ชีวิตนี้น้อยนัก

อ่าน: 3528

ชีวิตนี้น้อยนัก — บทพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

        มนุษย์เราอยู่ร่วมกันต้องให้อภัยกัน อย่าถือสีถือสากันอย่างง่ายดาย ไม่ดีไม่ถูก นี่พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ความเสียสละเพื่อชาติของเรานี่ยิ่งเป็นของสำคัญ การให้ทานเพื่อชาตินี้มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ทีเดียว เรียกว่ามหาทาน เราให้ทานคนนั้นคนนี้ ให้ทานมามากมาน้อยเพียงไรก็ตาม เรียกว่าเป็นทานธรรมดา ๆ แต่ทานนี้เราทานเพื่อชาติจึงกลายเป็นมหาทาน มีมากมีน้อยอานิสงส์มากที่สุด

        เราเกิดมาเรายังไม่เคยทำมหาทานต่อชาติของเรา คราวนี้เป็นคราวสำคัญของเราแล้ว ให้ทำให้เป็นมหาทาน มหากุศลนะ เราอย่าเสียดายในสิ่งที่ให้ไปเพื่อเป็นกุศล ให้เราเสียดายที่ความตระหนี่ถี่เหนียวมันเก็บไว้นั้นนะ เสียดายให้เอาออกมาทาน เราอย่าเสียดายในสิ่งที่เราเสียสละแล้วจะเป็นสิริมงคลแก่เราทั้งชาตินี้และ ชาติหน้า

                                                                          มหาทานมหากุศล
                                                                          ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๑

[ ตัดตอนจากความตอนท้ายสุด ในบทพระนิพนธ์ ชีวิตนี้น้อยนัก ]

ชีวิตนี้แม้น้อยนัก แต่ก็เป็นความสำคัญนัก สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในอดีตและชีวิตในอนาคต ที่ว่าชีวิตนี้คือชีวิตในชาติปัจจุบันนี้สำคัญ ก็เพราะในชีวิตนี้เราสามารถหนีกรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตได้ และสามารถเตรียมสร้างชีวิตในอนาคตให้ดีเลิศเพียงใดก็ได้ หรือตกต่ำเพียงใดก็ได้ ชีวิตในอดีตล่วงเลยไปแล้ว ทำอะไรอีกไม่ได้ต่อไปแล้ว ชีวิตในอนาคตก็ยังไม่ถึง ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าชีวิตนี้สำคัญนัก พึงใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้สมกับความสำคัญของชีวิตนี้

ชีวิตนี้น้อยนัก แต่มีความสำคัญนักด้วยเหมือนกัน ถ้าชีวิตนี้ไม่วิ่งหนีกรรมไม่ดีในอดีต ชีวิตนี้ก็จะรับผลกรรมไม่ดี ถ้าวิ่งหนีก็จะพ้นได้ กรรมไม่ดีจะตามทันหรือไม่ขึ้นอยู่กับชีวิตนี้ ยิ่งกว่านั้นถ้ากรรมตามทันในชีวิตนี้ ก็จะตามต่อไปได้อีกในชีวิตอนาคต กรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตมากมาย อาจจะตามไม่ทันตลอดไปก็ได้ ถ้าทำชาตินี้ให้ดีที่สุด

อ่านต่อ »


ไม่ก้าวหน้า เพราะไม่กล้าคิด

3 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 26 July 2008 เวลา 16:26 ในหมวดหมู่ สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 3741

Dr. Mansour Javidan  ได้ตีพิมพ์บทความ “Forward-Thinking Cultures” ใน Harvard Business Review ฉบับเดือน July/August 2007 ได้ยกเอาการศึกษาของ World Economic Forum โดยใช้ตัวเลขระหว่างปี 1998-2005 ของรายได้ประชาชาติต่อหัวประชากร ระดับของนวัตกรรม ความสุข และความเชื่อมั่นต่อสังคมและเศรษฐกิจ เป็นแกนตั้ง เรียกว่าแกน competitiveness — ส่วนแกนนอนเป็นผลจากการสำรวจผู้บริหารระดับกลางหมื่นเจ็ดพันตัวอย่างใน 61 ประเทศ แล้วจับมาพล๊อต ได้เป็นตารางนี้ครับ


Source: Mansour Javidan, “Forward-Thinking Cultures,”
Harvard Business Review (July/August 2007)

อ่านต่อ »


จิตใจระเบิดขวด

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 26 July 2008 เวลา 9:11 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 4314

พระราชดำรัส พระราชทานแก่ข้าราชการ นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน
คณะกรรมการของมูลนิธิและสมาคมต่างๆ เฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคล
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาผกาภิรมย์
วันพฤหัสบดี ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑

        ขอขอบใจที่พากันมาอวยพร ที่ให้พรนั้นสรุปได้ว่าให้ทรงพระเจริญ สิ่งใดที่ต้องการขอให้สำเร็จ คำให้พรให้เจริญนั้นจะเจริญได้ถ้ามีกำลังใจ เมื่อมาให้กำลังใจให้อย่างนี้ก็คงจะเจริญได้ ความเจริญนั้นมีหลายอย่าง จะเล่าให้ฟัง เมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ไปเฝ้าสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ ฯ ทรงเจริญชนมพรรษาถึง ๙๐ ทูลว่า ขอให้ทรงพระเจริญ แล้วลงกราบท่าน ท่านรับสั่งไม่ค่อยได้ เพราะไม่ทรงสบาย ทรงเจ็บพระศอ และทรงเพลีย แต่ในที่สุดก็รับสั่งว่า เจริญแล้ว คงจะหมายความว่าทรงพระชรามากแล้ว และตามความจริง สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ ฯ ก็ทรงพระเจริญมากด้วยคุณธรรม คือทรงมีความสามารถและความเพียรพยายามทุกด้าน โดยมากมักจะนึกถึงกันแต่ทางศิลปะ แท้จริงยังทรงสามารถทางการปกครองและทางวิชาการอื่นๆ อีก จึงทรงเป็นผู้ที่เจริญ และเมื่อตรัสว่าเจริญแล้ว จึงหมายความว่าพระชนมายุมากแล้วด้วย เจริญพอแล้วด้วย

        ที่ทุกคนมาให้พรว่าให้ทรงพระเจริญ คงจะให้เจริญทางจิตใจ วันนี้มีสมาคมองค์การต่างๆ โรงเรียน นักศึกษา และนักเรียนมาให้พรกันมากมายรวมทั้งสมาคมที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพจิตด้วย และเมื่อวันก่อนก็มีองค์การศาสนาต่างๆ ทุกศาสนาที่มีอยู่ในเมืองไทยมาให้พร ได้พูดด้วยทุกราย จึงต้องพูดกับนักเรียนบ้างเพื่อไม่ให้น้อยใจ ที่ตั้งใจจะพูดด้วยก็เรื่องสุขภาพจิต เพราะได้เคยพูดฝากกับผู้ที่เป็นสมาชิกสมาคมส่งเสริมสุขภาพจิตว่า “หมู่นี้ สุขภาพจิตไม่ค่อยดี” คุณหญิงอัมพรจึงมาให้พรว่า “ขอให้ทรงพระเจริญและให้พระสุขภาพจิตดียิ่งๆ ขึ้น” คำว่าพระสุขภาพจิตที่ใช้เป็นคำใหม่ มีความหมายอย่างไร ไม่ทราบได้ ตามจริงก็คงจะอยากให้พรให้มีสุขภาพทางจิตดี คิดว่าสุขภาพทางจิตหรือความรู้สึกนึกคิดจะดีได้ก็เพราะมีคนอื่นเอาใจช่วย อย่างที่ทุกคนมาเฝ้า ฯ นี้ ยินดีมีโอกาสพูดด้วย ถ้าทุกคน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งผู้ที่เป็นนักศึกษา และเป็นครู เห็นความสำคัญในเรื่องสุขภาพจิต ขอโทษ ขององค์พระประมุข ถ้าทุกคนร่วมมือกันทำงานตามจุดประสงค์แล้ว จะทำให้สุขภาพจิตขององค์พระประมุขดีได้ และถ้าแต่ละคนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่รู้สึกว่ามีหน้าที่ที่จะรักษาสุขภาพจิตของ องค์พระประมุข เมื่อถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ หรือให้ทรงพระชนมายุยืนนานเป็นร้อยปีหรือเป็นหมื่นปี ก็ขอให้เข้าใจว่าได้ถวายพระพรให้สุขภาพจิตขององค์พระประมุขดีด้วย

        คำว่าองค์พระประมุขนั้นแสดงถึงส่วนรวมของประเทศ คือแต่ละคนรวมกันเข้าก็เป็นประชาชน เป็นสังคมของประเทศ ผู้ที่อยู่ในที่นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ถ้าแต่ละคนอยากดีก็จะต้องช่วยกันทำให้ประเทศดีขึ้น อย่างเมื่อกี้เดินผ่านทหาร ตำรวจ นักเรียนที่เป็นลูกเสือ นักเรียนที่เป็นอนุกาชาด นักเรียนที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนรัฐบาล นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกคนพากันอวยพรให้ทรงพระเจริญ จึงต้องขอร้องทุกคนที่ขอให้ทรงพระเจริญนี้ทำหน้าที่ เพราะถ้าพูดหรือคิดขึ้นมาว่าขอให้ทรงพระเจริญ เป็นการคิดเป็นคำพูดลอยๆ เก๋ๆ ตามสมัย โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษายิ่งต้องพูดอย่างนั้นแล้วก็จะไม่ได้ผล แต่ถ้านึกถึงว่าทรงพระเจริญหมายความว่า องค์พระประมุขทรงพระเจริญ หมายความว่าประเทศจงเจริญก็เกิดหน้าที่ขึ้นมา แต่ละคนเกิดมีหน้าที่ต่อประเทศชาติ ซึ่งหมายความว่าหน้าที่ส่วนของตัวด้วยและหน้าที่ในส่วนรวมของกลุ่มด้วย

อ่านต่อ »


พักกาย พักใจ “รีเซ็ต”

7 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 25 July 2008 เวลา 22:59 ในหมวดหมู่ อาหาร ท่องเที่ยว กีฬา นันทนาการ #
อ่าน: 6505

หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เหนื่อยใจกับปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มคน อิอิ

พยายามแก้ไข ทั้งเสนอ-เตือน-ประเมิน-วิเคราะห์ เชื่อว่าทางออกในปัจจุบัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเพื่อนทุกคน แต่สิ่งใดจะเกิดก็เกิด มีเหตุมีผลในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายที่ถูกอยู่ด้านเดียว แล้วฝ่ายอื่นๆ ผิดหมด — ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

เมื่อเจ็ดปีก่อน ผมได้บทเรียนชีวิตที่สำคัญอยู่อันหนึ่ง ว่า “คนแบกโลก แบนลูกเดียว” ไม่ว่าจะคิดว่าตัวเจ๋งขนาดไหนก็ตาม เจ๊งแน่

เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ผู้ซึ่งยุ่งไปซะทุกเรื่อง มักตายอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครเข้าใจ…

…ผมเคยคิดว่าผมเจ๋ง ทำอะไรก็สำเร็จมาตลอดชีวิต ยิ่งสำเร็จก็ยิ่งสนุก ยิ่งมุมานะ ทำอยู่ห้าปีไม่ได้พักเลย พอร่างกายรู้สึกว่าไม่ไหว มันก็ช้าเกินไปแล้ว ความเครียดสะสม นอกจากเล่นกอล์ฟเป็นครั้งคราวแล้วแทบไม่ได้ออกกำลังเลย ทำงานตลอดเวลา คิดตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด นอนก็ไม่นอน ไม่พักผ่อน แล้วร่างกายก็เจ๊ง จ่ายค่าซ่อมไป…อ๊ะจึ๋ย…ไม่อยากบอก

ในเมื่อถึงที่สุดแล้ว สิ่งใดจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด เพราะไม่สามารถจะไปทำอะไรได้อีกแล้ว ก็แค่นั้นเอง…

ความเครียด ความทุกข์ เกิดเพราะเราไปรับเอามันมาใส่ในใจของเราเอง ไม่รู้จักวางเอง สมน้ำหน้า

ไปเที่ยว

เมื่อไม่นานที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดของพ่อและแม่ — แม่อยากเที่ยวก็เลยจะไปเที่ยวกันครับ จะไปทำบุญวันเกิดพ่อซึ่งเพิ่งผ่านไปไม่นานด้วย ไปกันแปดคน พ่อ แม่ น้องชายสองคน น้องสะใภ้ หลานสาวอีกสองคน แล้วก็ผม

อ่านต่อ »


อย่างนี้ต้องช่วยกันไขลาน

12 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 25 July 2008 เวลา 3:52 ในหมวดหมู่ ลานปัญญา #
อ่าน: 23105

เดิมที ตั้งใจจะเขียนบันทึกนี้ในบล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่ก็มาคิดเข้าข้างตัวเองว่าบล็อกนี้น่าจะมีคนอ่านมากกว่าบล็อกอื่น จึงขอเขียนไว้ที่นี่แทน

เรื่องก็มีอยู่ว่า เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าในขณะนี้ ลานปัญญามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาก เครื่องแม่ข่ายอยู่ในต่างประเทศ ทำให้อัตราการร้บส่งข้อมูลมาเมืองไทยค่อนข้างช้า ขึ้นกับไอเอสพี ผู้ดูแลระบบไม่สามารถควบคุมเครื่องแม่ข่ายได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นเครื่องที่ใช้งานร่วมกับเว็บอื่นด้วย (web hosting) ยิ่งกว่านั้นโปรแกรมยังมีลูกเล่นให้ลอง ให้แต่งมากมาย ทำให้เว็บช้าลง

เพื่อบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับความเร็ว จึงขอเสนอมาตรการชั่วคราวให้สมาชิกพิจารณาดังนี้

  1. เรื่องสำคัญที่สุดคืออันนี้ครับ เข้า Dashboard เลือก Settings (ตั้งค่า) เลือก Reading (การอ่าน) แล้วเปลี่ยนค่า Blog pages show at most เป็น 5 เท่านั้น — เวลาอ่าน เราอ่านทีละบันทึก การตั้งค่าแบบนี้จะแสดง 5 บันทึกล่าสุด ถ้าอยากจะอ่านเก่ากว่านั้น มีปุ่ม เก่ากว่า อยู่ท้ายหน้าให้คลิกไปดูได้ การตั้งค่าแบบนี้ ทำให้ลานปัญญาไม่ต้องแสดงบันทึกที่โดยทั่วไปเราอ่านแล้ว
  2. ใส่รูปเท่าที่จำเป็น รูปที่ใส่ ปรับให้มีขนาดที่เหมาะกับการแสดงในบันทึก จริงอยู่ที่ลานปัญญาสามารถย่อและขยายรูปให้ได้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าไม่ต้องทำ ก็จะช่วยให้เร็วขึ้นมาก
  3. เอารูปที่หัวบล็อกออกก่อนชั่วคราว
  4. เอา widgets ที่ไม่จำเป็นออกชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Active Blogs (บล็อกที่มีจำนวนบันทึกสูงสุด) Calendar (ปฏิทินบล็อก) Categories (หมวดหมู่) Tags (คำสำคัญ) — widgets เหล่านี้ เรียกฐานข้อมูลบ่อยมาก ทำให้ระบบช้าลง
  5. หากสมาชิกคิดว่าจำเป็นต้องแสดงรายการใน widgets ยาวๆ เช่นความคิดเห็นล่าสุด ขอให้ประเมินดูว่าบล็อกของเรามีความเคลื่อนไหวมากน้อยแค่ไหน โดยปกติแสดงแค่ 5 ก็พอแล้ว ไม่ต้อง 10 หรือมากกว่านั้น — ยิ่งใช้ตัวเลขน้อย ก็ยิ่งเรียกฐานข้อมูลน้อย ซึ่งจะทำให้ระบบเร็วขึ้น
  6. เวลาเขียนบันทึก แทรก <!–more–> ลงไปด้วย จะทำให้ลานปัญญาตัดตอนบันทึกโดยแสดงคำว่า “อ่านต่อ” แล้วไม่แสดงข้อความหลังจากเครื่องหมายดังกล่าว ทำให้ลดปริมาณข้อมูลที่แสดงลงได้เป็นอย่างมาก
  7. ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว เมื่อเข้า Dashboard คลิกที่ Users  (ผู้ใช้) แล้วก็ Your Profile (รายละเอียดส่วนตัวของคุณ) จากนั้นก็เลื่อนลงมาดูที่ช่อง Website (เว็บไซต์) ให้ระบุ URL บล็อกของท่านในลานปัญญานี้ http://lanpanya.com/ชื่อบล็อก/ เพื่อที่เวลาคลิกที่ชื่อของท่านเมื่อท่านไปแสดงความคิดเห็นไว้ที่อื่น จะได้กลับมายังบล็อกของท่าน

เชื่อว่าจะได้รับเครื่องแม่ข่ายมาในเมืองไทยประมาณสัปดาห์แรกของเดือนหน้า แล้วจะใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะย้ายลานปัญญาเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งจะทำให้ระบบเร็วขึ้นกว่าเก่ามาก

การใช้งานในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีผู้ใช้เช่นในขณะที่เขียนบันทึกนี้ ระบบก็เร็วดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ในเวลาที่มีผู้ใช้พร้อมๆ กันหลายคน ระบบช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในระหว่างนี้ ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านให้ช่วยกันด้วยครับ


Protected: ย่ากับหลาน

Enter your password to view comments โดย Logos เมื่อ 25 July 2008 เวลา 1:21 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 4180

This post is password protected. To view it please enter your password below:



เขาพระวิหาร ตามความเห็นของ Google Maps

1 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 24 July 2008 เวลา 6:43 ในหมวดหมู่ ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ #
อ่าน: 4402

ทำไมต้องมีลานปัญญา

อ่าน: 3395

ไม่รู้ว่าสองวันมานี้ เกิดอะไรขึ้นนะครับ ตอนแรกก็มีโทรศัพท์มาถามว่าทำไม …เฮ…จึงแยกตัวออกมาจากที่เก่า ผมแย้งว่าคงไม่ถูกต้องนักที่จะเรียกว่าแยกตัว รัฐธรรมนูญรองรับสิทธิของประชาชน ว่าใครจะทำอะไรก็ทำตราบใดที่ไม่ละเมิดกฏหมายและไม่ละเมิดผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่ต้องขออนุญาตใคร มีสมาชิกลานปัญญาตั้งหลายคนที่ยังใช้ที่เก่าอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม สรุปว่าเราเห็นด้วยกันทั้งคู่ว่าการที่มีลานปัญญาเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ดีเพราะประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น… นิดนึงก็ยังดี

คืนนี้มีโอกาสได้ IM คุยกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถืออีกท่านหนึ่ง ท่านติดต่อมาเพื่อถามถึงวัตถุประสงค์ของลานปัญญา โดยอุปนิสัย ท่านเป็นคนจริงจังและจริงใจ ผมเรียนท่านว่าผมตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าลานปัญญาเป็นหลายอย่างสำหรับหลายคน แต่ละคนก็คงคิดไม่เหมือนกัน ถ้าจะเอาความคิดผมเป็นใหญ่ ไม่น่าจะถูกหรือดีสำหรับสมาชิก

อ่านต่อ »


สุขภาพจิต

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 24 July 2008 เวลา 2:10 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 3632

พระราชดำรัส เรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้
ในโอกาสที่คณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิต
อาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันต่างๆ
เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
วันอังคาร ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐

        สุขภาพจิตและสุขภาพทางกายนี้ มีความสัมพันธ์ที่จะโยงกันอย่างยิ่ง และเป็นความจริงตามที่ท่านอธิบดีได้แจ้งว่า ควรที่จะถือว่าสุขภาพจิตเป็นสำคัญสำหรับให้ประชาชนมีความผาสุกกันได้อีกข้อหนึ่ง ในการอบรมบุคลากรให้รู้จักใช้สุขภาพจิตนั้นก็เป็นข้อหนึ่งที่สำคัญ ข้อแรก สุขภาพจิตและสุขภาพกายนั้น พูดได้ว่าสุขภาพจิตสำคัญกว่าสุขภาพกายด้วยซ้ำ เพราะว่าคนไหนที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแต่จิตใจฟั่นเฟือนไม่ได้เรื่องนั้น ถ้าทำอะไรก็จะยุ่งกันได้ กายที่แข็งแรงนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือสังคมอย่างใด ส่วนคนที่สุขภาพกายไม่สู้จะแข็งแรงแต่สุขภาพจิตดี หมายความว่าจิตใจดี รู้จักจิตใจของตัวและรู้จักปฏิบัติให้ถูกต้อง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมาก และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มาก ในที่สุดสุขภาพจิตที่ดีก็อาจจะพามาซึ่งสุขภาพทางกายได้ หรือถ้าสุขภาพกายไม่ดีนักก็ไม่ต้องถือว่าเป็นของสำคัญ อันนี้เป็นในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิตกับกาย ในด้านที่จะศึกษาหรือสั่งสอนเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความหนักใจอยู่ เพราะว่าการศึกษาสุขภาพจิตเพื่อการศึกษาเฉยๆ หรือสอนเพื่อการสอนสุขภาพจิตเฉยๆ นั้น ย่อมจะไม่มีประโยชน์นัก แต่ว่าถ้าโยงกันว่า ผู้ที่จะปฏิบัติทั้งในด้านที่จะรักษาร่างกาย หรือปราบโรคในหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล แต่ใช้สุขภาพจิตด้วย ย่อมจะมีความสำเร็จได้มาก ฉะนั้นที่ว่าใช้สุขภาพจิตก็หมายความว่าตนเองหรือผู้ที่ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ที่จะสอนในวิชาอื่น หรือปฏิบัติงานอย่างอื่นนอกจากการรักษาพยาบาล ก็ย่อมต้องมีสุขภาพจิตที่ดี อย่าเพิ่งไปสอนสุขภาพจิต สอนตัวเองถึงสุขภาพจิตที่ดีหรือสภาพจิตที่ถูกต้องและความเห็นที่ถูกต้องก่อนจึงจะสอนได้ดี ยังในด้านการรักษาร่างกาย ถ้าสมมุติว่าให้ยาที่ถูกต้องแต่ด้วยวิธีที่ผู้ที่ให้นะสุขภาพจิตไม่สู้ดีนัก หมายความว่าโยนให้ หรือในเวลาที่คนไข้มาหานายแพทย์ๆ ก็ด่าเสียหน่อย คือก็กล่าวว่าทำไมจึงต้องมากวน ก็หมายความว่าสุขภาพจิตของผู้เป็นแพทย์นั้นไม่สู้ดีนัก การพัฒนาสุขภาพจิตจึงต้องพัฒนาที่ตัวผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าจะมาศึกษาสุขภาพจิตเฉยๆ การที่จะปฏิบัติด้วยสุขภาพจิตที่ดีก็หมายถึงว่าจะต้องอบรมตนเองให้มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ใช่ว่าจะไปสอนคนอื่น ผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีแล้วอาจจะสอนคนอื่นได้ ชักชวนให้คนอื่นมีสุขภาพจิตดี จนกระทั่งงานที่ทำมีความสำเร็จที่ดีได้ เช่นเวลารักษาผู้ป่วยก็ทำด้วยความละมุนละไม ทำให้ผู้ที่มีโรคสบายใจขึ้น คือไว้ใจแพทย์ได้ และมีกำลังใจขึ้นมา ย่อมทำให้กายนั้นรับการรักษาได้อย่างเต็มที่ และทำให้กายนั้นหายจากโรคภัยได้สะดวก

อ่านต่อ »


ภาษิตจีน

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 23 July 2008 เวลา 1:00 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 3890
ผู้ รู้ ไม่ คิด
ผู้ คิด ไม่ รู้
ไม่ รู้ ไม่ คิด
ไม่ คิด ไม่ รู้

…ใครสักคนพูดไว้นานมาแล้ว และใครแปลมาก็ไม่รู้



Main: 0.070797920227051 sec
Sidebar: 0.17386198043823 sec