งานอาสาสมัคร: บัณฑิตอาสาสมัคร

โดย Logos เมื่อ 25 August 2009 เวลา 0:14 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา, สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 3590
พระราชดำรัส พระราชทานแก่บัณฑิตอาสาสมัคร รุ่นที่ ๑๓
และคณะกรรมการประจำสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันอังคาร ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔

ตามที่รายงาน งานของสำนักบัณฑิตอาสาสมัครนี้ได้ดำเนินมาด้วยดี มีผลดี นับว่าเป็นโชคดีของส่วนรวม ที่มีการจัดการฝึกเป็นพิเศษอย่างนี้ แต่ผู้ที่โชคดีที่สุดก็คงเป็นผู้ที่เป็นบัณฑิตอาสาสมัครนี้เอง เพราะเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาขั้นอุดมศึกษามาแล้ว และมีเจตนาที่จะปฏิบัติงานเพื่อเป็นประโยชน์

การมีเจตนาที่จะปฏิบัติงานเพื่อเป็นประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าผู้ที่มีความรู้ขั้นอุดมศึกษาแล้วจะไปปฏิบัติงาน ย่อมต้องประสบอุปสรรคมากมาย ถ้าเรามาพิจารณาดู ในประเทศไทยมีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตใหม่ทุกปีจากสถาบันการศึกษาชั้นสูง ขั้นอุดมศึกษา เป็นจำนวนหลายหมื่นคนต่อปี ถ้าหากว่าทุกคน หรือจะว่าไปก็สักครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้น มีเจตนาและมีโอกาสที่จะปฏิบัติงานเพื่อให้มีความเจริญในประเทศนี้ เราก็เชื่อได้ว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอ แต่เราก็พูดอยู่เสมอว่า ทำไมประเทศไทยนี้ก้าวหน้าช้านัก ก็เพราะว่าเป็นหลักของธรรมชาติ ผู้ที่ศึกษาชั้นสูงแล้วจะนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนเป็นเวลาประมาณ ๓ – ๔ ปี ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงขั้นอุดมศึกษา จะไปใช้ความรู้นั้นทันทีก็ยาก เพราะว่าทุกคนแม้จะมีความกระตือรือร้นก็ขาดความชำนาญ และก็อาจจะไม่มีทางที่จะเข้าไปถึงที่ที่ควรจะถึง ฉะนั้น การที่มีสำนักบัณฑิตอาสาสมัครนี้ก็นับว่าเป็นของดี เสียอยู่ว่าในจำนวนบัณฑิตหลายหมื่นคน ปีหนึ่งๆ มีจำนวนผู้ที่อาสาสมัคร และได้เข้ารับการอบรมการฝึกและการปฏิบัติเพียงจำนวนเป็นสิบ อย่างที่วันนี้มี ๔๑ คน ปีก่อนๆ ก็อาจจะมีระหว่าง ๓๐ ถึง ๕๐ คน ถ้านับดูแล้วก็เป็นจำนวนน้อยมาก ฉะนั้น ผู้ที่ได้รับการอบรมและเข้าปฏิบัติงานอย่างนี้ ย่อมต้องมีความรับผิดชอบไม่ใช่น้อย เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ศึกษาขั้นอุดมศึกษาแล้วจะทำงานเป็นประโยชน์ ได้เร็วขึ้น ตามธรรมดาผู้ที่สำเร็จการศึกษาออกไปทำงานกว่าจะได้ทำประโยชน์ได้อย่าง แท้จริง ก็อายุเข้าไปถึง ๔๐ – ๕๐ แล้ว ดังนี้ก็เท่ากับเสียเวลาของทรัพยากรบุคลากรหรือบุคคลของประเทศ ซึ่งจะต้องคลำหาทางต่อสู้ บางทีก็มีความเข้าใจผิดกันบ้าง มีการกลั่นแกล้งกันบ้าง หรือมีความไม่รู้เฉยๆ บ้าง ถ้าเฉลี่ยแล้วผู้ที่สำเร็จการศึกษาก็อายุ ๒๓ – ๒๔ ว่าสัก ๒๕ จนถึงว่าอายุสัก ๔๕ ก็เป็นเวลา ๒๐ ปีที่จะต้องคลำทาง เสียเวลาไป ๒๐ ปี แต่ถ้าเร่งรัดเวลาที่จะคลำทางนี้ให้เร็วขึ้น ให้เหลือปีเดียว และตั้งใจจริงๆ ก็จะได้กำไรสำหรับในด้านทรัพยากรบุคคลไม่ใช่น้อย

นอกจากนี้ การที่ออกไปศึกษาความจริงหรือพยายามคลำทางนั้น เป็นเวลานานย่อมมีโอกาสที่จะทำให้ท้อใจ คนเราถ้าท้อใจแล้วเป็นคนอันตราย เพราะว่าถ้าเป็นคนที่มีความรู้แล้วท้อใจ ความท้อใจนั้นทำให้การควบคุมจิตใจสติของตัวน้อยลง เพราะว่ามันท้อ ความท้อใจนี้เป็นสิ่งกีดขวางความดีไปได้มาก เพราะว่าไม่ระวังตัว เวลาท้อใจก็เกิดน้อยใจ น้อยใจก็เกิดประชด เปิดโอกาสให้จิตใจรับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในจิตใจได้ เพราะว่ามีความฟุ้งซ่าน คนไหนถ้าท้อใจสังเกตดีๆ พวกเพื่อนๆ ที่ท้อใจ บางทีคนนั้นพูดฟุ้งซ่าน พูดอะไรไม่ได้เรื่อง แล้วถ้าใครมาชักชวนให้ทำอะไรก็อาจจะเป็นผู้ร้ายไปก็ได้ ทำให้ขาดการพิจารณา คือขาดสตินั่นเอง ฉะนั้น การที่ได้ศึกษาสำเร็จหลักสูตรได้เป็นบัณฑิตแล้ว คือสำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแล้วออกไป มีความฟุ้งซ่านถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ถูก ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวก็ถูกใช้ไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ก็เท่ากับทำลาย ถ้าคนโง่ๆ ไม่รู้เรื่อง หรือคนที่ไม่มีโอกาสที่จะได้รับความรู้เป็นกำลังนี้ ถ้าไม่มีกำลังถูกชักชวนไปทำอะไรก็ไม่ค่อยเสียหายนัก แต่คนไหนที่มีความรู้เป็นกำลังแล้วถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ถูก ก็อันตราย เพราะว่ากำลังที่มีความรู้นั้นเป็นกำลังหลอกลวง ทำให้เกิดผลเสียได้มากมาย อันนี้ไม่ได้พูดถึงความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลเหล่านั้น เกิดแน่นอน แต่ที่เราเป็นห่วงก็เป็นผลเสียต่อส่วนรวม การที่ฝึกเป็นพิเศษและปฏิบัติเป็นพิเศษ มีผู้อุปการะ มีผู้ที่คอยแนะนำก็ทำให้ข้อนี้ที่ผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสได้เผชิญ คือการคลำหาทางเป็นเวลานาน และอันตรายที่เกิดขึ้นที่ได้ยกไว้เพียงอย่างเดียว อันตรายอย่างอื่นก็ยังมีอีกมาก

ฉะนั้น การที่ท่านทั้งหลายขึ้นชื่อว่าเป็นอาสาสมัคร ก็หมายความว่าตนเองอาสาที่จะปฏิบัติงาน นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นโชคลาภของตนเอง ที่ได้สมัครแล้วทางสำนักก็เลือกไว้ ก็เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้ดีที่สุดตามที่ได้เรียนมา และที่จะเรียนรู้ด้วยการเปิดหูเปิดตาและรับอบรม ที่ท่านทั้งหลายจะทำงานก็จะสังเกตว่าวิชาที่ได้เรียนมาเป็นประโยชน์ จะเป็นวิชาใดก็ตามก็เป็นประโยชน์ แต่ว่างานที่อยู่ข้างหน้าจะเห็นได้ว่าไม่ใช่งานที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่ เรียนมาเป็นส่วนใหญ่ ที่เราเรียนเป็นเฉพาะส่วนเดียวของงาน หรือเป็นส่วนประกอบส่วนเดียว อาจจะเป็นประมาณหนึ่งในสิบของงานทั้งหมด เช่น ที่ได้แจ้งได้รายงานว่า จะออกไปปฏิบัติงานเพื่อที่จะช่วยพัฒนาหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นย่อมมีผู้ที่อาศัยในหมู่บ้าน มิฉะนั้นก็ไม่ใช่หมู่บ้าน ผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านนั้นก็เป็นคนเหมือนเรา ก็ต้องมีอาหารใส่ท้อง ต้องมีเสื้อใส่ ต้องมีความรู้ คือต้องมีโรงเรียนสำหรับลูกหลาน ต้องมีสิ่งทุกอย่าง ก็สรุปได้ว่าสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อร่างกายและใจของแต่ละคน สิ่งเหล่านั้นที่จะได้มาจะต้องอาศัยหลักวิชามากหลายและพร้อมกัน คือไม่ใช่ว่าคนหนึ่งจะต้องอาศัยเพียงแต่หลักวิชาการปกครองที่จะอยู่ได้ จะต้องสามารถที่จะทำมาหากิน ทำมาหากินในด้านเกษตรกรรมก็จะต้องสามารถที่จะไถนาพรวนดินให้ได้ ก็จะต้องรู้เหมือนกัน อันนี้การปกครองก็ไม่ได้ว่าด้วยการไถนา แต่ว่าวิชาการไถนาก็ต้องใช้เหมือนกัน ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้ใดก็ย่อมต้องรู้ว่ามีความรู้อื่นๆ ที่ต้องมาประกอบด้วย แต่ละคนก็ได้เรียนมาในวิชาเฉพาะของตน ก็จะต้องเปิดหูเปิดตาว่าในชีวิตของแต่ละคนมีวิชาอื่นตั้งเยอะแยะ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่เรียนจบเป็นบัณฑิต และออกไปทำงานโดยไม่มีการฝึกฝนหรือระมัดระวังตัวเกิดความฟุ้งซ่านได้ เพราะว่าจะน้อยใจว่าตัวไม่ได้เรียนอะไรแต่ตัวก็ได้ปริญญา ตัวเป็นบัณฑิตมีปริญญาไปอวดเขา เสร็จแล้วคนเขาก็เยาะเย้ยว่ามีแต่เศษกระดาษ ฉะนั้น ถ้าทุกคนตั้งใจที่จะไปดูเปิดหูเปิดตาในการงาน ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะว่าที่เรียนมาโดยเฉพาะนั้นก็เป็นประโยชน์ และโดยที่ไปร่วมมือกับคนอื่นที่เรียนอย่างอื่นโดยเฉพาะก็สามารถที่จะปฏิบัติ งานของตัวได้อย่างดี ทั้งที่ได้รับการอบรมฝึกฝนก็เข้าใจว่าไปในแนวความคิดนี้ว่า ทุกคนจะต้องร่วมมือกันและควบคุมจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ก็จะได้รับผลสำเร็จอย่างดีงาม เมื่อได้รับผลสำเร็จอย่างดีงาม แล้วก็จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง เพราะว่าตัวเองมีความภูมิใจว่าทำงานอะไรที่ดี ได้รับการยกย่องชมเชยเราก็ภูมิใจอีกที ทั้งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะว่าถ้าท้องที่ที่เราไปช่วยได้รับประโยชน์ ก็นับว่าทำให้เกิดความมั่งคั่งมั่นคงขึ้น ส่วนรวมของประเทศชาติก็ย่อมจะต้องดีขึ้น ทุกคนก็มีความสุข ทุกคนก็มีความพอใจ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ได้พยายามชี้แจงฝึกให้พวกเรา ได้มีความรู้ มีความสามารถ ก็ภูมิใจ เพราะว่างานของท่านก็เป็นผลสำเร็จที่ดี สำคัญอยู่ที่ทุกคนจะต้องตั้งความเห็นให้เหมาะสม หมายความว่าตั้งความเห็นในงานของตัวว่ามีจุดประสงค์อะไร และก็ปฏิบัติตรงไป จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ที่จริงก็ได้เคยพูดกับรุ่นก่อนๆ นี้ในด้านว่าแต่ละคนจะได้รับประโยชน์เป็นสำคัญ อาจจะไม่เข้าใจดีนัก แต่ถ้าอธิบายอย่างที่อธิบายเมื่อกี้นี้อาจจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าทุกคนเข้าใจและทั้งรุ่นเก่าได้ทำความเข้าใจให้ดี สามร้อยคนที่ได้รายงานทั้งหมดนี้จะเป็นกำลังของส่วนรวม เป็นทางที่จะทำให้เป็นประโยชน์ได้เต็มเปี่ยม และอาจจะทำให้ผู้อื่น ได้ทบทวนผู้อื่น ให้มีความคิดอย่างนี้ได้ บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาในประเทศไทยเป็นจำนวนหลายหมื่นคนก็จะ มีความหวังขึ้น ไม่เกิดความน้อยใจเมื่องานของตัวไม่ค่อยสำเร็จ ก็เป็นการสร้างให้การศึกษาขั้นอุดมศึกษานี้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น แล้วก็ปัญหาต่างๆ อุปสรรคต่างๆ ปัญหาในทางความเดือดร้อนที่มีอยู่ในประเทศ ก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดี

ฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความเข้าใจในงานของตัวให้ดีตั้งแต่ต้น แล้วก็พยายามทำตามที่อาสาสมัคร ทำงานด้วยความตั้งใจที่แน่ จะใช้คำว่าด้วยอุดมคติที่สูงก็ได้ ขอให้ทุกคนอย่าให้กำลังใจลดลงไป รักษากำลังทั้งกาย ทั้งใจให้ดี เพื่อที่จะปฏิบัติงานเป็นประโยชน์ เป็นความสำเร็จสำหรับตนเอง เป็นประโยชน์เป็นความสำเร็จเป็นความก้าวหน้าสำหรับส่วนรวม ก็ขอให้ได้ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม มีความสำเร็จในงานการทุกอย่าง ทำให้เกิดความปีติยินดี หมายถึงความเจริญ ก็ขอให้ทุกคนได้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง.

« « Prev : มองอนาคตกับ พล นิกร กิมหงวน

Next : คนหลังบ้าน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 August 2009 เวลา 10:12

    สบายๆ ขออนุญาตเอาไปหากินนะคะร๊าบบบบบบบบบบ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.096666812896729 sec
Sidebar: 0.14033102989197 sec