เมื่อนายคุณอยู่บน…หอคอย

โดย Logos เมื่อ 14 October 2009 เวลา 0:32 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการ, ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 4118

มีบทความอันหนึ่งบน palawat.org ซึ่งเขียนเมื่อต้นปี 2550 ผมเคย reblog ไว้นานแล้ว แต่ได้ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

เมื่อก่อนอ่านแล้วมีความรู้สึก “สะใจ” นำโด่งออกมาเลยครับ ขนาดที่ตอนนั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงปรี๊ดนะเนี่ย ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ความสะใจไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ไม่ได้แก้ไขอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ได้ระบายความอึดอัดออกมาบ้าง แต่เหตุของความอึดอัดยังอยู่เหมือนเดิม แล้วมันก็จะเป็นอีก

บทความนี้ อ่านแล้วต้องคิดเยอะๆ ครับ แค่บอกว่า ใช่เลย…โดนจริงๆ…สุดยอด แต่ก็ยังทำเหมือนเดิม แบบนี้ได้อ่านหรือไม่ได้อ่าน ก็มีค่าเท่ากันนะครับ (reblog โดยได้รับอนุญาตจากคุณ blackcode เจ้าของบทความ ขอบคุณครับ ผมแก้ตัวสะกดไปสามแห่ง)

ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ เคยเล่าให้ฟังว่า…เจ้าของกิจการรายหนึ่งขอให้เป็นที่ปรึกษาปรับปรุงองค์กร
เนื่องจากประสบปัญหามากมายโดยเฉพาะคน ทั้งคุยกับลูกน้องไม่เข้าใจ
สั่งงานไม่ได้เรื่อง ทำให้การบริหารเป็นไปด้วยความลำบาก หลังจาก ดร.สมชาย
เข้าไปศึกษาการทำงานจึงรู้ว่า ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ลูกน้อง
แต่อยู่ที่เจ้าของกิจการนั้นเอง
ครั้นจะไปบอกเจ้าของกิจการก็กระอักกระอ่วนพอควร….
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหลายๆ ครั้ง เรามักว่าเราคิดดี เราฉลาด
คนอื่นไม่เข้าใจ ลูกน้องน่าจะ..อย่างโน้นอย่างนี้
โดยไม่มองกลับมาที่ตัวเองก่อน

ในระยะนี้ผมจะได้ยินหลายคนบ่นถึงเรื่องทำไงดีถ้าเจ้านายเค้าอยู่บนหอคอยงาช้าง
และที่แย่กว่านั้นคือนายเค้าไม่รู้ตัวเสียด้วยว่าได้ทำตัวอยู่บนหอคอยงาช้างเสียแล้ว
เพราะคิดว่าประตูห้องก็เปิดตลอดใครเข้ามาปรึกษาได้ ระบบสื่อสารต่างๆ ก็มี
ว่างๆ เดินมาคุยตอนที่เค้าเดินไม่เดินมาก็ได้ แต่มุมมองของลูกจ้างก็จะคิดว่า
…ใครจะเข้าไปปรึกษาฟระ…พูดมากก็เข้าตัวสิ
ถามว่าทำไมลูกจ้างต้องคิดอย่างนั้น ก็เพราะเป็นลูกจ้างไง
นายเสียงแข็งก็เข่าอ่อนแล้ว และหากมาเจอนายที่ีมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
มีมุมมองแปลกๆ เจอย้อนกลับมา ก็ซวยเลย
ดังนั้นเจ้านายจึงอยู่บนหอคอยงาช้างต่อไป…..

สิ่งที่ผมเจอคือ หลายบริษัทพยายามสร้างระบบของตัวเอง
บางแห่งตั้งคณะกรรมการ 2 -3 ชุด ในการกลั่นกรองเรื่องต่างๆ
ทั้งที่จำนวนพนักงานไม่ได้มากมาย (คือ พยายามไปเลียนแบบองค์กรใหญ่ๆ่ มา
โดยไม่ได้คำนึงปัจจัยและองค์ประกอบของตัวองค์กรเอง)
บางแห่งคณะกรรมการทำตัวเป็นเทวดาอยู่บนหอคอยงาช้าง
เวลามีเรื่องเข้าสู่การพิจารณา มักทำหน้าที่ลูกแม่ซัก (คือ ซักถามแหลก
แนะนำจุดโน้นจุดนี้ น่าจะทำโน่นนี่)
และโยนกลับให้ผู้เสนองานนั้นไปทำมาเพิ่มเติม
บางองค์กรมีทั้งสองแบบที่ว่ารวมกันเลย
โดยคิดว่าเป็นแนวทางที่ดีและมีประสิทธิภาพให้กับองค์กร
แต่ความจริง..ระบบนั้นอาจเป็นเส้นทางสู่ความหายนะขององค์กร

ในมุมมองการบริหารงานนั้น การมีการกลั่นกรองหลายๆ ชุด
จะทำให้เรื่องที่นำเสนอรอบคอบ ลดความเสี่ยงลง
ยิ่งหากมีคณะกรรมการที่มาจากหลายฝ่ายยิ่งดี เพราะได้มุมมองที่หลากหลาย
ทั้งการเงิน การผลิต การตลาด แต่คำถามคือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ….

- เกิดอะไรขึ้นถ้า
คณะกรรมการนั้นทำหน้าที่ลูกแม่ซัก ที่คอยโยนปัญหากลับไปที่ผู้เสนอ
โดยทำตัวเหนือปัญหา ให้ไปแก้แล้วค่อยมาเสนอใหม่ ทำตัวเป็นฉันไม่เกี่ยว
นี่เป็นปัญหาเธอ เธอต้องแก้เอง แทนที่…จำทำตัวเป็นทีมงานเดียวกัน
ช่วยกันพัฒนาคิดร่วม ที่สำคัญที่สุดคือ ผลักดัน ให้มันสำเร็จ

- เกิดอะไรขึ้นถ้า
คณะกรรมการนั้นมีความรู้และแนวคิดที่หลากหลายเกินไป
เพราะบางองค์กรไม่มีการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
ที่จะทำให้ทุกคนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน มีมุมมองและเข้าใจทางธุรกิจพอๆ กัน
เข้าใจระบบการเงิน การตลาด การผลิต ที่ใกล้เคียงกัน สิ่งเหล่านี้
เมื่อต่างกันมากๆ คนรู้การเงินก็คุยเรื่องการเงิน
การตลาดก็จะถามในมุมการตลาด การผลิตก็อยากได้ในมุมของตัวเอง
และที่ร้ายกว่านั้นคณะกรรมการบางคน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย แต่ซักไว้ก่อน
เอาปัญญาน้อยๆ โลกทัศน์แคบๆ เอามาซักไซ้ไล่เรียงไว้ก่อน

กรณีดังกล่าว…ยิ่งหากคุณอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรง ผลกำไรน้อย
หรืออยู่ในอุตสาหกรรมช่วงขาลง ความอยู่รอดขององค์กรอาจต้องพึ่งพา ความเร็ว
นวัตกรรม และประสิทธิภาพของการทำงาน
ดังนั้นการทำให้มากเรื่องจึงเป็นเรื่องปัญญาอ่อนของหลายๆ องค์กร
ที่มั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นเพราะ…มันจะออกอาการ อาการที่ว่าคือ….
- องค์กรไม่มีนวัตกรรมใหม่ในสินค้าหรือบริการทางธุรกิจ ใดๆ เลย หรือเกิดน้อยมาก
- รายได้หดตัว ผลกำไรน้อยลง
- มูลค่าตลาด หรือส่วนแบ่งตลาดหดตัวลง
- ระบบงานภายในยุ่งเหยิง ล่าช้า และเรื่องมาก แทนที่จะรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง

แนวทางการแก้ไขปัญหาสำหรับองค์กรคือ ปรับโครงสร้าง ลดระบบที่ซ้ำซ้อน
และพัฒนาบุคลากร (อันนี้สำคัญที่สุด) พูดง่ายนะครับ
แต่ทำไม่ได้ง่ายอย่างที่ว่า ส่วนในรายละเอียดยังไม่ขอพูดถึง
ไว้มาปากหมาวันหลัง

เพราะคำถามวันนี้คือ ทำไงดีถ้าเจ้านายอยู่บนหอคอยงาช้าง…..คำตอบคือ
ปล่อยให้เค้าอยู่บนนั้นต่อไปถ้าเค้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (คนหลายๆ
คนมักคิดว่าตัวเองฉลาด ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละโคตรโง่เลย
….ผมชอบคำนี้มากครับ)
และเมื่อคุณรู้แล้วคุณก็อย่าเอาเยี่ยงอย่างที่งี่เง่าแบบนั้น
สิ่งที่คุณควรทำวันนี้คือ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ทำงานในหน้าที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด
โดยหวังว่าองค์กรของคุณจะกลับตัวกลับใจพัฒนาเป็นบริษัทชั้นนำ
มีผลประกอบการที่ดี มีโบนัสที่เยอะ และมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น
แต่หากไม่เป็นอย่างนั้น…..อัตาหิอัตโนนาโถ..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
…หากคุณพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตน
ไม่ต้องกลัวอดตายครับ (แค่คางเหลือง ไม่ก็เป็นโครขาดสารอาหาร)
….สุดท้ายอย่าให้มองตัวเราก่อนว่าตัวเองทำได้ดีหรือยัง
อย่ามัวแต่ไปโทษโน่นโทษนี่ เราทำดีหรือยัง เราพัฒนาตัวเองขึ้นหรือยัง
ส่วนใครจะโง่…คือปล่อยให้มันโง่ดักดานไปเถอะครับ….:)

บทความข้างบนนี้เป็นมุมมองของพนักงาน จริงอยู่ที่ว่าจะให้ไปถามหัวหน้าหรือพูดไปตรงๆ ก็คงรู้สึกสยดสยองน่าดู… แต่ผมก็ยังคิดว่าควรจะสอบถาม/สืบหาข้อเท็จจริงครับ เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ (ตัวเองคิดว่า) ควรจะเป็น มีอะไรที่ (ตัวเราไม่รู้ว่า) ทำไม่ได้/เป็นข้อจำกัดอยู่หรือเปล่า หึหึ เรื่องมันเริ่มต้นที่ว่าเราแต่ละคนที่อยู่ในองค์กร ปรารถนาดีต่อองค์กรและพยายามทำให้องค์กรดีจริงหรือเปล่า

ผมไม่เชื่อว่าจะมีใคร “ถูก” ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นนาย หรือตัวเรา

ข้อเท็จจริงก็คือเราไม่สามารถจะรู้ในเรื่องที่คนอื่นรู้ทั้งหมดหรอกนะครับ ทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมองจากมุมที่ต่างกัน ก็จะเห็นภาพที่ต่างกัน ในความเห็นที่แตกต่าง จะบอกได้อย่างไรว่าของใครถูก ถูกทั้งคู่ หรือผิดทั้งคู่; ถ้าเผอิญไปอยู่ในองค์กรที่ top-down/พูดอะไรไม่ได้เลย ก็น่าสงสารมากนะครับ ดันไปอยู่ในสถานที่อโคจรเอง แทนที่จะเกิดการรวมพลังกันออกไปสู้ข้างนอก กลับต้องมาขัดแย้งกดดันกันเองข้างใน คนที่มีใจก็ทำใจหล่นหาย สถานที่นั้นเหมาะกับเครื่องจักร ไม่เหมาะกับคนหรอกครับ เพราะเครื่องจักร แม้เกเรเป็นบางครั้ง แต่มันไม่เถียง แหะๆๆๆๆ

โอ๊ย…แต่อย่างว่าแหละ ถ้าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้ตามคำแนะนำนะครับ เมืองไทยเป็นมหาอำนาจไปแล้ว เพราะมีคนรักชาติคอยให้คำแนะนำทุกรัฐบาลอยู่ตลอดมา… ไทยเข้มแค๊กๆๆๆๆ อิอิ

« « Prev : อิอิ อ๊ะอ๊ะ ภาคทำไม

Next : อิอิ อ๊ะอ๊ะ ภาค(ทำ)อะไรหว่า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 13:24

    อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกสะใจอะไร
    แต่รู้สึกแปลกใจ

    เวลาระบบอะไรที่มีซับซ้อน หลายชั้นเป็นคอนโด(ที่ทางขึ้นกับลงคนละทาง..ลิฟท์มักสวนทางกันเสมอ) ก็มักจะนึกถึงระบบราชการ ไม่เคยนึกว่าองค์กรเอกชนจะร่วมนิยมความซับซ้อน(ที่ตัวเองมักจะตำหนิเวลาต้องไปติดต่องานราชการ)ด้วยเหมือนกัน

    อ่านแล้วนอกจากจะแปลกใจแล้ว ยังเกิดความสงสัยว่า หรือว่าการทำงานไม่ว่าในองค์กรอย่างไร เมื่อมาอยู่เมืองไทย ก็นิยมเป็นเจ้าขุนมูลนายทั้งสิ้น??? …คำว่านิยม ตัวผู้บริหารใหม่ๆ อาจจะไม่นิยมหรอกบางทีลูกน้องนั้นแหล่ะไปสร้างวัฒนธรรมให้ผู้บริหารเอง
     พอเสพติดอำนาจก็เลยเข้าล๊อค …ติดกรงหอคอยไป????

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 13:58
    มันเหมือนเป็นการให้สัญญาณที่ผิดครับพี่สร้อย แล้วจิตใจที่ไม่แข็งแรง ก็เสพติดกับสัญญาณที่ผิดนั้นๆ
    ถูกครับพี่…ดีครับผม…เหมาะสมครับท่าน
    พินอบพิเทาจนผิดธรรมชาติ อันนี้ต่างกับการมีสัมมาคารวะ {จปผ๑ หน้า 27 บรรทัดที่ 6-8}

    องค์กรที่ดี ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหาเลย แต่เขาเอาใจใส่ดูแลแก้ปัญหาอย่างจริงจัง (ถ้าเขารู้ว่ามี) แก้ไขที่สาเหตุ เพื่อจุดประสงค์ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม: องค์กรต้องมาก่อนตัวบุคคล ถ้าองค์กรอยู่ไม่ได้ บุคคลก็อยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นราชการ เอกชน วัด ชุมชน เมือง ประเทศ หรืออะไรก็ตาม เมื่อมองจากแง่พลวัตของสังคมแล้ว มีโอกาสเป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งนั้น

    ถ้าคนที่อยู่ “ภายใน” ไม่ทำให้มันดี จะไปให้ใครมาทำให้ จริงไหมครับ ถ้าตัวเราเป็นใหญ่ ตัวเราถูกเสมอ เราก็ไม่ฟังคนอื่น เอะอะอะไร เราถูก-คนอื่นผิดเสมอ อย่างนี้จะไปแก้ไขอะไรได้ครับ

    องค์กรขนาดใหญ่ (เช่นราชการ หรือ conglomerate) อาจหลีกเลี่ยงความซับซ้อนในโครงสร้างได้ยาก ควรแก้ด้วยการกระจายอำนาจ ซึ่งก็ต้องมีการเลือกสรรบุคคลมาดูแลรับผิดชอบให้ดี และสำคัญที่สุดคือมีความไว้วางใจกัน — ถ้าไม่ไว้ใจ อำนาจก็ไม่กระจายออกมา ปลายยอดของปิรามิดก็จะเป็นคอขวด ซึ่งสถานการณ์อาจจะยิ่งหนักกว่าเก่าแบบที่เห็นในระบบราชการครับ

  • #3 อัตาหิ อัตโน นาโถ | เวทีแห่งนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 January 2010 เวลา 9:27

    [...] อ่านบทความที่ลานซักล้าง แล้วเก็บมาคิด สิ่งที่ได้คือคำตอบ ซึ่งเราก็เคยตระหนักในความเป็นจริงที่ว่านั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่หลายครั้งหลายคราวผมกลับหลงลืมไปเอง สิ่งที่คุณควรทำวันนี้คือ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำงานในหน้าที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด อัตาหิอัตโนนาโถ..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน …หากคุณพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตน ไม่ต้องกลัวอดตายครับ (แค่คางเหลือง ไม่ก็เป็นโรคขาดสารอาหาร) ….สุดท้ายอยากให้มองตัวเราก่อนว่าตัวเองทำได้ดีหรือยัง อย่ามัวแต่ไปโทษโน่นโทษนี่ เราทำดีหรือยัง เราพัฒนาตัวเองขึ้นหรือยัง [...]


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.80241084098816 sec
Sidebar: 0.23696303367615 sec