สุขภาพจิต
อ่าน: 3644พระราชดำรัส เรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้
ในโอกาสที่คณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิต
อาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันต่างๆ
เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
วันอังคาร ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐สุขภาพจิตและสุขภาพทางกายนี้ มีความสัมพันธ์ที่จะโยงกันอย่างยิ่ง และเป็นความจริงตามที่ท่านอธิบดีได้แจ้งว่า ควรที่จะถือว่าสุขภาพจิตเป็นสำคัญสำหรับให้ประชาชนมีความผาสุกกันได้อีกข้อหนึ่ง ในการอบรมบุคลากรให้รู้จักใช้สุขภาพจิตนั้นก็เป็นข้อหนึ่งที่สำคัญ ข้อแรก สุขภาพจิตและสุขภาพกายนั้น พูดได้ว่าสุขภาพจิตสำคัญกว่าสุขภาพกายด้วยซ้ำ เพราะว่าคนไหนที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแต่จิตใจฟั่นเฟือนไม่ได้เรื่องนั้น ถ้าทำอะไรก็จะยุ่งกันได้ กายที่แข็งแรงนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือสังคมอย่างใด ส่วนคนที่สุขภาพกายไม่สู้จะแข็งแรงแต่สุขภาพจิตดี หมายความว่าจิตใจดี รู้จักจิตใจของตัวและรู้จักปฏิบัติให้ถูกต้อง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมาก และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มาก ในที่สุดสุขภาพจิตที่ดีก็อาจจะพามาซึ่งสุขภาพทางกายได้ หรือถ้าสุขภาพกายไม่ดีนักก็ไม่ต้องถือว่าเป็นของสำคัญ อันนี้เป็นในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิตกับกาย ในด้านที่จะศึกษาหรือสั่งสอนเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความหนักใจอยู่ เพราะว่าการศึกษาสุขภาพจิตเพื่อการศึกษาเฉยๆ หรือสอนเพื่อการสอนสุขภาพจิตเฉยๆ นั้น ย่อมจะไม่มีประโยชน์นัก แต่ว่าถ้าโยงกันว่า ผู้ที่จะปฏิบัติทั้งในด้านที่จะรักษาร่างกาย หรือปราบโรคในหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล แต่ใช้สุขภาพจิตด้วย ย่อมจะมีความสำเร็จได้มาก ฉะนั้นที่ว่าใช้สุขภาพจิตก็หมายความว่าตนเองหรือผู้ที่ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ที่จะสอนในวิชาอื่น หรือปฏิบัติงานอย่างอื่นนอกจากการรักษาพยาบาล ก็ย่อมต้องมีสุขภาพจิตที่ดี อย่าเพิ่งไปสอนสุขภาพจิต สอนตัวเองถึงสุขภาพจิตที่ดีหรือสภาพจิตที่ถูกต้องและความเห็นที่ถูกต้องก่อนจึงจะสอนได้ดี ยังในด้านการรักษาร่างกาย ถ้าสมมุติว่าให้ยาที่ถูกต้องแต่ด้วยวิธีที่ผู้ที่ให้นะสุขภาพจิตไม่สู้ดีนัก หมายความว่าโยนให้ หรือในเวลาที่คนไข้มาหานายแพทย์ๆ ก็ด่าเสียหน่อย คือก็กล่าวว่าทำไมจึงต้องมากวน ก็หมายความว่าสุขภาพจิตของผู้เป็นแพทย์นั้นไม่สู้ดีนัก การพัฒนาสุขภาพจิตจึงต้องพัฒนาที่ตัวผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าจะมาศึกษาสุขภาพจิตเฉยๆ การที่จะปฏิบัติด้วยสุขภาพจิตที่ดีก็หมายถึงว่าจะต้องอบรมตนเองให้มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ใช่ว่าจะไปสอนคนอื่น ผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีแล้วอาจจะสอนคนอื่นได้ ชักชวนให้คนอื่นมีสุขภาพจิตดี จนกระทั่งงานที่ทำมีความสำเร็จที่ดีได้ เช่นเวลารักษาผู้ป่วยก็ทำด้วยความละมุนละไม ทำให้ผู้ที่มีโรคสบายใจขึ้น คือไว้ใจแพทย์ได้ และมีกำลังใจขึ้นมา ย่อมทำให้กายนั้นรับการรักษาได้อย่างเต็มที่ และทำให้กายนั้นหายจากโรคภัยได้สะดวก
ถ้าเป็นครูหรือเป็นอาจารย์ที่สอนด้วยสุขภาพจิตดี ไม่ใช่สอนสุขภาพจิตดี ก็จะทำให้ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ เป็นนักเรียน นักศึกษา มีความรู้สึกว่าครูบาอาจารย์สอนอย่างมีความสนใจ และมีความตั้งใจเมตตากรุณาแท้ ก็รับวิชานั้นๆ ไปได้พร้อมด้วยสุขภาพจิตที่ดี
ฉะนั้นถ้าเรามาสัมมนาถึงวิธีการที่จะศึกษาสุขภาพจิต ก็ควรจะศึกษาว่าทำอย่างไรจึงให้ตนเองมีสุขภาพจิตที่ดี เป็นคนที่มีเมตตา มีความละมุนละไม มีความคิดที่รอบคอบ ที่ไม่มีโทสะ ไม่มีความรู้สึกที่จะหาประโยชน์มากเกินไป อันนี้ก็จะทำให้ผู้ที่มาสัมมนามีสุขภาพจิตที่ดี ถ้าใครมีสุขภาพจิตดีแล้ว ไม่ต้องไปสอนใคร แสดงด้วยตนเองก็ได้ประโยชน์มากแล้ว ถ้าหาวิธีที่จะสอนคนอื่นในเรื่องสุขภาพจิตก็ออกจะลำบากเพราะว่าสุขภาพจิตมันอยู่ที่จิตของตัวฉะนั้นที่จะมีข้อสังเกตในโอกาสนี้ก็คือขอให้ท่านทั้งหลายตั้งสุขภาพจิตของท่านเองให้ดี แล้วก็จะสำเร็จประโยชน์ทุกอย่าง
ถ้ากลับมาพิจารณาถึงคำว่าสุขภาพจิตหรือสุขภาพกาย กายที่มีสุขภาพดีก็หมายความว่ากายที่แข็งแรง ที่เดินได้ ยืนได้ นั่งได้ มีกำลัง มีทุกอย่าง รวมทั้งมีความคิดที่ดี ถ้ามีสุขภาพจิตที่ดีก็มีกำลัง เป็นกำลังที่จะแผ่ความเมตตาให้แก่คนอื่น มีกำลังที่จะคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ที่จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองแก่ตัวและความเจริญรุ่งเรืองในสังคม เปรียบเทียบสุขภาพนี้ก็คือกำลัง ถ้าหากพูดถึงกายก็คือกำลังกาย ทุกคนก็ทราบ พูดถึงกำลังใจหรือกำลังจิตนี้ก็ทุกคนก็น่าจะทราบ แต่อาจจะไม่ทราบจริงนัก ไปนึกถึงว่าคนนี้มีอำนาจจิต ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่บังคับจิตคนอื่นได้ ไม่ใช่อย่างนั้น คนที่มีกำลังจิตหรือกำลังใจเป็นคนที่สามารถควบคุมจิตใจของตัว เขาจะเห็นสว่างว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และในที่สุดจะประสบความเจริญความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าจะกอบโกยทรัพย์มากหรืออำนาจมาก แต่ว่าทำอะไรด้วยสุขภาพจิตที่ดี คนที่เรียกว่ามีกำลังใจที่ดี ที่ถูกต้องนั้นทำอะไรง่าย ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายหมด ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าเราทำชุ่ยๆ ง่ายเพราะเราสามารถที่จะคิดรอบคอบเพราะสุขภาพจิตดี รอบคอบทุกทางทั้งทางด้านวิชานั้นๆ ทั้งด้านวิธีการ ทั้งในวิชาการและในการวางตัว
ฉะนั้นการที่มาสัมมนาในหัวข้อสัมมนานี้ก็ถูกต้อง แต่ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีการสัมมนาตามแนวที่พูดนี้หรือไม่ เพราะมองเห็นทีเดียวว่าพูดกันมากเกินไปว่าจะต้องไปสอน หรือว่าจะต้องไปรักษาคนที่ฟั่นเฟือนให้กลับคืนดี อย่างนี้มากเกินไปจนกระทั่งก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วก็ขออภัยนิดหน่อย ว่าเขาพูดกันว่าให้ไปหาที่แพทย์ที่ใช้จิตวิทยามาก ก็ไปหาหมอคนบ้า และบางทีจิตใจของตนไม่ได้บ้า แต่ถ้าไปหาแพทย์แล้ว แพทย์ก็บอกว่าคุณบ้า จะต้องให้รับว่าคุณบ้า เสียก่อน หรือถ้าไม่บ้าก็บอกว่าหมอบ้า ฉะนั้นวิธีนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกนักสุขภาพจิตของแพทย์หรือผู้รักษาก็อยู่ที่มีจิตใจที่มีเมตตา จิตใจที่เห็นใจคน และก็เมื่อเห็นใจอีกคนหนึ่งแล้ว อาจจะแนะนำเขาได้ว่าเราเป็นโรคอย่างนั้นๆ ในทางกายและก็ขอให้มีกำลังใจใหม่ เพราะว่าถ้าหมกมุ่นมากเกินไปกายก็จะแข็งแรงยาก และก็อาจจะถามทุกข์สุขของเขา เพราะส่วนมากที่คนที่ไม่สบายและก็เห็นว่าทางกายดูไม่มีอะไรมากมาย ก็อาจจะเป็นสุขภาพจิตนั่นเอง แต่สุขภาพจิต อันนั้นก็มาจากเรื่องกาย มาจากเรื่องความเดือดร้อน อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกับทางบ้าน หรือมีความเดือดร้อนว่าไม่มีที่อยู่ที่กิน ความเดือดร้อนในจิตใจในทางที่ทะเลาะกับแฟนมาบ้าง อันนี้ก็ต้องถามเขา เราเห็นอกเห็นใจเขาเราก็อาจจะแนะนำเขาได้ แต่ว่าไม่ได้ไปบอกว่านี่สุขภาพจิตไม่ดี แต่ว่าลองแนะนำในทางปฏิบัติบ้างด้วยความเมตตา ก็จะสำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นวิธีการที่จะใช้วิชาสุขภาพจิตนี้ก็อยู่ที่ตนเป็นเบื้องต้น ตนเองจะเป็นแพทย์ จะเป็นอาจารย์ ครู ก็ตาม ถ้ามีสุขภาพจิตที่ดี คือสร้างสุขภาพจิตของตนให้ดีแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรอื่น เพราะว่าการสอนการแผ่ออกไป มันจะแผ่ออกไปเองในการปฏิบัติหน้าที่งานการของตน ถ้าตนปฏิบัติด้วยสุขภาพจิตดี
ฉะนั้นเมื่อได้สัมมนากัน ได้พูดกัน ก็ขอให้เน้นหนักในทางนี้มากกว่า ที่เป็นห่วงก็เพราะว่าสุขภาพจิตนี้ส่วนมากไปอยู่ในตำราจิตวิทยา แล้วก็เป็นของแห้งแล้ง เป็นของที่เรียกว่าวิชาการล้วนๆ ไม่เกิดประโยชน์ที่เป็นสิ่งที่จะนำไปใช้ได้ แต่ถ้าทำด้วยตัวเอง ทำให้สุขภาพจิตของตัวเองดีได้ ก็จะเป็นสิ่งที่มีชีวิต และจะเป็นประโยชน์โดยแท้ที่โดยมากศึกษาในทางวิชาการมากเกินไป ก็เพราะว่าฟังมาจากวิชาการที่บอกว่าจิตวิทยานี้เป็นสิ่งสำคัญแล้วก็คนที่ศึกษานี้ก็ศึกษาในวิชาไม่นึกถึงว่าจิตวิทยานี้เป็นอาชีพที่จะตั้งสำนักงานจิตวิทยาแล้วก็ให้ใครมาปรึกษา แล้วเอาสตางค์ อย่างสมัยนี้ในต่างประเทศ นอกจากจิตแพทย์ ก็ไปตั้งสำนัก อาจจะเรียกว่าสำนักวิปัสสนา หรือสำนักคุรุในต่างประเทศ และมีคนไปมาก แต่ก็แพงมากเหมือนกัน ซึ่งเป็นอาชีพไปเลย ถ้าถือการช่วยสุขภาพจิตว่าเป็นอาชีพนั้นก็ออกจะยาก ฉะนั้นสำนักงานจิตแพทย์หรือสำนักวิปัสสนาที่เป็นอาชีพนั้นจึงมีผลไม่ค่อยดีนัก แล้วก็จะทำให้คนวุ่นวาย ทำให้คนสงสัย ทำให้คนจิตใจยิ่งเสื่อมเข้าไป แต่ว่าถ้าพยายามที่จะแผ่ความรู้หรือแผ่เมตตาในทางเป็นบริการเฉยๆ บริการส่วนตัว ไม่ใช่ถือว่าเป็นบริการแห่งรัฐหรือสังคมนิยม แต่ว่าถ้าเป็นบริการส่วนตัวไปสร้างไว้ จะดีแค่ไหนก็แค่นั้น ก็จะเป็นประโยชน์มาก และได้ชื่อว่าได้ช่วยสังคม ได้ช่วยชาติให้คนมีสุขภาพจิตดีขึ้น คือสุขภาพจิตนี้ขายไม่ได้ แม้แต่ให้ก็ยาก แต่ว่าจะต้องเพาะ แล้วก็จะได้ประโยชน์ตามที่มาสัมมนากันว่าอยากจะให้สุขภาพจิตของประชาชนทั่วไปดี
แล้วข้อสุดท้ายก็ขอให้ทราบว่า ในด้านวิชาการก็ตาม ในด้านสุขภาพจิตก็ตาม ประชาชนมีสุขภาพจิตและมีวิชาการดีเหมือนกัน ถ้าไปดูจริงๆ แม้ในทางวิชาการจะเป็นเกษตร หรือจะเป็นวิศวกรรม ถึงประชาชนได้ทำได้ปฏิบัติงานมาโดยที่ไม่ได้อ่านตำราฝรั่งแต่ก็ปฏิบัติงานได้ดี ปลูกข้าวปลูกผัก ปลูกหญ้า ปลูกพืชต่างๆ มาได้ดีจริงๆ มาเป็นเวลาช้านาน ถ้าเอาวิชาการมาช่วยงานก็ทำให้ดีขึ้น แต่ในทางสุขภาพจิตนั้น ไปถามเขาว่าใช้สุขภาพจิตยังไง เขาอาจจะไม่เข้าใจ ใช้ทำสุขภาพจิตตามตำราก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเรามีสุขภาพจิตดีแล้วก็ไปสอบถามดูจิตใจเขาจริงๆ จะเห็นได้ว่าเขาใจสูงกว่าเราด้วยซ้ำไม่ต้องไปสอนเขา เพียงแต่ว่าพูดใจต่อใจก็จะเห็นได้ว่าดี ถ้าเราไปสั่งสอนเขา เขาก็อาจจะเชื่อเพราะว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ เป็นครู เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไปพูดกับเขา เขาก็ต้องเชื่อ เพราะว่าท่านผู้ใหญ่อุตส่าห์มา ก็คงต้องเอาของดีมาให้ ถ้าไปพูดอะไรเขาก็อาจจะเชื่อ ลงท้ายก็สมมุติว่าสุขภาพจิตเขาสูงกว่าเรา แล้วเราไปสอนเขา เราก็ไปสอนในสิ่งที่ต่ำกว่าเขา อาจจะเสียประโยชน์ไปก็ได้ แต่ถ้าเราไปคุยกับเขา และพูดด้วยใจกับเขา จิตใจที่ดีของเขาก็จะดีขึ้น แม้ว่าเราจิตใจอาจจะไม่ดีเท่าเขา และจิตใจของเราก็ดีขึ้นเหมือนกัน มันเป็นทางบวกทั้งสองอย่างถ้าไปคุยกับเขา แต่ถ้าไปสอนเขาอาจจะเสียประโยชน์ เพราะสิ่งที่ดีที่เขามีอาจจะถูกทำลายลงไปเพราะความเชื่อของเขา และเราก็กลับสุขภาพจิตเลวลง เพราะว่าเราไปสอนไปทำให้คนที่มีจิตใจสูงต่ำลงมา อันนี้เป็นการบั่นทอนสุขภาพจิตของเรา จิตใจของเราจะเสื่อมลงไป ฉะนั้นในการสัมมนา ก็ขอให้พิจารณาถึงข้อต่างๆ เหล่านี้ อาจจะชุลมุนนิดหน่อย พูดอย่างแปลกประหลาดนิดหน่อย แต่ว่าขอให้นำสิ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์ไปใช้และพิจารณา เข้าใจว่าการพบปะอย่างนี้และคุยกันอย่างนี้ จะเป็นสิ่งที่จะนำให้ทุกคนมีระดับความสุขภาพจิตดีขึ้น และสามารถที่จะแผ่สุขภาพจิตไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ คือให้ผู้ที่มารับการรักษาทางกายได้รับรักษาเต็มที่และสบายใจกลับไป แข็งแรงทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งผู้ที่จะสอนวิชาการต่างๆ แก่นักเรียนหรือนักศึกษา ก็สามารถที่จะถ่ายทอดวิชาการ ทั้งสามารถที่จะทำให้ผู้ที่ได้รับการสั่งสอนได้มีความคิดที่ถูกต้อง หมายความว่าสุขภาพจิตดี
ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสำเร็จในเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง.
« « Prev : ภาษิตจีน
2 ความคิดเห็น
วิชาแห้งแล้ง นำไปสู่จิตใจแห้งเหี่ยว
ท่องบ่นอย่างเดียว ไม่เฉลียวใจ
ยังไงๆ ก็ใจจราจล
จิตเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของสุขภาพจิต หากเรา ทำดี คิดดี พูดดี แสดงว่าสุขภาพจิตดี ค่ะ