MAD จะไม่เละถ้าไม่โง่
อ่าน: 4377MAD (Mutual Assured Destruction) เป็นหลักการทางทหารที่ประยุกต์สมดุลย์ของแนชมาใช้อย่างตรงๆ ในช่วงสงครามเย็นที่ฝ่ายสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา มีอาวุธทำลายล้างสูง ซึ่งหากยิงออกไปทำลายคู่ต่อสู้ แม้จะทำลายล้างได้มาก แต่ก็จะเผชิญการตอบโต้อย่างรุนแรงและจะเสียหายหนักเช่นกัน เนื่องจากไม่สามารถทำลายล้างความสามารถในการการตอบโต้ได้ทั้งหมด
ฝั่งสหรัฐอเมริกา ใช้นโยบายไม่รุกก่อน แต่จะตอบโต้อย่างรุนแรงอย่างแน่นอน — เป็นนโยบายที่ประกาศไว้อย่างชัดเจน; สหรัฐอเมริการู้ว่าหากตนรุกสหภาพโซเวียตก่อน ก็ไม่มีปัญญาจะทำลายการตอบโต้ได้ทั้งหมด และจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นกัน ดังนั้นหากรุกรานก่อน ก็จะเสียหายหนักเช่นกัน
หากสหภาพโซเวียตรุกด้วยกำลังทางนิวเคลียร์ก่อน สหรัฐจะถูกทำลายแต่ไม่หมด และจะตอบโต้ ทำให้สหภาพโซเวียตเสียหายหนักเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าใครเริ่มใช้กำลังทางนิวเคลียร์ก่อน ก็ไม่สามารถทำลายศัตรูได้สิ้นซาก และยังจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรงและจะต้องเสียหายหนักเช่นกัน
รายละเอียดของ MAD สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ เป็นไฟล์จากสถาบันศึกษายุทธศาสตร์ วิทยาลัยการสงคราม กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
มีผู้กล่าวว่า MAD ช่วยให้โลกรอดพ้นจากการทำลายล้างมาได้ แต่คำกล่าวอ้างนี้ ตั้งอยู่บนเหตุผลที่ว่าผู้นำทั้งสองประเทศ (ซึ่งเปลี่ยนถ่ายอำนาจมาหลายรุ่นตลอด 50 ปีของสงครามเย็น) ยังเห็นแก่เพื่อนร่วมชาติอยู่บ้าง
MAD ในเมืองไทย อาจจะเละ เพราะความไม่รู้จักยั้งคิด — ต่อให้พลิกมาครองอำนาจได้ ก็จะเจอกับการต่อต้านบ่อนทำลายแบบที่เคยเกิดมาแล้วอีก ศูนย์กลางอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน จะไม่เป็นอันทำงาน จนสังคมและคนทุกฝ่ายล่มจม
« « Prev : This too shall pass แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป
Next : Pentatonic Scale รู้โดยไม่ต้องเรียน » »
6 ความคิดเห็น
ทางจิตวิทยามีคำหนึ่งที่น่าสนใจคือ Reality Testing หมายถึงการดูว่าคน ๆ นั้น”ผิดปกติ”หรือยัง ด้วยการดูความคิด การตัดสินใจ การรับรู้ความเป็นจริงในปัจจุบัน เช่น ถามเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ ถามชื่อนายกรัฐมนตรีของไทย 4 คน ถามเหตุการณ์ต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อดูการรับรู้ และความเหมาะสมในการตัดสินใจ ถ้าสูญเสีย Reality ไปก็เป็นจุดตัดสำคัญอันหนึ่งในการบอกว่าผิดปกติล่ะค่ะ
บางทีเวลาที่เราหาคำตอบเกี่ยวกับคน ๆ หนึ่งไม่ได้ การอธิบายด้วยศัพท์ทางจิตเวชอาจเป็นอีกทางหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามหลังจากศาสตร์อื่นๆ จนแต้มไปแล้ว แต่มันยากตรงไม่ได้ทดสอบตรง ๆ นี่แหละฮี่ฮี่ฮี่
เรียกว่าหลงค่ะ นักจิตวิทยาที่เก่งที่สุดในโลกชื่่อพระพุทธเจ้าบอกไว้ หรือถ้าเป็นไม่มาก เบาะ ๆ ก็ Confusion สับสน แยกไม่ออก …อาจเกิดจากความหลงที่หนักจนกลายเป็นภาวะทางจิตเพราะ Reality (การรับรู้ความเป็นจริง) เสีย หรือเกิดจากหมกมุ่นกับความคิด ความเชื่อตัวเองจนอยู่แต่ในโลกของตัวเองทำให้แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
การแยกความจริง (fact) กับความเห็น (comment) ออกจากกันไม่ได้ก็น่าสนใจว่ามีอะไร”พร่อง”ไปหรือเปล่า อย่างเบาะ ๆ ก็คิดถึงสติ+ปัญญาล่ะค่ะ หรือการรับรู้ที่เบี่ยงเบน แถมถูกท้วงแล้วยังไม่รู้ความแตกต่างอีกนี่ยิ่งหนัก ^ ^
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=20&A=5268
http://www.lotuscamp.com/index.php?mo=5&qid=203526
อ่านความเห็นแล้วก็มีความเห็นต่างไปจากนักจิตวิทยาว่า…
เจริญพร