ข้อพึงระวังของการเผยแพร่ความคิดทางเดียว
อ่าน: 3380พระราชดำรัส เรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้
พระราชทานแก่คณะกรรมการอำนวยการโครงการรายการมหาวิทยาลัยทางอากาศ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันอังคาร ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๗
ขอขอบใจและชมเชยท่านทั้งหลายในโครงการนี้ และได้ปฏิบัติมาเพื่อให้เป็นผลตามที่ได้ตั้งใจไว้ คือถึงประชาชนให้สนใจในวิชาการต่างๆ สำหรับให้สามารถที่จะดำรงชีวิตให้ก้าวหน้า การที่มาบอกว่าขอโอวาทหรือแนวทางนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่คนที่ขอนั้นง่าย เพราะว่าพูดอยู่เสมอว่าทำ โครงการแล้วก็ขอโอวาทแล้วก็ขอพระบรมราโชวาทต่างๆ ที่ได้มาจากพระยุคลบาท แต่พระยุคลบาทนั้นนะเดินไปลำบากเหมือนกัน แล้วก็จะเจริญรอยไปก็อาจผิด เพราะว่าการที่ให้ไปก็อย่างนั้น จะทำให้เห็นได้ว่าไปที่ไหนที่ไหน บางทีไปอย่างไม่ใช่ว่ามีแผนที่จะตั้งไว้ก่อน มีแผนอยู่อย่างหนึ่งว่าไปเห็นอะไรที่ขัดข้องตรงไหน เราพยายามจัดการ พยายามกระตุ้นให้ผู้มีหน้าที่โดยตรงปฏิบัติ และให้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงมีกำลังใจที่จะปฏิบัติตามที่มีโครงการที่วางไว้อยู่แล้วในการปกครองตนเอง ฉะนั้นการที่จะเอารอยพระยุคลบาทมาเป็นมหาวิทยาลัยทางอากาศนั้น ก็จะผิดหวังเพราะว่าท่านรู้แล้วนั่นเอง แต่ถ้าพูดถึงหลักต่างๆ เมื่อฟังคำแถลงเมื่อตะกี้ ก็มีประเด็นสำคัญที่อยากจะพูดถึง คือโครงการใดถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยากให้ได้ผลตามที่มุ่งหวังนั้น ด้วยความตั้งใจแท้ ไม่มีแฝง ย่อมเป็นโครงการที่จะทำงานได้ผลมาก แต่ว่าโครงการมหาวิทยาลัยทางอากาศนี้แฝงง่าย แต่ละคนที่เป็นกรรมการไม่ใช่ว่าจะตำหนิติเตียน แต่แต่ละคนก็เป็นคน อาจนึกถึงว่าเป็นทางที่จะแพร่ความคิดของตน ส่วนตัวของตน ไม่ใช่หลักวิชา เป็นความคิดของตนเองเป็นส่วนบุคคล ก็จะพยายามใช้มหาวิทยาลัยทางอากาศเป็นตลาดเป็นที่แพร่ความคิดของตน เพื่อความพอใจของตน ซึ่งข้อนี้ ถ้าความคิดนั้นดีก็ไม่เป็นไร แต่ความจริงคนเรานะไม่ใช่พระอรหันต์ เรามีความรู้สึกอยากที่จะให้คนอื่นมาคิดอย่างเรา ฉะนั้นอาจผิดพลาดขึ้นได้ข้อหนึ่ง
ข้อที่สอง สำหรับเรื่องอันตรายของการแพร่ความคิด อาจมีความคิดคนอื่นมาในด้านที่เรียกว่า…… ไม่อยากเรียกว่าลัทธิ…… เพราะว่าถ้าพูดถึงลัทธิแล้ว ก็จะเกิดถามว่าลัทธิคืออะไร แล้วก็เกิดจะต้องมีวิสัชนากันใหญ่……ยาวแต่ก็หมายความว่าจะต้อง…… จะเรียกว่าอะไร……แนวความคิดที่จะโน้มใจให้คนคิดถึงเหมือนกันกับลัทธิเหมือนกัน ความคิดนั่นเกิดขึ้น บางทีความคิดหลักรากฐานของแนวความคิดนั้นถูกต้องแล้วคืออย่างประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยมีหลายอย่างหลายวิธี แล้วก็มีทางดีทางเสียของลัทธิ ถ้าสมมุติว่าเราพูดออกไป ผู้ฟังไปเข้าใจในทางเสียของลัทธิ ก็แพร่คอนเซปท์เป็นพอลูชั่นไป ฉะนั้นต้องระวังเหมือนกัน แต่ถ้าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว อย่างที่กล่าวข้างตน อันตรายนี้ก็น้อยลง น้อยมาก และควบคุมได้ก็ในขั้นแรกนี้ ถ้าเผื่อว่าความบริสุทธิ์ใจมีอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็นับว่าโครงการนี้ได้ผลแน่นอน ต่อไปเรื่องมหาวิทยาลัยนี้ เราก็รู้ดีว่าในสมัยนี้ มหาวิทยาลัยคืออะไร ไม่ใช่สถานศึกษา เป็นสถานที่ที่จะรวมพลัง เพราะว่าเราเอาอย่าง เราไม่มีความเป็นตนของตนเอง ที่จะนึกว่ามหาวิทยาลัยเป็นแหล่งที่ศึกษา มาถือว่าเป็นที่ที่จะมารวมพบรวมคน เพื่อที่จะแสดงพลังทั้งครูทั้งนักเรียน ถ้ามีมหาวิทยาลัยทางอากาศ จะรวมคนทางอากาศได้อย่างไร แต่ถ้าถือว่ามหาวิทยาลัยเป็นแหล่ง……หรือเป็น……การจัดการอะไรอย่างหนึ่ง สำหรับแพร่ความรู้ ก็เชื่อว่าจะได้เห็น แต่ว่าจะไม่ได้ผลในทางที่ต้องการว่ามหาวิทยาลัยนี้ เป็นแหล่งรวมคน มีอิทธิพลหรือพลัง ฉะนั้นในลำดับที่สองนี้ก็คงไม่มีความสำเร็จ
ในลำดับต่อไป มหาวิทยาลัยหรือการให้ความรู้ทางอากาศนี้จะไม่ได้อย่างหนึ่งก็คือความใกล้ชิดระหว่างผู้ที่ให้วิชากับผู้ที่รับวิชา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เดี๋ยวนี้ลืม เพราะว่าสมัยใหม่เขาไม่ทำกันแล้ว เดี๋ยวนี้เด็กเดินข้างหน้าผู้ใหญ่ นำหน้าไปไม่ใช่ผู้ใหญ่นำหน้าเด็ก เพราะว่าบอกว่าผู้ใหญ่เดินผิด หรือแม้แต่หลักวิชาก็ไม่นับถือกันแล้ว บอกว่าไม่จำเป็นที่จะเรียนหลักวิชาเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ฉะนั้นมหาวิทยาลัยทางอากาศจะไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะว่ามีทางเดียวคือให้แต่หลักวิชา แต่ว่าในสมัยโบราณก็ขออภัยที่พูดเพราะว่าแม้แต่พูดนี้ ก็อยากจะพูดว่าตั้งแต่โบราณนี้ เพราะมีเหตุผลว่าผู้ที่อยากมีความรู้จะต้องไปหาอาจารย์ ไม่ใช่อาจารย์ต้องไปหาลูกศิษย์ เดี๋ยวนี้อาจารย์ต้องไปหาลูกศิษย์ ประจบประแจงลูกศิษย์ แต่ก่อนนี้ลูกศิษย์ต้องประจบประแจงอาจารย์ซึ่งมีเหตุผลเพราะว่าลูกศิษย์ต้องแสดงว่าตนมีความปรารถนา มีกำลังใจ มีความเพียรที่จะหาความรู้ ถึงไปหาอาจารย์ อาจารย์ก็แกล้งต่างๆ นาๆ แต่ว่าลูกศิษย์ก็ยังขอมอบตัวเป็นลูกศิษย์ให้แก่อาจารย์ เมื่ออาจารย์เห็นกระจ่างแล้ว และโดยที่อาจารย์เป็นอาจารย์คือผู้ประเสริฐ ผู้มีความรู้ และไม่ใช่ความรู้ในทางวิชาเท่านั้นเอง แต่ความรู้ในทางชีวิต รู้จิตวิทยา รู้ว่าเด็กคนนี้หรือผู้นี้ มีความปรารถนาแท้จริงที่จะเรียน จึงรับเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อรับเป็นลูกศิษย์แล้วก็เป็นครูเป็นลูกศิษย์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ก้าวขึ้น ระบบลูกศิษย์อาจารย์แบบนี้โบราณ ขอถือว่าเป็นโบราณไม่ได้ถอยหลังเข้าคลอง เพราะอยู่ในคลองแล้วถือว่าเป็นของเก่า ถือว่าเป็นของผิดตามมาตรฐานหลักสมัยใหม่นี้ เป็นของไม่ดี แต่ว่าอีกหน่อยก็เป็นยังงี้อีกที เพราะว่าไม่สามารถจะใช้ระบบที่คนที่อยากได้ความรู้หันหลังกับคนรู้ คนที่อยากได้ความรู้ต้องหันหาความรู้ ฉะนั้นมหาวิทยาลัยทางอากาศนี้ จึงแสดงว่าเป็นการที่อาจารย์แสวงหาลูกศิษย์แบบอเมริกัน แบบโฆษณาชวนเชื่อบ้าง หรือโฆษณาทำการค้า ดังนั้นมหาวิทยาลัยทางอากาศนั้น เวลาฟังชื่อแล้ว รู้วิธีการถูกต้อง อาจมีการแข่งขันกัน
มาข้อที่สี่ ถ้าถือมหาวิทยาลัยทางอากาศนี้เป็นกิจการอย่างหนึ่งแพร่ความรู้ให้แก่ผู้ที่มีความสนใจ เราเรียกมหาวิทยาลัยโก้ๆ แต่ความจริงเป็นบทความเป็นสารคดี เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ส่วนรวม ผู้ที่สนใจได้มีความรู้ความสามารถ แต่ว่าสำหรับความรู้นะ ที่จะหาความรู้เพิ่มก็เห็นว่ามหาวิทยาลัยทางอากาศนี้เหมาะสมเป็นสิ่งที่ดี และผู้ที่ปฏิบัติการทั้งหลายก็ย่อมมีความดี ที่ตั้งใจแพร่ความรู้ ความเห็นให้แก่ผู้ที่จะสนใจ แต่ว่าไม่ใช่มหาวิทยาลัยเป็นสารคดีชั้นสูง แล้วก็ที่มีคู่มือส่งไปให้ เท่าที่สนับสนุนให้มีคู่มือก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าเท่ากับให้ผู้ที่สนใจเริ่มที่จะหันหน้ามาหาความรู้ ตอนนี้น่าจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยตอนที่ผู้ที่ฟังหันหน้าเข้ามาหาความรู้ โดยที่ได้รับการกระตุ้นจากบทที่เป็นสาระ คือ สารคดีที่ออกอากาศไป
ทั้งหมดนี้ ที่พูดนี้ก็เป็นความคิดที่ได้มาจากที่ท่านประธานได้รายงาน แล้วก็มีข้อคิดแค่นี้ ไม่ใช่เป็นแนวทางปฏิบัติใดๆ เป็นเพียงการสังเกตตามที่ได้เห็นเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยทางอากาศที่ได้รายงานให้ทราบเป็นอย่างไร ถ้าพูดผิดพลาดไปประการใดก็ขอให้ชี้ให้ดู แล้วต่อไปก็อาจสามารถที่จะพูดอะไรต่อไปที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ ความจริงกิจการใดๆ ต้องพยายามที่จะทำไป เมื่อทำไปแล้วก็พยายามที่จะวิจารณ์ จะแปลเป็นภาษาจีนว่า ภาษาจีนอเมริกันว่า……ก็ควรจะทำ ควรจะดูว่าที่ได้ทำมาแล้วได้ผลแค่ไหน เพียงไร ไม่ใช่ชมตัวเอง แต่ต้องวิจารณ์ความจริงและเหตุผลได้ไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วย ซึ่งท่านทั้งหลายก็มีความรู้ความสามารถพอที่จะทราบดีอยู่แก่ใจแล้วว่าโครงการของท่านมีค่าแค่ไหน มีบกพร่องที่ไหน มีความคิดเห็นอะไร อย่างไรควรแก้ไข ก็จบแค่นี้.
« « Prev : งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ ๕
Next : ธรรมดานี่แหละยากที่สุด » »
2 ความคิดเห็น
แม้จินตนาการอาจจะสำคัญกว่าความรู้ แต่การมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงกลับสำคัญกว่าจินตนาการ
รูปข้างบนเป็นรูปของต้นไม้ที่ตายแล้ว ไม่ใช่รูปหัวม้า
ถ้ารวมความจริงที่เห็นเข้ากับจินตนาการได้ดีละก็ จะทำให้ได้ความใหม่สด ที่เร้าใจกว่า มีแง่มุมที่น่าสนใจกว่ามั๊ยค่ะ