อิอิ อ๊ะอ๊ะ ภาค(ทำ)อะไรหว่า

โดย Logos เมื่อ 14 October 2009 เวลา 17:02 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3271

ผมลาออกจากงานบริหารเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมปีก่อน ผ่านไปหนึ่งปี มีความสุขดีครับ ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทำเพราะว่าผมเลือกได้+ตัดสินใจเอง

คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ ไม่ได้แปลว่าว่างหรอกนะครับ ยังเป็นกรรมการช่วยงานราชการอยู่หลายที่ ตั้งมูลนิธิขึ้นมาทำเรื่องการประสานงานเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ เที่ยว+ศึกษาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทำโน่นทำนี่โดยที่มีอิสระอย่างเต็มที่ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

ออกจากงานมาหนึ่งปี ทำอะไรไปหลายอย่างครับ สนุกทั้งนั้น ถ้าไม่สนุกหรือฝืนก็ไม่ทำหรอก!

กฐิน

เมื่อหลายปีก่อน บริษัทมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ ก็มีสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจมาชวนไปเข้าร่วม ปรากฏว่าเราเอ๋อไปเลย บริษัทไม่มีสหภาพแรงงาน! ผมไม่ได้พบหรอกครับ ให้ตัวแทนพนักงานเค้าคุยกันเองซึ่งก็ปฏิเสธไปด้วยความขอบคุณ พอคุยกันเสร็จ เขาก็มาบอกว่าปฏิเสธไปแล้ว ผมถามกลับว่าจะตั้งสหภาพแรงงานไหม เค้าทำหน้างงๆ บอกว่ามันไม่มีปัญหาอะไรนี่คะ พนักงานก็ได้ในส่วนที่สมควรแล้ว ไม่ต้องเรียกร้อง ทุกอย่างตรงไปตรงมาค่ะ

แต่ผมกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง ผมอยากให้พนักงานได้มีคณะตัวแทนคอยดูแลกันเอง ในมุมมองของพนักงานเองซึ่งบริษัทอาจมองไม่เห็นครับ ก็เลยตั้ง Employee Relations Committee (ERC) ขึ้นมา มีงบให้ส่วนหนึ่งทุกปีให้ไปจัดการกันเอง แล้วไม่ให้ผู้บริหารยุ่ง นอกจากเหตุผลข้างบนแล้ว ก็ยังมองเป็นเวทีที่จะให้พนักงานได้ทำความคุ้นเคยกับการจัดการ+การตัดสินใจที่ไม่สามารถจะทำให้ทุกคนพอใจได้ หัดแก้ปัญหา เสียสละ และเดินตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา สำหรับเวทีนี้ เอาไว้บ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ด้วยครับ

ERC ผัดเปลี่ยนกันมาจนปี 2546 เราไปเที่ยวกันประจำปี ปีนั้นผมบอกว่าอยากทำบุญร่วมกัน อยากทอดกฐิน ประธาน ERC มาสารภาพว่า ไม่รู้เรื่องเพราะเป็นคริสต์ ทำไม่เป็นครับ (ฮา) ประกอบกับเป็นเวลานอกพุทธบัญญัติ เราจึงทอดผ้าป่ากันที่ห้วยขาแข้งแทน เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปบริจาคให้โรงเรียน ปีถัดๆ มาจึงมีการทอดกฐินราษฎร์สามครั้ง (น้าราณี ครูสุ จุ๊บแจง ก็เคยไปร่วมด้วยเมื่อคราวไปที่พิษณุโลก) และกฐินพระราชทานอีกครั้งหนึ่ง

ปีนี้แม้ผมออกมาแล้ว บรรดาพนักงาน (โดยชมรมสบายใจ ภายใต้ ERC) ก็ยังทำต่อ รู้สึกดีใจที่ทุกคนให้โอกาสตัวเอง… ปีนี้ทอดที่ราชบุรี วันที่ 24 ต.ค. ครับ สาธุ

ออกกำลังกาย

สุขภาพผมไม่แข็งแรงเหมือนที่เห็นหรอกครับ เคยเล่าไว้แล้วใน จปผ๑ มาวันหนึ่ง เห็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแล้ว รู้สึกว่าควรจะมามองทางป้องกันมากกว่า พอดีไปเห็นกิจกรรม Impossible Marathon ของดีแทคเข้า รู้สึกชื่นชมมาก ผู้บริหารเล่นเองแล้วทำได้ดีเสียด้วย ก็เลยเอาบ้าง

ตอนเริ่มชักชวนพนักงานนั้น ได้บอกประธานกรรมการไปแล้วว่าจะลาออกครับ แต่ผมอยากทิ้งอะไรไว้ให้พนักงานของผมบ้าง อย่างน้อยก็ร่วมงานกันมา 12 ปี เกือบหนึ่งในสี่ของชีวิตผม มีนัดกันไปซ้อมทุกเดือน ผมไปด้วยครับ ของอย่างนี้ได้ประโยชน์ตอนซ้อม ส่วนตอนแข่งไม่มีรางวัลแต่เอาไว้เบิ้ลกันเฉยๆ

BMI 29 อย่างผม วิ่งมากก็มีปัญหากับเข่า เมื่อออกมาจากงานแล้ว ผมเปลี่ยนมาตัดหญ้า! วันสุดท้ายที่จะเลิกจ้างคนขับรถ (คือเราไม่ได้ทำงานบริหารแล้วไม่น่าจะมีคนขับรถหรอกครับ ผมขอให้ไม่จ้างต่อเมื่อหมดสัญญา) ก็ให้เขาขับรถพาไปซื้อเครื่องตัดหญ้าแบบสะพายบ่า ใช้น้ำมัน หนัก 6-7 กก. แกว่งไป แกว่งมา ทีละชั่วโมง โหย ได้เหงื่อมากกว่าวิ่งซะอีกนะครับ เพราะวิ่งได้อย่างมากครึ่งชั่วโมง ตัดหญ้าใส่เสื้อยืด กางกางยีนส์ รองเท้าบู๊ท แต่ไม่มีหมวกกันน็อค มีแว่นวิเศษจากลำพูน ซึ่งบางทีใส่ บางทีก็ไม่ใส่ (เพราะรู้ว่าใบมีดหมุนทางไหน เศษจะกระเด็นทางไหน)

ข้างบ้านเป็นป่าหญ้าสูงท่วมหัว มีสัตว์มาทำรังออกลูกออกหลาน เพราะว่ามันรกมาก ผมก็ลุยตัดจนเตียนไปเลย แล้วปลูกต้นไม้แทน เอาเอกมหาชัยลง พื้นที่อีกส่วนปลูกผักสวนครัวแต่ยังไม่งาม มีเครื่องหมายพิเศษกับคนขับรถพ่อซึ่งมาช่วยเป็นบางครั้ง ว่าต้นไม้ที่ปลูก ให้เอากิ่งไม้ปักไว้เป็นเครื่องหมาย ต้นใดไม่มีกิ่งไม้ปักไว้ ตัดได้เลย — ตกลงกันไว้อย่างนี้เพราะว่าเวลาตัด มันมันมากครับ พรีด…พรืด…เหี้ยน…แฮ่…

ที่ระวังที่สุดคือต้นมะรุมครับ ป้าจุ๋มให้มาสามต้นเมื่อครั้งไปเป็นวิทยากรที่เดอะมอลล์บางแค หายไปพร้อมถุงต้นหนึ่ง อีกสองต้นลงดินไปแล้ว กำลังโต… พอลงดินปุ๊บ น้ามาขอแบ่ง เลยต้องบอกว่าให้โตอีกนิด จะแบ่งให้แล้วเอาไปส่งที่บ้านในสนามกอล์ฟด้วยครับ

ในตอนแรกที่ลุยถางป่า ไปตัดเอากอตะไคร้ของแม่บ้านเข้า… ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ เห็นเหมือนเป็นหญ้า เลยตัดเลย พอตัดไปได้สักพัก มีกลิ่นหอมออกมา เอ๊ะ ชักทะแม่งๆ แล้ว แหว่งไปสามในสี่กอ ตอนนี้งอกออกมาใหม่แล้วครับ

ตามขอบถนนใกล้บ้านก็ตัดหมด หญ้ากินพื้นที่ถนนเข้ามาข้างละเมตร พอตัดแล้วก็ได้พื้นที่ถนนกลับมา ถ้าเราไม่ตัด ใครจะมาตัด แต่ทุกคนที่ใช้ถนน มาเบียดกันอยู่ตรงกลาง… มันเรื่องอะไร!

ไปตัดหญ้าข้างบ้านน้องสาวซึ่งอยู่ติดกันด้วย มันรก เค้าอยู่กันแม่ลูก (พ่ออยู่ภูเก็ต/พัทลุง) ผมไปทำให้สะดวกกว่า

การตัดหญ้า นอกจากจะได้เหงื่อแล้ว ยังมีอานิสงส์อีกอย่างหนึ่ง คือเป็นที่โปรดปรานของหมานอกบ้าน เมื่อก่อนเดินไปไหนเห่าเสียงขรม (แต่เวลาขับรถ กระดิกหางวิ่งตาม) ตอนนี้เวลาเดินไป วิ่งตามเป็นพรวน เพราะว่าพอตัดหญ้าเสร็จ ผมเลี้ยงขนมครับ ระหว่างตัดหญ้าก็มีมาแอบดู มากลิ้งแถวเศษกองหญ้าขอขนม มีครอกโสรยา ครอกนังม้วน ครอกขี้กลัวกว่า และขี้กลัวซึ่งลูกตายหมด

หนังสือเจ้าเป็นไผ

เหนื่อยแต่สนุกและความภูมิใจครับ เพราะเล่าแล้ว จึงไม่เล่าซ้ำ

เที่ยว

เมื่อไม่ได้ทำงานประจำ ชีวิตก็มีอิสระมากขึ้นเยอะ พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำซะ เกิดแก๊งค์สามคนสองร้อย (อายุ) เที่ยวไปเรื่อยๆ ไปวัด ไปกินข้าว ไปพักผ่อนที่บ้านตากอากาศ ไปดูหนัง ไปช๊อบปิ้ง ฯลฯ นอกจากนั้นก็ไปสวนป่าหลายครั้ง จนแม่สงสัยว่ามีอะไร (อธิบายให้ชัดไม่ได้ ต้องไปสัมผัสเอง) นอกจากเที่ยวกับพ่อแม่แล้ว ยังเดินทางต่างจังหวัดอีกหลายรอบ ได้แวะนอนเกือบสิบจังหวัด ไปเฮหก@เชียงราย เฮเจ็ด@สวนป่า เฮแปด@กระบี่ เฮร่มธรรม@เขาใหญ่… ว่าก็ว่าเถิดครับ ถ้าแม่รู้ว่าไปนอนที่ไหนมาบ้าง คงงง ชั้นเลี้ยงของชั้นมาอย่างดี ไหงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้…ฮา

ในขณะที่ทำงานอยู่ ไม่ได้มีอิสระที่จะไปไหนหรอกนะครับ ผมเดินทางคนเดียวไม่ได้ ต่างประเทศให้ลูกน้องไป ออกต่างจังหวัดน้อยมากหลังจากปี 2544 เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง ตอนเฮห้าไปสวนป่าครั้งแรกเมื่อกลางปีที่แล้ว ยังได้รับคำสั่งให้นอนในเมือง ให้เอาคนขับรถไป ให้อยู่ใกล้หมอ อย่าลืมกินยา มียาอะไหล่ซุกอยู่ตามที่ต่างๆ ทั้งในกระเป๋า ในกระเป๋ากล้อง และในรถ; ตอนไปสำรวจวัดพระบาทห้วยต้ม@ลำพูน ดันลืมเอายาไป แม่ก็โทรมาบอกแถมส่งชื่อยามาทาง SMS พี่ครูอึ่งต้องพาไปซื้อยาที่เชียงใหม่ระหว่างไปหาพี่สร้อย…

ตอนนี้ เฉยครับ ไม่ได้กินยามาสองเดือนแล้ว ปลายเดือนเจอหมออีกที จะได้รู้กันไปเลยว่าผล lipid profile ในเลือดนั้น ไม่กินยาแล้วจะเป็นยังไง (ไม่อยากกินยาคุมไขมันในเลือดไปตลอดชีวิต) ขณะนี้แข็งแรงขึ้นมาก ต่างกับสภาพตอนที่ตัดสินใจลาออกซึ่งอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่… สรุปว่าร่างกายรักษาตัวเองได้ แต่ต้องช่วยบ้างโดยการไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่ฝืน

ชักยาวแล้ว พอก่อนดีกว่า… สรุปลงท้ายว่าคนเราจะทำอะไร ให้สบายใจแล้ว มักจะให้ผลดี แม้คำว่า “ดี” นั้น ต่างคนต่างเห็นไม่เหมือนกัน แต่เมื่อทำแล้ว สบายใจ ไม่เบียดเบียนตัวเอง จึงทำได้เต็มที่ไม่มีความกดดัน ไม่ต้องขึ้นกับความคาดหวังของใคร ทำให้ไม่ต้องฝืน จึงทุ่มเทและสนุกกับงานที่ทำนั้นได้อย่างจริงใจครับ… ขมวดท้ายคำเดียวว่านี่คือ “อิสระ”

« « Prev : เมื่อนายคุณอยู่บน…หอคอย

Next : รวยได้ทั้งชุมชน แต่… » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

13 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 17:36

    ยังกะอ่านจปผ.ภาคพิสดาร(กว่า)แน่ะค่ะ
    1.ทำไมถึงลาออกจากตำแหน่งบริหาร
    2.มีความฝันอะไรที่อยากทำบ้าง
    3.เคยทำอะไรที่พิเรนทร์ที่สุดมั้ย เรื่องอะไร

    บันทึกนี้ไม่ได้บอกให้ถามว่าทำไม เหมือนบันทึกก่อนหน้านี้ อิอิอิ (หรือว่าบอก แต่เอาเหอะเบิร์ดมองไม่เห็น ก๊าก ๆๆๆ)

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 17:58

    อย่างนี้แหละที่อยากได้ อยากอ่าน อยากเจอ อยากเอาไปรวมพิมพ์
    คิ คิ สุดท้ายก็หลุดออกมาเรี่ยมเร่อย่างที่หวัง
    ดีใจหลายเด้อ

  • #3 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 18:12
    #1 ถามได้ครับ

    1. ลาออกจากตำแหน่งบริหารเพราะเป้าหมายบรรลุแล้ว ไม่รู้จะนั่งคาอยู่ไปทำไมครับ อีกสิบปีจะเกษียณ ขืนอยู่ต่อคงเซ็งกันมาก ออกมาทำอย่างที่อยากทำดีกว่า ผมมักทำอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้นมีลูกน้องสองร้อยคนกับไม่มีเลยจึงไม่ค่อยต่างกัน เมืองไทยมีอะไรที่น่าทำอีกตั้งเยอะ แถมไม่มีคนทำซะด้วย เช่น OpenCARE

    2. ฝันจะทำหมู่บ้านเฮครับ (มีบันทึกกรณีศึกษาในจีน เขียนเสร็จแล้วอยู่ในคิวปล่อยของ) อยากเห็นชุมชนเข้มแข็งที่ทุกคนร่วมหัวจมท้าย ทำเพื่อส่วนรวม เจริญงอกงามไปพร้อมกัน ดูแลกันและกัน แทนที่จะแบมือขอหรือขายวิญญาณไป อยากเปลี่ยนความรู้ที่ลอยฟ่องจับต้องไม่ได้ ให้เป็นการปฏิบัติและประโยชน์ต่อคนรอบตัวครับ

    3. สำหรับพิเรนทร์ที่แปลว่าอุตรินอกลู่นอกทางนั้น นึกไม่ออกครับ คงมีบ้างแต่จำไม่ได้ ผมมักคิดก่อนทำ ไม่แน่ใจก็คิดต่อไป (น่าเบื่อ)

  • #4 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 October 2009 เวลา 18:28

    อ่านจบแล้วเห็นชัดเลยค่ะว่าคนที่รู้จักและเข้าใจตัวเอง ก็จะสามารถบริหารจัดการชีวิตและศักยภาพตัวเองได้ตรงใจ ตรงความต้องการ เมื่ออิ่มเต็มกับการได้รับการตอบสนอง ก็เลือกที่จะเผื่อแผ่อย่างเข้าใจ ทุ่มเทอย่างสนุกสนาน กลายเป็นคนมีอำนาจ

    “อำนาจที่จะอิสระ”

    ด้วยความนับถือค่ะ

    ^_^

  • #5 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 October 2009 เวลา 21:04

    ป๋ามีเรื่องราวแบบ “เล็ก ๆ มหาศาล” ไม๊คะ เหตุการณ์ดี ๆ น่ารัก ๆ
    ประมาณว่าถ้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็อมยิ้มได้เลยหน่ะค่ะ

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 October 2009 เวลา 1:09
  • #7 นักการหนิง ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 October 2009 เวลา 16:03

    เล่าอะไรมันๆ แบบนี้ก็เป็นด้วยแฮะ หนุกจังเลยค่ะ

    อ่านแล้วก็ให้นึกถึงคุณสามีค่ะ ชอบตัดหญ้าข้างๆ ถนนทางเข้าบ้าน จนคนแถวนั้นบอกว่าทำไมเขาไม่มีเลือกผู้ใหญ่บ้าน จะเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านค่ะ 
    มีอยู่วันหนึ่งคุณเธอก็ไปตัดหญ้าข้างถนนอีก  สวมหมวกสาน นุ่งกางเกงขายาวที่เลอะสีมากๆ และใส่เสื้เชิ๊ตแขนยาวเก่าๆ (ประมาณ 20 ปีที่แล้ว)  ออกไปได้สักพักใหญ่ๆ วิ่งเข้ามาในบ้านบอกว่าเจอลูกศิษย์ที่ตัวเองสอนอยู่มาซ่อมไฟฟ้าแถวๆ หม้อแปลงหน้าบ้าน  อายลูกศิษย์ค่ะ
    มีอยู่วันหนึ่งกำลังตัดหญ้าอยู่ดีๆ มีคนจอดรถยนต์แล้วก็ลงมาว่าจ้างให้ไปตัดหญ้าที่สวนของเขา

    ฮาฮา ๆ ๆ ๆ ๆ

  • #8 พรายหมายเลข1 ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 October 2009 เวลา 16:03

    เดี๋ยวจะรีบทำเว็บให้นะคร้าบ~~~

  • #9 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 October 2009 เวลา 18:15
    #7 ก็เป็นคนธรรมดานี่ครับ มีเรื่องอย่างนี้บ้างเหมือนกัน

    เราจะแต่งตัวอย่างไร ทำงานอะไร แล้วทำให้ใครมองอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าลดลงหรอกครับ ถึงยังไงก็เป็นเรื่องประหลาดอยู่แล้วที่คนที่ไม่ได้ทำอะไร จะมีคุณค่าสูงกว่าคนที่ลงมือทำ ส่วนสังคมไทยที่ให้คุณค่ากับคนที่เอาแต่พูด แต่ไม่ทำอะไรเลย มากกว่าคนที่ทำ อันนั้นเป็นความวิปริตของสังคมนะครับ

    ยังไม่มีใครมาจ้างผมไปตัดหญ้าเลย เพราะผมตัดหญ้าตอนสี่-ห้าโมงเย็น คนทำงานยังไม่กลับบ้าน ส่วนเสาร์อาทิตย์ไม่ตัดครับ พาพ่อแม่ไปเที่ยวแทน

    #8 ขอบคุณมากนะครับ

  • #10 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 October 2009 เวลา 11:15
    • แวะมาเรียนรู้….หนึ่งปีกับชีวิตอิสระ…..อิอิ
    • BMI 19 เลยต้องใช้เครื่องตัดหญ้าแบบไสครับ สะพายไม่ไหว….555
  • #11 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 October 2009 เวลา 14:40
    BMI 19 เบาไปหรือเปล่าครับอาจารย์ แต่คิดไปอีกที ในวัยนี้ หนักเบาอาจไม่เป็นปัญหาเท่ากับความแข็งแรงของกระดูกใช่ไหมครับ
  • #12 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 October 2009 เวลา 8:33
    • ตามสูตรฝรั่งก็เบาไปหน่อยครับ แต่สำหรับชาวอิสาน ตามงานวิจัยของ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ KKU บอกว่า BMI 18.5-23.00 คือช่วงปกติครับ
    • ตอนนี้ขึ้นมาเป็น 20 กว่า ๆ แล้วครับ….อิอิ
  • #13 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2010 เวลา 10:35

    ตามมาอ่านจนตาแฉะเลย…….
    จะบอกว่าอิจฉา ก็ไม่ใช่ ควรใช้คำว่า ยินดีด้วย… เพราะมีคนไม่มากที่จะเลือกชีวิตได้ตามที่ต้องการ

    คุณ Logos เล่าเรื่องตลก ๆ ขำ ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้คำสร้างอารมณ์ขำ ๆ เลย … 55555555….
    ดีจัง อ่านแล้วได้ยิ้ม ๆ ปนหัวเราะ ๆ บริหารสมองซีกขวาด้วย
    อีกอย่างที่คิดได้ก็คือ คนเรา (ตัวเองแหละ) นี่อยากรู้อยากเห็นชมัดเลยค่ะ เรื่องวิชาการหนัก ๆ ก็เบื่อ ขี้เกียจคิด พอเรื่องชาวบ้านล่ะอ่านได้อ่านดี…

    มิน่า งานวรรณกรรม นิยายทั้งน้ำดีน้ำเน่าจึงขายดิบขายดี แถมหลวงวิจิตรวาทการท่านยังบอก(ในหนังสือของท่าน)ด้วยว่า นิยาย วรรณกรรมนั้นจะคงอยู่คู่ไปในสังคม ได้นานกว่างานวิชาการ ซึ่งเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชีวิตของคนไม่ได้เปลี่ยนไป สาระของชีวิตเหมือนเดิม แต่วิชาการไม่เกิน 50 ปี ก็กลายเป็นล้าหลังไปแล้ว


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.32791590690613 sec
Sidebar: 0.18183207511902 sec