เก็บตกงานเสวนา สวทช. NAC2011

อ่าน: 4486

หลังจากเขียนบันทึกที่แล้ว เรื่องความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ผมก็ไปขึ้นเวทีเสวนาของ สวทช.ในฐานะผู้เชี่ยวชาญครับ พิลึกจริงๆ

มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญ 8 ท่าน คือ

  • รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ - มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมสิรินธร ในพระบรมราชูปถัมป์ของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  • ผศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
  • พลเรือตรีถาวร เจริญดี - ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
  • ศ.เกียรติคุณ ดร.ชัยวัฒน์ ต่อสกุลแก้ว - สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
  • คุณวีระชัย ไชยสระแก้ว - การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
  • คุณมนตรี ชนะชัยวิบูลย์วัฒน์ - กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • คุณปรเมศวร์ มินศิริ - ไม่รู้จะลงตำแหน่งอย่างไรเพราะทำเยอะแยะไปหมดเลย แต่เป็นงานในภาคประชาชนทั้งนั้น
  • ผม

การเสวนาครั้งนี้ เรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิ ๑๑ มีนาคม ๒๐๑๑ - บทเรียนจากญี่ปุ่นสู่การเตรียมพร้อมของไทย มี ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช.เป็นผู้ดำเนินการเสวนาเอง มีผู้ฟังก็เต็มออดิทอเรียมของ สวทช. และมีผู้ฟังการถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ตอีกประมาณ 400 ท่าน

ด้วยความผูกพันกับ สวทช. ซึ่งกาลครั้งหนึ่งผมเคยเป็นอาสาสมัครที่เนคเทคอยู่หลายปี เมื่อชวนมายังไงผมก็ไปร่วมด้วยแน่นอนครับ แต่ยอมรับว่าหนักใจเรื่องเวลา ฮี่ฮี่ เพราะเวลาสามชั่วโมง วิทยากรสามท่าน-ท่านใดก็ได้ สามารถจะให้ได้ทั้งภาพกว้างและลึกได้อย่างถี่ถ้วน แถมยังเหลือเวลาตอบคำถามได้อีกนิดหน่อย ทีนี้พอมีวิทยากรอยู่แปดท่าน จึงเหลือเวลาสั้นมาก ผมตัดประเด็นที่เตรียมไปทิ้งไปประมาณสองในสาม แล้วต้องพูดที่เหลืออย่างเร็วจี๋ ก็เลยอาจจะปัญหาสำหรับผู้ที่ทำ Live tweet (ขออภัยเป็นอย่างยิ่งนะครับ)

ในรอบแรกเรื่องการประเมินสถานการณ์ของญี่ปุ่น (assessment) ก็ขอข้ามไปก็แล้วกันนะครับ เขียนเยอะไม่ไหว ถึงแม้ว่าการเข้าใจสาเหตุจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่มันก็ไม่สำคัญไปกว่าการนำบทเรียนมาใช้เตรียมพร้อมรับภัยใกล้บ้าน การถอดบทเรียนไม่ใช่เพียงเข้าใจว่าเกิดขึ้นอะไร แต่ต้องรู้ด้วยว่าถ้าภัยเกิดขึ้นกับเรา เราจะทำอย่างไร

รอบที่สองเป็นผลกระทบต่อเนื่อง (consequences) เนื่องจากมีเวลาอยู่น้อยมาก ผมจึงเสนอสิ่งที่ผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะมี (แต่ดันไม่มี) ไว้ 8 หัวข้อให้พิจารณาไว้ลอยๆ ผู้ฟังไม่ต้องเชื่อ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ผมขอขยายความในนี้ไปด้วยเพราะเวลาบนเวทีสั้นมาก พูดได้ไม่หมดครับ

  1. ความถี่ฉุกเฉินสำหรับการจัดการภัยพิบัติ กทช.ได้เคยจัดสรรความถี่สำหรับการจัดการภัยพิบัติไว้เป็นการเฉพาะ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาหลายปีแล้ว *แต่* ความถี่นี้ ให้ใช้ได้เฉพาะส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อันนี้ก็หมายความว่าเครื่องวิทยุที่ใช้ความถี่ฉุกเฉินนี้ได้ ก็ต้องเป็นของราชการ เก็บอยู่ที่กองพัสดุของส่วนราชการ ในที่ทำการของราชการซึ่งโดยปกติก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ประสบภัย ครั้นจะแจกจ่ายให้อาสาสมัครหรือผู้ประสบภัยเอาไว้ติดต่อ ยิ่งไม่ได้เลยเพราะเป็นครุภัณฑ์ — คนมีไม่ได้ใช้ คนจะใช้กลับไม่มี TIT — ในญี่ปุ่น เมื่อสถานีฐานของโทรศัพท์มือถือพังไปหมด ข่าวสารเกี่ยวกับความจำเป็นในการดำรงชีวิตจากพื้นที่ ออกมาสู่โลกภายนอกด้วยวิทยุสมัครเล่น ซึ่งผมคิดว่าทางราชการควรเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ วิทยุสมัครเล่น ไม่ใช่ทำเล่นๆ พวกนี้เป็นมืออาชีพทั้งนั้น แต่มาเล่นวิทยุสมัครเล่นเป็นงานอดิเรกต่างหากครับ
  2. ปฏิญญาแทมเพอร์เร ปฏิญญานี้เป็นปฏิญญาที่เกี่ยวกับความช่วยเหลือข้ามพรมแดนในเรื่องของ Disaster Communications ซึ่งรวมทั้งการอำนวยความสะดวกเรื่องพิธีการศุลกากร และการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับอาสาสมัครนานาชาติที่เข้ามาช่วยเหลือภัยพิบัติ ทั้งนี้รวมทั้งความช่วยเหลือที่ผ่านดินแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย ไทยไม่เคยให้สัตยาบันในปฏิญญานี้ หากเกิดภัยขึ้นในประเทศแล้วเกินกำลังจะจัดการ จนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ เจอพิธีการศุลกากรเข้าคงกระเจิง อิอิ เช่นตีมูลค่า CIF ของ data terminal/โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม แล้วเอาเงินสดวางค้ำประกันไว้ว่าจะส่งอุปกรณ์กลับไปภายใน xx วัน ฯลฯ เรื่องพันธะสัญญาระหว่างประเทศ น่าจะมีต้นเรื่องที่ กรมสนธิสัญญาและกฏหมาย กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งก็เข้าใจว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ก็น่าเห็นใจเพราะเป็นเรื่องเทคนิคเหมือนกัน เกี่ยวพันหลายกระทรวง
  3. Ad-hoc Wireless เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น โครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมอาจถูกทำลาย จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายสื่อสารขึ้นใหม่โดยเร็ว เพื่อให้พื้นที่ประสบภัยแจ้งออกมาได้ว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร เพื่อที่จะได้ส่งความช่วยเหลือเข้าไปตรงกับความต้องการ และทันการณ์ ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) มีงานวิจัย ad-hoc wireless อยู่อันหนึ่งชื่อ DUMBO เกิดหลังสึนามิเข้าฝั่งอันดามันของไทยตอนปลายปี 2547 งานนี้ได้รับการสนับสนุนผลักดันโดยมูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย (THNIC) เมื่อปีที่แล้วได้จัด workshop ขนาด 60 คน ทดลองกันจริงๆ แถวเขาใหญ่ และปีนี้จะจัดอีกเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ DUMBO ใช้ Wi-fi; สำหรับระยะที่ไกลขึ้น ยังมีซอฟต์แวร์โอเพนซอส์ซชื่อ OpenBTS ใช้โน๊ตบุ๊คที่ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ ร่วมกับอุปกรณ์โทรคมนาคมพิเศษประเภท Software-defined radio แปลงตัวเองเป็นชุมสาย GSM เล็กๆ ด้วยเสาอากาศแบบเคลื่อนที่ได้ ก็จะสามารถจะให้บริการสื่อสารฉุกเฉินในพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร พอแก้ขัดไปก่อนได้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่ กสทช. ครับ
  4. แผนที่สถานการณ์ เป็นแผนที่ที่แสดงสถานการณ์ ตลอดจนขอบเขตของสถานการณ์ ใช้งานในหลายลักษณะ กล่าวคือเมื่อรู้ขอบเขตของสถานการณ์ ก็จะรู้ว่ามีชาวบ้านได้รับผลกระทบเท่าไร หาเส้นทางที่จะส่งความช่วยเหลือเข้าไปได้ คำนวณปริมาณความช่วยเหลือจากจำนวนผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้ คำนวณความถี่ในการส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยได้; หากไม่มีแผนที่สถานการณ์ ก็จะเป็นการจัดการโดยความไม่รู้ มีโอกาสมากที่ความช่วยเหลือจะมากเกินไป น้อยเกินไป หรือไม่ตรงกับความต้องการ
  5. ฐานข้อมูลของพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุขมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากกว่าของกระทรวงมหาดไทย เพราะสถานีอนามัยตรวจสอบประชากรทุกครั้งที่มีคนในครัวเรือนป่วย ในขณะที่งานทะเบียนราษฎร์อัพเดตเมื่อมีการต่ออายุบัตรประชาชน (6 ปี) อย่างกรณีทะเบียนราษฎร์อยู่บ้านนอก แต่ตัวเข้าไปทำงานในเมือง อย่างนี้ก็จะทำให้การคำนวณความช่วยเหลือไม่แม่นยำพอ ยิ่งกว่านั้น ข้อมูลของ สธ.ยังมีคนที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยด้วย ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีปัญหาในภาวะปกติหรอกนะครับ กฏหมายก็ว่าอย่างนั้น แต่เมื่อเป็นสถานการณ์วิกฤตอันเกี่ยวกับชีวิตของชาวบ้าน ก็ควรจัดการแบบสถานการณ์ที่วิกฤตจริงๆ
  6. การจับคู่ความต้องการของพื้นที่ประสบภัยกับความช่วยเหลือ เรื่องนี้ผมคิดว่าน่าจะมองเป็นการลงทุนร่วมกันของสังคม เพื่อประโยชน์ของสังคมไทยของเราเอง การส่งความช่วยเหลือที่ไม่ตรงกับความต้องการไปนั้น เป็นความสูญเปล่าและมีราคาแพง
  7. Timestamp ประกาศเตือนภัย หรือข่าวสารใดๆ อันอาจจะกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องชีวิตของผู้คน จำเป็นต้องลงเวลาเอาไว้เสมอ เพราะว่าประกาศอาจถูกส่งต่อไปเป็นทอดๆ ทำให้ผู้รับสาส์นไม่รู้ว่าอะไรใหม่หรือเก่า — ฟอร์เวิร์ดเมลที่เคยอ่านเมื่อสี่ห้าปีก่อน ก็ยังเวียนกลับมาได้ (บางทีข้อความถูกดัดแปลงไปด้วย)
  8. การวางแผนเชิงสถานการณ์ (Scenario Planning) เรื่องนี้เป็นข้อเสนอที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุด เราอาจจะหวังไม่ให้เกิดอะไรร้ายแรงเลยได้ แต่เราต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์แบบเลวร้ายที่สุด กรณีญี่ปุ่น เค้ารู้ตัวครับว่าจะมีแผ่นดินไหวใหญ่ (8 ริกเตอร์) จะมีสึนามิ (สูงน้อยกว่า 10 เมตร) แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะแรงแบบนั้น (9 ริกเตอร์) ดังนั้นการเตรียมการรับมือ จึงไม่ถึงระดับที่ควรจะเป็น เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว หากกระโตกกระตาก ก็อาจมีผลกระทบมาก แต่ถึงกระนั้น การวางแผนเชิงสถานการณ์เป็นการประเมินความเสี่ยง ไม่ใช่การทำนายว่าจะเกิด หรือทำให้ตื่นตกใจ แต่เป็นการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายอันอาจจะเกิดขึ้น — กรณีญี่ปุ่น เมื่อมีแผ่นดินไหวรุนแรงและเกิดสึนามิ ผมรู้อยู่แล้วว่าไฟฟ้าจะไม่พอ การขนส่งจะมีปัญหามาก ถนนแตกหักเสียหาย ความช่วยเหลือส่งเข้าพื้นที่ประสบภัยได้ลำบาก น้ำมันจะขาดแคลน ที่จริงได้เคยเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ยังไม่มีข่าว (ไม่ได้แช่ง ไม่ได้ทำนายครับ แต่ศึกษามา) — ผมยกตัวอย่าง (เว่อร์ๆ ให้เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องสมมุติ) เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญยิ่งยวดไว้ว่า เพราะ 73.3% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของเมืองไทยเป็นก๊าซธรรมชาติ จากอ่าวไทยขึ้นที่มาบตาพุด มีอีกส่วนหนึ่งมาจากแหล่งก๊าซยานาดาในพม่า ถ้าสึนามิเกิดในอ่าวเบงกอลแล้วแหล่งก๊าซในพม่่าเสียหาย หรือเกิดสตอร์มเซิร์ชหรือพายุ ทำให้ฐานหรือระบบส่งก๊าซในอ่าวไทยเสียหาย ก็จะเกิดการขาดแคลนไฟฟ้า พอไม่มีไฟฟ้า น้ำมันก็เติมไม่ได้เพราะปั๊มน้ำมันใช้ไฟฟ้าทั้งนั้น พอไม่มีน้ำมัน การขนส่งหยุดชะงัก เมือง (ไม่เฉพาะกรุงเทพ) มีอาหารและน้ำพอเลี้ยงตัวได้กี่วัน ฯลฯ สนุกสนาน ไปกันใหญ่

เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ใช้หลากหลายศาสตร์ ด้วยระบบราชการที่มีลักษณะเป็นไซโล มีขอบเขตที่ชัดเจน ออกมาทำนอกขอบเขตก็ไม่ได้ ใครเข้าไปยุ่งก็ไม่ชอบ ถ้าจะแบ่งกันทำแผนคงจะไม่ครอบคลุม เนื่องจากต่างกรมต่างมองเฉพาะเรื่องที่ตนรับผิดชอบ น่าจะเชิญผู้รู้-ผู้ปฏิบัติที่ฟังเป็นไม่ได้ตั้งใจมาปล่อยของอย่างเดียว มาลงเข่ง เขย่า ทะลายกำแพงทั้งหมดชั่วคราว แล้วร่วมกันทำวางแผนเชิงสถานการณ์ขึ้นมาครับ ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหม อย่างน้อย ถ้ามีการวางแผนกันล่วงหน้า แม้พลังธรรมชาติยิ่งใหญ่มากจนไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ก็รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรเพื่อบรรเทาผลกระทบให้มากที่สุดครับ ว่ากันที่จริง Standard Operating Procedure (SOP) ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาตินั้น น่ายกย่องมากครับ

ภัยพิบัติในเมืองไทย ไม่เคยมีการรายงานไปในฐานข้อมูลภัยพิบัติของโลก (CRED/EM-DAT) แม้แต่น้ำท่วมครึ่งประเทศ ที่คนเดือดร้อนกันเก้าล้านคนเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ไม่มีนะครับ

« « Prev : ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

Next : ยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 March 2011 เวลา 0:27

    “ภัยพิบัติในเมืองไทย ไม่เคยมีการรายงานไปในฐานข้อมูลภัยพิบัติของโลก (CRED/EM-DAT) แม้แต่น้ำท่วมครึ่งประเทศ ที่คนเดือดร้อนกันเก้าล้านคนเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ไม่มีนะครับ” น่าสงสารคนไทยนะครับ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 March 2011 เวลา 0:53
    ถ้าเป็นภาวะที่จัดการเองได้ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับอาจารย์ เอาความช่วยเหลือต่างชาติเข้ามา ก็จะมีปัญหาในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นภาษา รายงานความคืบหน้า ฯลฯ แต่ถ้ามันเหลือกำลังรับแล้ว ก็น่าพิจารณา แต่เรื่องนี้ ผมไม่โทษฝ่ายการเมือง เพราะว่ามันควรจะเป็นมาตรการปกติในระดับปฏิบัติการ ซึ่งมีข้อจำกัดในขอบเขตหน้าที่ครับ

    ข้อมูลของ Dartmouth Flood Observatory ซึ่งใช้ดาวเทียมเฝ้าติดตามน้ำท่วมทั่วโลก แต่เป็นสถานการณ์เมื่อน้ำเริ่มท่วม

    ผู้แทน Google ในประเทศไทย ได้ร้องขอให้ทีม Google Maps อัพเดตภาพถ่ายดาวเทียมของประเทศไทยบ่อยขึ้น เพื่อจะกำหนดขอบเขตของอุทกภัยได้ หลังจากที่พยายามร้องขอให้ภาครัฐ เอาเครื่องบินบินถ่ายภาพน้ำท่วม แต่เสียงไม่ดังพอ

    ภายหลัง ข้อมูลซึ่งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ทำออกมาเผยแพร่ ก็ช่วยเยอะครับ วันนี้ มีโอกาสขอบคุณ ดร.อานนท์ (ผอ.) ด้วย และได้บอกไปว่าได้ประโยชน์จริงๆ ส่วนกับ ดร.เสรี ก็บอกไปว่ารู้จักกับเม้งดีครับ และเม้งเป็นคนที่ตั้งข้อสังเกตว่าคราวแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ทุ่นสึนามิเด้งก่อนที่คลื่นจะมาถึงจริงๆ เพราะคลื่นแผ่นดินไหว วิ่งที่พื้นมหาสมุทรได้เร็วกว่าคลื่นน้ำมาก

  • #3 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 March 2011 เวลา 9:13
  • #4 ลานซักล้าง » การสื่อสารฉุกเฉิน (2) ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 April 2011 เวลา 12:38

    [...] (แต่ดันไม่มี) อยู่ใน [เก็บตกงานเสวนา สวทช. NAC2011] [...]


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.0425879955292 sec
Sidebar: 0.41608810424805 sec