโลก คดีโลกหมายความว่าในด้านวัตถุ เช่นการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ประกอบการงานไปตามหน้าที่ เราก็ทำไปตามเรื่องตามหน้าที่ที่เราจะกระทำได้ แล้วก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียบร้อยทำให้ดีที่สุด เพราะเรานึกว่าชีวิตไม่แน่ไม่เที่ยง เราอาจจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะดับลงไปให้งานที่เหลืออยู่นี้สมบูรณ์เรียบร้อย ไม่ให้ใครติเราได้ว่าเราบกพร่องในหน้าที่ บกพร่องในการงานทำให้ดีทุกวินาทีของงานนั้นๆ เวลาเราตายไปก็ไม่มีใครด่าว่า ไม่มีใครติเรา ว่าเป็นคนอย่างนั้นเป็นคนอย่างนี้ เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายอยู่แล้ว ได้ทำงานนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัว ส่วนรวม ตลอดจนถึงประเทศชาติ เช่นเราเป็นข้าราชการก็ทำงานให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามหน้าที่เราจะกระทำได้ ยิ่งคนที่ใกล้จะเกษียณด้วยแล้ว ยิ่งนึกเรื่องให้มากหน่อย ว่าเรานี้ใกล้เกษียณแล้ว ฝากฝีไม้ลายมือไว้ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ในสำนักงานของเรา เมื่อเราออกไปแล้ว คนมาอยู่ทีหลังจะได้เอาเป็นตัวอย่าง จะพูดจาสรรเสริญเยินยอคนชื่อนั้น ทำงานอยู่ในกรมนี้กองนี้ในกระทรวงนี้ ออกจากราชการไปแล้ว ท่านทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ไว้หลายอย่าง หลายประการ คนมาทีหลังก็จะเชิดชูบูชา เพราะเราทำอะไรดีไว้
เพราะเรื่องการกระทำอะไรทิ้งไว้เป็นความดีนั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนจะต้องกระทำ การกระทำอะไรไม่ดีนั้น นอกเหนือหน้าที่ เรียกว่าไม่ปฏิบัติธรรมะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นธรรม แล้วก็สบายใจ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งบุคคลที่เป็นนักการเมือง ทำงานแก่ประเทศชาติบ้านเมือง เวลานี้เขาเรียกว่ามีผู้แทน มีผู้บริหารประเทศชาติคนหนึ่งก็สี่ปีเท่านั้น สี่ปีแล้วก็เหมือนกับว่าสี่ปีตาย คือตายจากการเมืองไป จะเกิดอีกหรือไม่นั้นมันอยู่ที่ประชาชน แล้วไม่ใช่อยู่ที่ประชาชน ล้วนอยู่ที่ผลงานที่ทำไว้ ถ้าเราทำงานได้ดีก็เกิดอีก แต่ถ้าหากว่าเราทำงานไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นประโยชน์เขาก็ไม่ให้เกิด หมายความว่าสี่ปีตายไปเลย ไม่ได้เกิดอีกต่อไป นั่นก็เป็นความตายเหมือนกัน เรียกว่าตายจากหน้าที่การงานการเมืองไป เพราะว่าเราทำไว้ไม่เหมาะไม่ควร
แต่ถ้าเราทำดีไว้ มีอาลัยใยดีกันอยู่ ต้องให้เกิดอีก ต้องเลือกอีกคนนี้มันเก่ง งานดี ซื่อสัตย์ สุจริต มือสะอาด ทำงานเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็มาเกิดต่อไป เกิดต่อไปก็ทำต่อไป ไม่ใช่ว่านึกว่าจะอยู่ค้ำฟ้า อยู่แค่สี่ปีเท่านั้น อนาคตขึ้นอยู่กับงานในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้ดีที่สุด ก็ทำงานไปด้วยความเรียบร้อยก้าวหน้าด้วยดีนั่นเรียกว่านึกถึงความตายในระยะสั้น
แต่ถ้าเราระลึกถึงในระยะยาว ว่าชีวิตของเรานี้ มันไม่ยั่งยืนถาวร เรามีโอกาสได้เข้าไปรับใช้ประเทศชาติ ชั่วระยะที่เขากำหนดให้เราเป็น ต้องเป็นให้สมบูรณ์ เป็นให้เรียบร้อย เป็นให้ชื่นชอบแกคนทั้งหลาย ที่เขามองดูอยู่ คือเจ้าของงาน ประชาชนคือเจ้าของงาน เราเข้าไปทำงานให้แก่เขา เขามองเราเพ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราทำดีทำเรียบร้อยเขาก็จ้างต่อ แต่ถ้าทำไม่เรียบร้อยเขาก็ปลดออก เพราะฉะนั้นจึงต้องจัดงานให้เรียบร้อย ให้ก้าวหน้า เป็นไปทุกประการ เพราะนึกถึงความตายนี้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง ถ้าเรานึกถึงความตายว่า ชีวิตเรามันไม่แน่นอน เราจะต้องจากงานนี้ไปเมื่อใดก็ได้ เราก็ควรจะให้คนอื่นเขาทำต่อไปแทนเรา สร้างงานสร้างการสร้างระเบียบอะไรทุกอย่าง เพื่อให้คนอื่นเขาทำแทนเราต่อไป เราจะได้ออกไปนั่งดูผลงานที่เราทำไว้ การให้คนอื่นทำแนนนั้นเราออกนั่งดู ให้คำปรึกษาคำตักเตือนเขาได้ ว่าคนนั้นจะได้ทำอะไรต่อไป มีคนอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านเป็นผู้ไม่ประมาท เลี้ยงลูกดี คือลูกทุกคนให้ทำงาน มอบงานให้ แล้วควบคุมอยู่ ดูตลอดเวลา เพราะนึกว่า ไม่กี่วันพ่อจะตายแล้ว แต่ว่าพ่อคนนั้นก็ไม่ตาย อยู่มาถึงเจ็ดสิบกว่าจึงตาย แต่เมื่อตัวตายนั้น ลูกสร้างงานเป็นหลักฐานทั้งนั้น งานดีเพราะว่าพ่อคอยคุมไว้ คอยแนะนำตักเตือน คอยติข้อบกพร่อง แล้วคอยชี้แนะ ว่าควรจะทำอะไรต่อไป คอยแนะคอยเตือนเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูกๆ ลูกๆ ก็ทำงานก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี พอพ่อถึงแก่กรรมไป กิจการก็ไม่ล้ม เพราะว่าพ่อได้วางงานงานฐานไว้ดี นี้ฉันใด
ในประเทศชาติก็เหมือนกัน คนที่เข้าไปบริหารงานประเทศชาติ ถ้านึกถึงว่าชีวิตเรามันน้อยมันสั้น เราจะไม่ได้อยู่ยั่งยืนตลอดไป แต่ว่าชาติไม่ตาย เพราะว่ามีคนสืบต่อ เราให้คนอื่นเขาทำต่อไป เราทำมาพอสมควรแล้ว ถ้าคิดอย่างนี้แล้วยุ่งชีวิตไม่วุ่นวาย ไม่ต้องลำบาก ต้องอยู่อย่างสบาย เพราะเรารู้จักถอยทหารเขาถอยเป็น ไม่ใช่ว่ารุกตลอดเวลา
สงครามโลกครั้งที่สองที่มีชื่อว่า ดันเคิร์ก อยู่ในประเทศฝรั่งเศส การล่าถอยของทหารอังกฤษนั้นแหละ คือความชนะ ถอยเพื่อตั้งตัว เพื่อรบต่อไป ไม่ใช่บุกเข้าไปเป็นเหยื่อของปืนกล รถถังเยอรมันต่อไป เพราะเยอรมันมีปืนกล มีรถถังอย่างดี ขืนสู้ตายหมดเลย ถอยลงทะเล เรือแพมีกี่ลำ คนอังกฤษเขาพร้อมเพรียบกัน มีเรือหาปลาอะไรเอาไปใช้หมด เอาไปขนทหารข้ามฟาก เพื่อกลับมาบ้านเดิมก่อน มาตั้งตัวใหม่ แล้วผลที่สุดเป็นอย่างไร เยอรมันแพ้ เพราะมีการถอยทัพเพื่อตั้งตัวต่อไป เยอรมันบุกรัสเซียก็เหมือนกัน รัสเซียมันถอยเป็น เอาตีมาเถอะพ่อเจ้าประคุณ รุกใหญ่ พอถึงหน้าหนาวมันไปไม่รอดแล้ว เจ้าแม่เหมันต์ช่วยรัสเซียแล้ว เยอรมันต้องตั้งรับ ไอ้นั่นก็บุกใหญ่เลย เยอรมันก็แพ้ เพราะเขาถอยเพื่อเอาชัย
คนเราก็เหมือนกัน ต้องรู้จักถอย ในเวลาควรถอย รู้จักรับ ในเวลาควรรับ อย่างนี้มันก็ไม่เป็นไร การถอย การรับนี้ ก็ต้องนึกถึงความตาย ว่าเรานี้จะต้องตาย เพราะฉะนั้นมีอะไรควรถอย เราต้องถอย ทำอะไรก็ควรคิดควรทำต่อไปตามหน้าที่ เรื่องมันก็เรียบร้อย เป็นไปด้วยดี ไม่มีความเสียหาย อันนี้เป็นตัวอย่าง
เพราะฉะนั้น ในทางพระพุทธศาสนาท่านจึงสอนเราทั้งหลายว่า ให้เจริญมรณัสสติ เป็นอนุสสติประการหนึ่ง ในอนุสสติสิบประการ คือให้นึกเสมอๆ ว่าเราหนีความตายไปไม่พ้น ความตายกับชีวิตเป็นของคู่กัน เราอาจถึงความแตกดับเมื่อใดก็ได้ พูดไว้บ่อยๆ กับตัวอย่างนี้ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เราจะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ เช่นบิดามารดาตายจากไป เราไม่เสียใจเกินไป เพราะเรารู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา จะมีบ้างก็เรียกว่าพอรู้เท่าทัน พอจะบังคับตัวเองได้เราก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน อันนี้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเพราะคิดถึงความตาย
คนเราเวลาตายไปก็หมดเรื่องตอนหนึ่งของชีวิต ตายไปแล้วอะไรๆ ก็ทิ้งไว้ในโลกต่อไป เพราะเราทำเพื่อให้แผ่นดินนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไป ทรัพย์สินเงินทองไม่มีใครเอาไปได้ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ข้างหลังก็ได้ประโยชน์แก่คนข้างหลังต่อไป ไม่ใช่ทำเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราก็คิดผิด แต่เราทำเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติบ้านเมือง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คฤหัสถ์ผู้มีปัญญา แม้อยู่ครองเรือน ก็อยู่เพื่อประโยชน์แก่มหาชน” หมายความว่าทำอะไรเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน เราทำอะไรเพื่อคนอื่น ให้ต่างคนต่างทำเพื่อคนอื่น แล้วก็ดีเท่านั้นเอง มนุษย์จะมีเมตตาปรานีกัน เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเจือจุนกันในเรื่องต่างๆ ตามสมควรแก่ฐานะก็จะเกิดเป็นความสุขความสงบในสังคม อันนี้เป็นเรื่องที่เอามาพูด ให้ญาติโยมฟังในวันนี้ เพราะมีเรื่องการตายของคนคนหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมโลก ซึ่งทำให้คนดีใจก็มีเสียใจก็มี เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นอย่างนั้น ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงนี้
« « Prev : งานท่วม
Next : ความคิด » »
6 ความคิดเห็น
ถ้าตามรู้ทัน เกิด-ดับนี่มันเป็นอัตโนมัติที่แทบแยกเวลากันไม่ออก คนเร็วก็เลยไม่ทัน คนช้ามักจะทัน คนเคยเร็วที่มาฝึกให้ช้าแล้วกลับมาทันจะทัน จิตคนนี่แปลกจริงๆ
จะมาบอกว่า รู้แล้วว่าทำไมน้องรอกอดไม่ชอบปรากฎร่างในที่อโคจรของตนค่า อนุโมทนาด้วยนะน้อง
มาอีกที มาต่อรองว่า ชั่งหัวข้า เพื่อชั่งหัวมัน จะได้ผลเหมือนกันมั๊ย
โห มามุกนี้หงายหลังตึงเลย งอนๆๆๆๆแล้วละ
ฮาๆๆๆ โอ๋ โอ๋ สติครับ สติ…. คำมันเปิดช่อง
คำนี้ ตามพจนานุกรม ต้องใช้คำว่า ช่าง(หัว)มัน; ช่าง แปลว่า ปล่อย หรือวางธุระ
แต่ผมไม่ได้แก้ตัวสะกดสำหรับบันทึกนี้ครับ เติมแต่สี
ก๊ากๆๆๆ ได้แหย่คน ตื่นเต้ล ตื่นเต้ล เค้ารู้นะแหละก็เลยแหย่งาย….ตัวเอง….55555