อัฐมีบูชา

อ่าน: 4060

เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ดูสารคดีท่องเที่ยวของ ททท. มีเรื่องการท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง อ.ลับแล ยังรักษาประเพณีอัฐมีบูชา คือการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดหลังจากได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในวันวิสาขบูชาแล้ว 10 วัน

งานอัฐมีบูชา จัดว่าเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาของชาวทุ่งยั้ง เป็นการจัดงานช่วงของวันวิสาขบูชา ซึ่งจะมีการจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกกันว่า “อัฐมีบูชา” ซึ่งถือได้ ว่าในปัจจุบันมีแห่งเดียวของประเทศ ซึ่งจะจัดหลังจากวันวิสาหกิจบูชา คือวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 10 วัน         การจัดงานมีมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิม โดยชาวบ้านจะนำไม้ไผ่มาสานจำลองเป็นพระพุทธรูป เมื่อถึงวันวิสาขบูชาหลังจากที่มีการเวียนเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีเผา หรือถวายพระเพลิงพระบรมรูปจำลองที่ได้ร่วมกันทำนั้น ซึ่งก่อนที่จะมีการถวายพระเพลิงก็จะจัดให้มีการเทศน์และกล่าวสรุปประวัติวัน วิสาขบูชา ภายหลังได้เปลี่ยนให้มีการจัดงานทั้งหมด 10 วัน

ข้อมูลจากคลังปัญญาไทย

ถ้ามีวาสนา หวังว่าคงจะได้ไปร่วมสักครั้งหนึ่งครับ


เมื่อนายคุณอยู่บน…หอคอย

อ่าน: 4133

มีบทความอันหนึ่งบน palawat.org ซึ่งเขียนเมื่อต้นปี 2550 ผมเคย reblog ไว้นานแล้ว แต่ได้ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

เมื่อก่อนอ่านแล้วมีความรู้สึก “สะใจ” นำโด่งออกมาเลยครับ ขนาดที่ตอนนั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงปรี๊ดนะเนี่ย ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ความสะใจไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ไม่ได้แก้ไขอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ได้ระบายความอึดอัดออกมาบ้าง แต่เหตุของความอึดอัดยังอยู่เหมือนเดิม แล้วมันก็จะเป็นอีก

บทความนี้ อ่านแล้วต้องคิดเยอะๆ ครับ แค่บอกว่า ใช่เลย…โดนจริงๆ…สุดยอด แต่ก็ยังทำเหมือนเดิม แบบนี้ได้อ่านหรือไม่ได้อ่าน ก็มีค่าเท่ากันนะครับ (reblog โดยได้รับอนุญาตจากคุณ blackcode เจ้าของบทความ ขอบคุณครับ ผมแก้ตัวสะกดไปสามแห่ง)

อ่านต่อ »


ความหลุดพ้นของจิต เป็นแก่นแท้พรหมจรรย์

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 12 October 2009 เวลา 23:44 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 3462

พระสุตตันตปิฎก
มัชฌิมนิกายะ มูลปัณณาสปาฬิ เล่ม 9
ข้อ 311 ย่อหน้า 1092

…พรหมจรรย์นี้
มิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นผล,
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นผล (สูงสุด),
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นผล (สูงสุด),
มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นผล (สูงสุด).
แต่พรหมจรรย์นี้ มีความหลุดพ้นแห่งจิต
อันไม่หวั่นไหว เป็นจุดหมาย,
นี้เป็นแก่น นี้เป็นที่สุด.

แปลโดย สิริ เพ็ชรไชย, ป.ธ.9 ประธานกองทุนสนทนาธัมม์นำสุขฯ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ฯ และคณะ พ.ศ. 2551

ที่ทำ/ทนกันอยู่ในเวลานี้ เป้าหมายอยู่ไหน/กำลังทำอะไรกันอยู่ ชัดเจนหรือยังครับ…

อ่านต่อ »


วู้ดดี้ เกิดมาคุย : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

1 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 6 October 2009 เวลา 0:03 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 3747

ระหว่างที่ทำหนังสือ “เจ้าเป็นไผ ๒” อยู่ในขั้นสุดท้ายอยู่นั้น ผมเปิดทีวีค้างเอาไว้ โชคดีที่ได้ดูรายการนี้พอดี สำหรับนักศึกษาคอเดียวกันที่พลาดชม หวังว่าจะชอบนะครับ

ขอให้รีบดูเนื่องจากเป็นไปได้ว่าคลิปจะหายไปเมื่ออกอากาศไปสักพัก (แล้วผมลิงก์ไปที่ hiptv.mcot.net เฉยๆ ไม่ได้ก๊อบปี้คลิปไว้ ตัวคลิปยังอยู่ที่ hiptv)

คำถามต่างๆ เป็นสไตล์ของพิธีกรที่ใช้สร้างลักษณะเฉพาะตัว/เฉพาะรายการนี้ ส่วนคำตอบนั้นนุ่มนวลตรงไปตรงมา

Placeholder

ขอบคุณ hiptv.mcot.net

อ่านต่อ »


พิจารณาก่อนเชื่อ

ไม่มีความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 21 September 2009 เวลา 18:19 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 4242

เน็ตผมมาแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ร่วมแก้ไขครับ

ได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งต่อๆ มา เรื่องเด็กเนปาลประดิษฐ์แผงเซลแสงอาทิตย์ราคา 23 ปอนด์ ใช้เส้นผมมนุษย์แทนซิลิกอน ให้ศักย์ไฟฟ้า 8-9 โวลท์​ (แล้วแต่แหล่งข่าว แต่มีรูปมิเตอร์วัดไฟได้ 8.98 โวลท์) และให้กำลังไฟฟ้า 18 วัตต์ มีการอ้างว่าได้แรงบันดาลใจมาจากนักฟิสิกส์ Stephen Hawking

Karki found that melanin, the stuff in human hair that gives it color, is light sensitive and can also act as a conductor to electricity. As he sees it, melanin could replace more expensive silicon components in commercially made solar panels making them easier to afford for villages that have no access to power.

เมื่อตอนที่เอดิสัน “ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า” ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1879 แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิด*หลัง*จากที่นักวิทยาศาสตร์อังกฤษ Humphry Davy ค้นพบในปี 1809 ว่าเมื่อต่อคาร์บอนระหว่างขั้วของแบตเตอรี่ คาร์บอนเรืองแสงขึ้น ต่อมาเมื่อ Sir Joseph Wilson Swan ใช้คาร์บอนทำจากฝ้ายใส่ในหลอดสูญญากาศ ก็สามารถสร้างหลอดไฟที่ส่องสว่างได้นาน 13.5 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม กระแสไฟฟ้าที่เอดิสันใช้ทำให้เส้นผมร้อนจนขาด ก็จะเป็นอาการคล้ายกับสิ่งประดิษฐ์อันนี้ครับ ถ้าใช้ได้จริงดังที่อ้าง เส้นผมที่ต่ออนุกรมกัน ก็จะมีกระแสไฟฟ้า 2 แอมแปร์ (18W ÷ 9V) วิ่งผ่านตลอดเวลา ซึ่งน่าจะร้อนจนเรืองแสงและขาดลงในที่สุด

อ่านต่อ »


สะท้อนชีวิต

อ่าน: 3400

เน็ตที่บ้านผมใช้ไม่ได้มาอาทิตย์กว่าแล้ว แม้จะยังเข้ามาอ่านและเขียนได้บางครั้งบางครา แต่ก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม วันนี้ก็ยังไม่มีเน็ตเหมือนเดิมครับ แต่ถ้าจะทำอะไรแล้วมัวแต่รอ คงไม่ได้ทำ

ตั้งแต่ตั้งลานปัญญาขึ้นมา ผมเขียนบันทึกติดต่อกันมาทุกวันเป็นเวลาปีกว่า มีห้าร้อยกว่าบันทึก จนปลายเดือนที่แล้ว อุปกรณ์โทรคมนาคมระหว่างบ้านผมกับไอเอสพี “ไหม้” ไป จึงทำให้ใช้เน็ตแบบที่คุ้นเลยไม่ได้ ก็เลยหยุดเขียนชั่วคราว ประกอบกับได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ยังย่อยไม่หมด เมื่อตัดสินใจพัก ก็จะมีเวลาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าจำเป็นต้องเขียนทุกวันหรือไม่ แล้วก็ตอบตัวเองอย่างหนักแน่นว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นจำเป็นต้องพิสูจน์หรือสร้างสถิติอะไร แต่ที่เขียนไปเรื่อยๆ ก็เพราะมีเรื่องราว/มีประเด็นที่เห็นทุกวัน อยากเล่าให้ฟัง อยากชี้ประเด็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เห็นว่ามีประโยชน์ และจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย

อ่านต่อ »


งานอาสาสมัคร: บัณฑิตอาสาสมัคร

อ่าน: 3610
พระราชดำรัส พระราชทานแก่บัณฑิตอาสาสมัคร รุ่นที่ ๑๓
และคณะกรรมการประจำสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันอังคาร ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔

ตามที่รายงาน งานของสำนักบัณฑิตอาสาสมัครนี้ได้ดำเนินมาด้วยดี มีผลดี นับว่าเป็นโชคดีของส่วนรวม ที่มีการจัดการฝึกเป็นพิเศษอย่างนี้ แต่ผู้ที่โชคดีที่สุดก็คงเป็นผู้ที่เป็นบัณฑิตอาสาสมัครนี้เอง เพราะเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาขั้นอุดมศึกษามาแล้ว และมีเจตนาที่จะปฏิบัติงานเพื่อเป็นประโยชน์

การมีเจตนาที่จะปฏิบัติงานเพื่อเป็นประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าผู้ที่มีความรู้ขั้นอุดมศึกษาแล้วจะไปปฏิบัติงาน ย่อมต้องประสบอุปสรรคมากมาย ถ้าเรามาพิจารณาดู ในประเทศไทยมีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตใหม่ทุกปีจากสถาบันการศึกษาชั้นสูง ขั้นอุดมศึกษา เป็นจำนวนหลายหมื่นคนต่อปี ถ้าหากว่าทุกคน หรือจะว่าไปก็สักครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้น มีเจตนาและมีโอกาสที่จะปฏิบัติงานเพื่อให้มีความเจริญในประเทศนี้ เราก็เชื่อได้ว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอ แต่เราก็พูดอยู่เสมอว่า ทำไมประเทศไทยนี้ก้าวหน้าช้านัก ก็เพราะว่าเป็นหลักของธรรมชาติ ผู้ที่ศึกษาชั้นสูงแล้วจะนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนเป็นเวลาประมาณ ๓ – ๔ ปี ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงขั้นอุดมศึกษา จะไปใช้ความรู้นั้นทันทีก็ยาก เพราะว่าทุกคนแม้จะมีความกระตือรือร้นก็ขาดความชำนาญ และก็อาจจะไม่มีทางที่จะเข้าไปถึงที่ที่ควรจะถึง ฉะนั้น การที่มีสำนักบัณฑิตอาสาสมัครนี้ก็นับว่าเป็นของดี เสียอยู่ว่าในจำนวนบัณฑิตหลายหมื่นคน ปีหนึ่งๆ มีจำนวนผู้ที่อาสาสมัคร และได้เข้ารับการอบรมการฝึกและการปฏิบัติเพียงจำนวนเป็นสิบ อย่างที่วันนี้มี ๔๑ คน ปีก่อนๆ ก็อาจจะมีระหว่าง ๓๐ ถึง ๕๐ คน ถ้านับดูแล้วก็เป็นจำนวนน้อยมาก ฉะนั้น ผู้ที่ได้รับการอบรมและเข้าปฏิบัติงานอย่างนี้ ย่อมต้องมีความรับผิดชอบไม่ใช่น้อย เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ศึกษาขั้นอุดมศึกษาแล้วจะทำงานเป็นประโยชน์ ได้เร็วขึ้น ตามธรรมดาผู้ที่สำเร็จการศึกษาออกไปทำงานกว่าจะได้ทำประโยชน์ได้อย่าง แท้จริง ก็อายุเข้าไปถึง ๔๐ – ๕๐ แล้ว ดังนี้ก็เท่ากับเสียเวลาของทรัพยากรบุคลากรหรือบุคคลของประเทศ ซึ่งจะต้องคลำหาทางต่อสู้ บางทีก็มีความเข้าใจผิดกันบ้าง มีการกลั่นแกล้งกันบ้าง หรือมีความไม่รู้เฉยๆ บ้าง ถ้าเฉลี่ยแล้วผู้ที่สำเร็จการศึกษาก็อายุ ๒๓ – ๒๔ ว่าสัก ๒๕ จนถึงว่าอายุสัก ๔๕ ก็เป็นเวลา ๒๐ ปีที่จะต้องคลำทาง เสียเวลาไป ๒๐ ปี แต่ถ้าเร่งรัดเวลาที่จะคลำทางนี้ให้เร็วขึ้น ให้เหลือปีเดียว และตั้งใจจริงๆ ก็จะได้กำไรสำหรับในด้านทรัพยากรบุคคลไม่ใช่น้อย

นอกจากนี้ การที่ออกไปศึกษาความจริงหรือพยายามคลำทางนั้น เป็นเวลานานย่อมมีโอกาสที่จะทำให้ท้อใจ คนเราถ้าท้อใจแล้วเป็นคนอันตราย เพราะว่าถ้าเป็นคนที่มีความรู้แล้วท้อใจ ความท้อใจนั้นทำให้การควบคุมจิตใจสติของตัวน้อยลง เพราะว่ามันท้อ ความท้อใจนี้เป็นสิ่งกีดขวางความดีไปได้มาก เพราะว่าไม่ระวังตัว เวลาท้อใจก็เกิดน้อยใจ น้อยใจก็เกิดประชด เปิดโอกาสให้จิตใจรับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในจิตใจได้ เพราะว่ามีความฟุ้งซ่าน คนไหนถ้าท้อใจสังเกตดีๆ พวกเพื่อนๆ ที่ท้อใจ บางทีคนนั้นพูดฟุ้งซ่าน พูดอะไรไม่ได้เรื่อง แล้วถ้าใครมาชักชวนให้ทำอะไรก็อาจจะเป็นผู้ร้ายไปก็ได้ ทำให้ขาดการพิจารณา คือขาดสตินั่นเอง ฉะนั้น การที่ได้ศึกษาสำเร็จหลักสูตรได้เป็นบัณฑิตแล้ว คือสำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแล้วออกไป มีความฟุ้งซ่านถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ถูก ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวก็ถูกใช้ไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ก็เท่ากับทำลาย ถ้าคนโง่ๆ ไม่รู้เรื่อง หรือคนที่ไม่มีโอกาสที่จะได้รับความรู้เป็นกำลังนี้ ถ้าไม่มีกำลังถูกชักชวนไปทำอะไรก็ไม่ค่อยเสียหายนัก แต่คนไหนที่มีความรู้เป็นกำลังแล้วถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ถูก ก็อันตราย เพราะว่ากำลังที่มีความรู้นั้นเป็นกำลังหลอกลวง ทำให้เกิดผลเสียได้มากมาย อันนี้ไม่ได้พูดถึงความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลเหล่านั้น เกิดแน่นอน แต่ที่เราเป็นห่วงก็เป็นผลเสียต่อส่วนรวม การที่ฝึกเป็นพิเศษและปฏิบัติเป็นพิเศษ มีผู้อุปการะ มีผู้ที่คอยแนะนำก็ทำให้ข้อนี้ที่ผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสได้เผชิญ คือการคลำหาทางเป็นเวลานาน และอันตรายที่เกิดขึ้นที่ได้ยกไว้เพียงอย่างเดียว อันตรายอย่างอื่นก็ยังมีอีกมาก

ฉะนั้น การที่ท่านทั้งหลายขึ้นชื่อว่าเป็นอาสาสมัคร ก็หมายความว่าตนเองอาสาที่จะปฏิบัติงาน นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นโชคลาภของตนเอง ที่ได้สมัครแล้วทางสำนักก็เลือกไว้ ก็เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้ดีที่สุดตามที่ได้เรียนมา และที่จะเรียนรู้ด้วยการเปิดหูเปิดตาและรับอบรม ที่ท่านทั้งหลายจะทำงานก็จะสังเกตว่าวิชาที่ได้เรียนมาเป็นประโยชน์ จะเป็นวิชาใดก็ตามก็เป็นประโยชน์ แต่ว่างานที่อยู่ข้างหน้าจะเห็นได้ว่าไม่ใช่งานที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่ เรียนมาเป็นส่วนใหญ่ ที่เราเรียนเป็นเฉพาะส่วนเดียวของงาน หรือเป็นส่วนประกอบส่วนเดียว อาจจะเป็นประมาณหนึ่งในสิบของงานทั้งหมด เช่น ที่ได้แจ้งได้รายงานว่า จะออกไปปฏิบัติงานเพื่อที่จะช่วยพัฒนาหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นย่อมมีผู้ที่อาศัยในหมู่บ้าน มิฉะนั้นก็ไม่ใช่หมู่บ้าน ผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านนั้นก็เป็นคนเหมือนเรา ก็ต้องมีอาหารใส่ท้อง ต้องมีเสื้อใส่ ต้องมีความรู้ คือต้องมีโรงเรียนสำหรับลูกหลาน ต้องมีสิ่งทุกอย่าง ก็สรุปได้ว่าสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อร่างกายและใจของแต่ละคน สิ่งเหล่านั้นที่จะได้มาจะต้องอาศัยหลักวิชามากหลายและพร้อมกัน คือไม่ใช่ว่าคนหนึ่งจะต้องอาศัยเพียงแต่หลักวิชาการปกครองที่จะอยู่ได้ จะต้องสามารถที่จะทำมาหากิน ทำมาหากินในด้านเกษตรกรรมก็จะต้องสามารถที่จะไถนาพรวนดินให้ได้ ก็จะต้องรู้เหมือนกัน อันนี้การปกครองก็ไม่ได้ว่าด้วยการไถนา แต่ว่าวิชาการไถนาก็ต้องใช้เหมือนกัน ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้ใดก็ย่อมต้องรู้ว่ามีความรู้อื่นๆ ที่ต้องมาประกอบด้วย แต่ละคนก็ได้เรียนมาในวิชาเฉพาะของตน ก็จะต้องเปิดหูเปิดตาว่าในชีวิตของแต่ละคนมีวิชาอื่นตั้งเยอะแยะ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่เรียนจบเป็นบัณฑิต และออกไปทำงานโดยไม่มีการฝึกฝนหรือระมัดระวังตัวเกิดความฟุ้งซ่านได้ เพราะว่าจะน้อยใจว่าตัวไม่ได้เรียนอะไรแต่ตัวก็ได้ปริญญา ตัวเป็นบัณฑิตมีปริญญาไปอวดเขา เสร็จแล้วคนเขาก็เยาะเย้ยว่ามีแต่เศษกระดาษ ฉะนั้น ถ้าทุกคนตั้งใจที่จะไปดูเปิดหูเปิดตาในการงาน ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะว่าที่เรียนมาโดยเฉพาะนั้นก็เป็นประโยชน์ และโดยที่ไปร่วมมือกับคนอื่นที่เรียนอย่างอื่นโดยเฉพาะก็สามารถที่จะปฏิบัติ งานของตัวได้อย่างดี ทั้งที่ได้รับการอบรมฝึกฝนก็เข้าใจว่าไปในแนวความคิดนี้ว่า ทุกคนจะต้องร่วมมือกันและควบคุมจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ก็จะได้รับผลสำเร็จอย่างดีงาม เมื่อได้รับผลสำเร็จอย่างดีงาม แล้วก็จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง เพราะว่าตัวเองมีความภูมิใจว่าทำงานอะไรที่ดี ได้รับการยกย่องชมเชยเราก็ภูมิใจอีกที ทั้งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะว่าถ้าท้องที่ที่เราไปช่วยได้รับประโยชน์ ก็นับว่าทำให้เกิดความมั่งคั่งมั่นคงขึ้น ส่วนรวมของประเทศชาติก็ย่อมจะต้องดีขึ้น ทุกคนก็มีความสุข ทุกคนก็มีความพอใจ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ได้พยายามชี้แจงฝึกให้พวกเรา ได้มีความรู้ มีความสามารถ ก็ภูมิใจ เพราะว่างานของท่านก็เป็นผลสำเร็จที่ดี สำคัญอยู่ที่ทุกคนจะต้องตั้งความเห็นให้เหมาะสม หมายความว่าตั้งความเห็นในงานของตัวว่ามีจุดประสงค์อะไร และก็ปฏิบัติตรงไป จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ที่จริงก็ได้เคยพูดกับรุ่นก่อนๆ นี้ในด้านว่าแต่ละคนจะได้รับประโยชน์เป็นสำคัญ อาจจะไม่เข้าใจดีนัก แต่ถ้าอธิบายอย่างที่อธิบายเมื่อกี้นี้อาจจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าทุกคนเข้าใจและทั้งรุ่นเก่าได้ทำความเข้าใจให้ดี สามร้อยคนที่ได้รายงานทั้งหมดนี้จะเป็นกำลังของส่วนรวม เป็นทางที่จะทำให้เป็นประโยชน์ได้เต็มเปี่ยม และอาจจะทำให้ผู้อื่น ได้ทบทวนผู้อื่น ให้มีความคิดอย่างนี้ได้ บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาในประเทศไทยเป็นจำนวนหลายหมื่นคนก็จะ มีความหวังขึ้น ไม่เกิดความน้อยใจเมื่องานของตัวไม่ค่อยสำเร็จ ก็เป็นการสร้างให้การศึกษาขั้นอุดมศึกษานี้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น แล้วก็ปัญหาต่างๆ อุปสรรคต่างๆ ปัญหาในทางความเดือดร้อนที่มีอยู่ในประเทศ ก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดี

ฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความเข้าใจในงานของตัวให้ดีตั้งแต่ต้น แล้วก็พยายามทำตามที่อาสาสมัคร ทำงานด้วยความตั้งใจที่แน่ จะใช้คำว่าด้วยอุดมคติที่สูงก็ได้ ขอให้ทุกคนอย่าให้กำลังใจลดลงไป รักษากำลังทั้งกาย ทั้งใจให้ดี เพื่อที่จะปฏิบัติงานเป็นประโยชน์ เป็นความสำเร็จสำหรับตนเอง เป็นประโยชน์เป็นความสำเร็จเป็นความก้าวหน้าสำหรับส่วนรวม ก็ขอให้ได้ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม มีความสำเร็จในงานการทุกอย่าง ทำให้เกิดความปีติยินดี หมายถึงความเจริญ ก็ขอให้ทุกคนได้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง.


ความกลัว

2 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 16 August 2009 เวลา 0:15 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 3426

วิกิพีเดียให้ความหมายของความกลัวไว้ว่า

ความกลัว เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อการถูกคุกคามหรือภัยอันตราย นับเป็นกลไกพื้นฐานในการเอาตัวรอดต่อสิ่งกระตุ้นหนึ่งๆ ที่จำเพาะ เช่น การกลัวต่อความเจ็บปวดหรือสิ่งก่อให้เกิดความเจ็บปวด นักจิตวิทยาให้ความเห็นว่าความกลัวเป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานแต่กำเนิดซึ่งรวมถึงความสุข, ความเศร้า และความโกรธ

ความกลัวนั้นแตกต่างจากความกังวล ซึ่งเป็นการตอบสนองโดยไม่มีสิ่งคุกคามภายนอก และนอกจากนี้ความกลัวยังเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการหลบหนีหรือหลีกเลี่ยง ในขณะที่ความกังวลเป็นผลของการถูกคุกคามที่รับรู้ว่าไม่สามารถควบคุมหรือ หลีกเลี่ยงได้

ยิ่งกว่านั้น Wikipedia ยังมีเพิ่มอีกหนึ่งประโยคคือ Worth noting is that fear always relates to future events, such as worsening of a situation, or continuation of a situation that is unacceptable.

ในทางพระ ความกลัวคือความไม่รู้

อ่านต่อ »


การหาเหตุผล

12 ความคิดเห็น โดย Logos เมื่อ 11 August 2009 เวลา 0:03 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 3619

แนวคิดทางพุทธ เขื่อว่าสิ่งต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลกันตามกฏแห่งกรรม — แต่ที่ไม่ค่อยมีใครคิดกัน คือการหาเหตุผลนั้น กลับเป็นเรื่องที่สมองคิดเอาเอง ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าสมองคิดได้แค่ไหน และมีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง

การตัดสินใจของเรา (ซึ่งเราก็คิดว่ามีเหตุผล และเป็นเหตุเป็นผล) อาจเป็นการตัดสินใจที่ดี หากรับฟังและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

แต่มันจะไม่เป็นการตัดสินใจที่ดีเลย หากเราตัดสินใจไปโดยใช้อคติ คือคิดไปเอง (แม้จะคิดว่ามีเหตุผล และเป็นเหตุเป็นผล) ตัดสินไปล่วงหน้าแล้ว โดยปฏิเสธ​ความจริงอีกด้านหนึ่ง

รูปข้างล่างนี้มีเสือกี่ตัวครับ แน่ใจได้อย่างไรว่ามีอยู่เท่าที่คิดว่ามี?


กับเฮฮาศาสตร์

อ่าน: 2827

เมื่อวานออกเดินทางมาสวนป่าอีกวาระหนึ่ง คราวนี้มาช่วยครูปูพูดคุยกับนักศึกษาและอาจารย์จาก VBAC คิดว่าเด็กกลุ่มนี้โชคดีครับ

ครูมิมเดินทางมาจากพิษณุโลก มาถึงบ้านป้าจุ๋มตั้งแต่เช้า แต่ผมไปรับสายเอง กว่าจะมาทันกลุ่มของครูปูแถวเขาใหญ่ ก็ช้าไปเกือบชั่วโมง เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็นัดพบกันอีกครั้งที่ตลาดสตึกเพื่อเข้าไปสวนป่าด้วยกัน ผมแยกไปบ้าน อ.แพนด้า+อ.หลินฮุ่ย

พอเย็น ออกจากสวนป่าอีกครั้งมารับป้าหวานซึ่งเป็นแขกพิเศษ กินข้าวเย็น แล้วตั้งวง dialogue (แบบแปลกๆ) แต่ผมก็ดีใจกับเด็กชุดนี้ที่ได้มีประสบการณ์ที่หาได้ยาก

ช่วงดึกหลังจากเลิกวง dialogue ครูน้อยชวนคุยเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของครูบา ตรงนี้ผมกลับคิดว่าผมโชคดี ที่ได้มีโอกาสคิดใคร่ครวญกับคำถามของครูน้อย ทำให้ชัดเจนกับกระบวนการเรียนรู้แบบเฮฮาศาสตร์มากขึ้น จำไม่ได้หรอกครับว่าตอบอะไรไป แต่ตอบต่อหน้าหลายคน ตอบไปอย่างที่คิด และรู้สึกดีที่ได้ตอบไป รายละเอียดรอไปอ่านใน dissertation ของครูน้อยก็แล้วกัน



Main: 0.26703810691833 sec
Sidebar: 0.90366387367249 sec