เสกสรรค์ ประเสริฐกุล…’แพ้ชนะถึงที่สุดแล้วก็เป็นสุญญตา’
อ่าน: 11884ในงาน เปิดประตู…สวนโมกข์กรุงเทพฯ นั้น ผมมีโอกาสได้ดูบางตอนจากปาฐกถาของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล มีที่สะดุดใจอยู่หลายตอนครับ พยายามหาเรื่องเกี่ยวกับปาฐกถานี้มาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เพิ่งเจอที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจครับ
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : พรชัย จันทโสก : รายงาน
คงไม่บ่อยครั้งนักที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสถานการณ์การเมืองขณะนี้ และที่ผ่านมาดูเหมือนจะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ ความยัดแย้งที่ถาโถมอยู่ทุกวันนี้สักเท่าไร
แต่ล่าสุดในงาน เปิดประตู…สวนโมกข์กรุงเทพฯ ที่จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2551 ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ อันถือเป็นวันรวมปราชญ์เมธีระดับประเทศและลูกศิษย์ลูกหาท่านพุทธทาส อินทปัญโญ โดยภายในงานมีปาฐกถาเกียรติยศชุด พุทธธรรมนำไทยพ้นวิกฤติ นำโดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี), ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พร้อมด้วย ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย และอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้ปรารภเปิดปาฐกถา
แม้ว่า ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จะออกตัวก่อนว่าการปาฐกถาหัวข้อเรื่อง อำนาจแห่งความว่าง-ความว่างแห่งอำนาจ นี้ประเด็นหลักมุ่งเรื่องธรรมะ ไม่ยุ่งการเมือง แต่เอาเข้าจริงๆ หลายประเด็นกลับเป็นเรื่องที่นักการเมืองเองต้องนำไปขบคิด เพราะอย่างน้อยก็เกี่ยวโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“การพูดถึงหลักธรรมไม่ได้หมายความว่าต้องตัดเรื่องทางโลกทิ้งไป เพราะธรรมะโอบอุ้มโลกทั้งโลกไว้แล้วในฐานะกฎเกณฑ์ที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติ เราจะเข้าใจธรรมะได้ก็โดยผ่านการพิจารณาประสบการณ์ทางโลกเป็นสำคัญ ‘ปรมัตถ์สัจจะ’ กับ ‘สมมุติสัจจะ’ แม้จะเป็นความจริงต่างระดับแต่ก็เกี่ยวโยงกัน ดังนั้น ที่ผมกล่าวว่าจะต้องพูดเรื่องธรรมะเท่านั้น จึงไม่ได้หมายถึงการตัดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ออกไป หากหมายถึงการพิจารณาเรื่องราวทั้งหลายประดามีโดยผ่านมุมมองของหลักธรรม” ดร.เสกสรรค์ กล่าว