สร้างเมฆอีกที
ปัญหาเรื่องความแห้งแล้งในช่วงนี้ เป็นเรื่องจริงจังในระดับ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองไทยขึ้นกับลมฟ้าอากาศ เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตนั้นดูค่าเฉลี่ยไม่ได้ แต่จะต้องทำให้แน่ใจว่าทุกพื้นที่สามารถอยู่ได้ ไม่เฉพาะในเขตชลประทานหรือเขตเมืองเท่านั้น
มีองค์ความรู้และงานวิจัย ตลอดจนการทดลองเรื่องการสร้างเมฆอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเรื่องการทำฝนหลวงด้วย
จากการพิจารณาขั้นตอนของการทำฝนเทียม สถานการณ์ในปัจจุบันคงไม่เอื้ออำนวยเท่าไร เครื่องบินเริ่ม “ก่อกวน” ให้เมฆรวมตัวกันที่ระดับความสูงหมื่นฟุตซึ่งเป็นระดับเมฆชั้นกลาง (6,000-10,000 ฟุต) ปัญหาคือไม่มีเมฆชั้นกลาง (และไม่มีเมฆชั้นต่ำซึ่งเป็นระดับของการเกิดฝน) ทั้งนี้เป็นเพราะอากาศร้อนจัด
Lapse rate มีค่า 6.5°C/1000m หมายความว่าที่ความดันบรรยากาศปกติ ถ้าระยะสูงขึ้น 1 กม. อุณหภูมิที่ความสูงระดับนั้นก็จะลดลงประมาณ 6.5°C
ถ้าอุณหภูมิที่พื้นผิวเป็น 40°C การที่จะเริ่มกระบวนการสร้างเมฆแบบเย็น (ทำเมฆจากไอน้ำที่เย็นยิ่งยวด Supercool Liquid Water หรือ SLW) ก็จะต้องทำที่ระดับความสูงที่มีอุณหภูมิ -12°C ซึ่งคือ 52/6.5 ≈ 8 กม. หรือ ความสูงกว่าสองหมื่นหกพันฟุต
ซึ่งที่ความสูงระดับนั้น อากาศเบาบางแล้ว สงสัยว่าจะไม่สามารถใช้เครื่องบินทำฝนหลวงแบบของกระทรวงเกษตรได้(มั๊ง)
กังหันลมที่หันผิดทาง
อ่าน: 6169สำหรับการวิจัยเรื่องพลังงานลมนั้น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่ากำลังไฟฟ้าที่แปลงมาจากโมเมนตัมของลม มีค่าเป็น
kWh = (1/2)(ρ)(v3)(A)(E)(H)
- ρ (rho) คือความหนาแน่นของอากาศ ซึ่งมีค่า 1.165 kg/m3 ที่อุณหภูมิ 30°C และระดับน้ำทะเลปานกลาง
- v คือความเร็วของกระแสอากาศ
- A คือพื้นที่หน้าตัดของเครื่องแปลงพลังงาน (กังหันปั่นไฟ)
- E คือประสิทธิภาพในการดักจับพลังงานจลน์จากการไหลของกระแสอากาศ คิดต่อหน่วยพื้นที่(ให้เป็นหน่วยเดียวกับหน่วยของ A เช่นตารางเมตร) ค่าของ E ในทางทฤษฎีจะไม่สามารถเกิน 59.3% ซึ่งเรียกว่า Betz Limit ตัว E นี้ ในอุตสาหกรรมพลังงานลมเรียกว่าสัมประสิทธิ์กำลัง (Power Coefficient)
- H คือจำนวนชั่วโมงที่ปั่นไฟได้
ρ มีค่าคงที่; A ก็คงที่เพราะขึ้นกับรูปร่างทางกายภาพของใบพัดกังหัน; H อยู่นอกเหนือการควบคุม
มีตัว E ซึ่งมีงานวิจัยอยู่พอสมควรที่จะออกแบบกังหันลมอย่างไร จึงจะแปลงโมเมนตัมของลมให้เป็นพลังงานได้มากที่สุด เช่นเรื่องการออกแบบใบพัด
แต่ตัว v นั้น เรากลับยังคิดกันในแบบธรรมดาว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เมืองไทยไม่(ค่อย)มีลมแรง — ที่จริงแล้ว แม้มีลมไม่แรง ก็ทำให้แรงได้นะครับ เพียงแต่ต้องเลิกคิดถึงกังหันแบบที่คุ้นเคย
Zero Emission: บิล เกตส์
คนไทยอาจจะต่างคนต่างคิดกันไปคนละทาง แต่ผมคิดว่า enabler ที่สำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนเมืองไทยคือพลังงานครับ เราคงไม่สามารถจะพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในระดับนี้ได้อีกต่อไป
บิล เกตส์ก็คิดว่าพลังงานเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาคิดว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะนำโลกสู่ความหายนะ ดังนั้นจำเป็นต้องหาวิธีที่จะผลักดันโลกไปสู่การไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (zero emission) ให้ได้ภายในปีพ.ศ. 2593 ปัญหาคือโลกมีเวลาถึงขนาดนั้นจริงหรือเปล่า
คุณภาพอากาศ
ดูรายงานคุณภาพอากาศทางภาคเหนือแล้ว รู้สึกได้ถึงความวิกฤติครับ จะให้ดีก็ควรจะทำฝน แต่ว่าก็มีปัญหาอีกว่ามันแล้งอย่างนี้ จะทำฝนได้อย่างไร
ก็เลยคิดวิธีการบ้าๆ บอๆ ขึ้นมา ซึ่งอาจใช้ได้ในห้องปิด กล่าวคือ ทำ ‘ถุงผ้า’ ที่ชุบน้ำให้เปียก มาครอบพัดลมตั้งโต๊ะหรือตั้งพื้นขนาด 12 นิ้ว เป่าลมลงไปในถุงเลย
ถ้าผ้าแห้ง ก็ชุบน้ำอีก
เมื่อเปิดลมแรงสุด ตามเรตติ้งของพัดลม จะได้ลม 650 ลบ.ฟุต/นาที หรือประมาณ 1100 ลบ.ม./ชั่วโมง แต่ถ้าจะให้อากาศหมุนเวียนทั่วถึงจริง ก็ควรจะหมุนได้สามรอบ ดังนั้นห้องปิดนี้ ก็ไม่ควรจะมีปริมาตรเกิน 366 ลบ.ม. (เช่น 10 x 14.5 x 2.5 เมตร) — ถ้าเกินจากนี้ ก็ใช้เพิ่มจำนวนพัดลมและถุงผ้าเปียก
ลมที่เป่าเข้าไปในถุง ก็จะถูกถุงผ้าเปียก กรองเอาฝุ่นละอองในอากาศเอาไว้ได้บ้าง — สำคัญอยู่ที่ว่าอากาศในห้องที่กรองแล้ว ก็อย่าให้อากาศที่มีฝุ่นละอองภายนอกเข้ามาปน
ถุงผ้าเปียกที่ใช้ สามารถทำให้ยาวเป็นถุงกาแฟได้ เพื่อลด back pressure ของพัดลม
ควรจะทราบไว้ก่อนว่าวิธีการนี้ ทำให้น้ำระเหยเป็นไอ ซึ่งจะทำให้ห้องมีความชื้นสูงขึ้นครับ
อิฐเก็บน้ำ
การประกวด “การออกแบบนานานชาติอินชอน” Incheon International Design Awards สำหรับปี 2010 ซึ่งประกาศผลแล้ว มีนวัตกรรมอยู่อันนึ่งซึ่งน่าสนใจ คืออิฐเก็บน้ำจากเกาหลีครับ
อิฐบ้านเราก็เป็นอิฐทื่อๆ เช่นอิฐมอญ อิฐบล็อค บางทีก็ใช้วัสดุอื่นเช่น ดิน+ทราย+ปูน ผสมคลุกเคล้าแล้วอัดเป็นก้อน บางทีก็ทำบล็อคให้เรียกก้อนตรงเอาไว้ก่อเป็นกำแพง บางทีก็ทำบล็อคโค้งให้ก่อแล้วเป็นส่วนโค้ง
การออกแบบของเกาหลี เซาะร่องด้านหนึ่งเป็นรางเพื่อเก็บกักน้ำฝน จะทำให้น้ำฝนที่มาปะทะกับอิฐบล็อคไหลมารวมกัน เพื่อที่ง่ายต่อการกักเก็บครับ
วัสดุเค้าก็ใช้วัสดุเหลือใช้เช่นเศษใบไม้ และเศษพลาสติก นำมาป่นให้เป็นผง แล้วนำมาอัดรวมกัน ใช้ใยไฟเบอร์ธรรมชาติในใบไม้มาผสมกับพลาสติก ซึ่งเมื่อนำมาอัดแล้ว สามารถยึดไฟเบอร์ไว้ด้วยกันได้
น้ำฝนที่มาปะทะกับอิฐ ไหลลงมาตามร่อง ทำให้สามารถรวบรวมไปเก็บไว้ใต้ดิน เพื่อนำน้ำที่ไม่ต้องกรองหรือบำบัดไปใช้
เวลาเราพูดถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มันก็ยังเลื่อนลอยอยู่ในหมู่นักคิด ไม่สามารถจะขับเคลื่อนไปไหนได้เพราะคนโดยทั่วไป ไม่เข้าใจว่ามันดียังไง
ตู้เย็นจำเป็น
อ่าน: 4613องค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้แนะนำวิธีลดอุณหภูมิพืชผลทางการเกษตรไว้ในเว็บ Small-Scale Postharvest Handling Practicesซึ่ง ผมเลือกแปลมา ทุกวิธี ใช้หลักการ Evaporative Cooling ซึ่งอาศัยการระเหยของน้ำ มาลดอุณหภูมิได้บ้าง บางทีได้ 1-2°C บางทีอาจได้ถึง 5-6°C แล้วแต่สภาพแวดล้อมครับ
แอร์ปอดบวม
อ่าน: 3182อะไรมันจะขนาดนั้นก็ไม่รู้ การทำความเย็นโดยไม่ใช้ไฟฟ้านั้น สามารถใช้ข้อเท็จจริงที่ว่าการระเหยของน้ำ จะดูดความร้อนออกไป ดังนั้นหากมีลมไหลผ่านน้ำ โดยทำให้น้ำระเหย น้ำจะดูดความร้อนจากอากาศ ทำให้อากาศเย็นลง (หรือเย็นขึ้นหว่า)
ดังนั้น ในห้องปิดที่ประตู หากดูดอากาศออกทางหลังคา โดยเอาตะแกรงกรงไก่สองชั้นที่ตรงกลางใส่ถ่านไม้ แล้วเอาน้ำรดถ่านไม้ บังคับให้ลมไหลผ่าน อากาศในห้องก็จะเย็นลง; ส่วนการดูดอากาศออกทางหลังคานั้น สามารถใช้ความร้อนนำผ่านกระบอกไม้ไผ่ได้
สร้างหมอก น้ำค้าง และเมฆ
เอาน้ำใส่เข้าไปในอากาศ ไม่แน่ว่าน้ำจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นหมอก น้ำค้าง หรือเมฆ
ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำหรือไม่ ขึ้นกับอุณหภูมิ ความดัน และความชื้นสัมพัทธ์ด้วย ตอนย่ำรุ่งซึ่งพื้นดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าช่วงกลางวันหรือหัวค่ำ จะมีจุดดิวพอยท์ (Dew Point) ต่ำกว่า เพราะบรรยากาศมีอุณหภูมิต่ำกว่า เพราะว่าดินแผ่ความร้อนจากการที่โดนแดดเผามาทั้งวันออกไปแล้ว
มีเกณฑ์คร่าวๆ คือเมื่อระยะสูงขึ้นทุกพันฟุต อุณหภูมิจะลดลงประมาณสี่องศา และดิวพอยท์ลดลงสององศา เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าดิวพอยท์ อากาศก็ไม่สามารถจะอุ้มความชื้นที่มีอยู่ไว้ได้ และน้ำจะรวมตัวกันเป็นละอองน้ำเล็กๆ ซึ่งโดยทั่วไปเราเรียกว่าเมฆ ถ้าอยู่ต่ำติดดินก็เป็นหมอก หรือน้ำค้าง
เมื่อใช้ Vortex นำละอองน้ำขึ้นไปในอากาศ จะทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนั้นขึ้นไปสูงมาก ทำให้ดิวพอยท์ขึ้นไปใกล้เคียงกับอุณหภูมิของบรรยากาศ ทำให้ความชื้นในบรรยากาศกลั่นตัว
ดังนั้น น้ำที่ส่งขึ้นไปกับ Vortex ซึ่งแม้มีปริมาณไม่มาก แต่ก็จะไปเหนี่ยวนำให้ไอน้ำในอากาศ (ที่มีอยู่แล้วแต่เรามองไม่เห็น) รวมตัวกันเป็นเมฆ หมอก หรือน้ำค้าง
ยิ่งกว่านั้น ความร้อนและลมหมุนที่นำละอองน้ำและความชื้นขึ้นไปในอากาศ ก็ขึ้นไปตรงๆ ซึ่งด้วยโครงสร้างนี้ อาจช่วยให้ก่อตัวเป็นเมฆ Cumulonimbus (Cb) ซึ่งคือเมฆที่จะก่อตัวเป็นเมฆฝนได้ง่าย
บทเรียนจากทะเลทรายในอินเดีย: เก็บน้ำไว้ใต้ดิน
ถ้าเก็บไว้ผิวดิน ก็มีโอกาสระเหยไปได้มาก แต่ถึงระเหย ก็ยังดีกว่าไม่เก็บอะไรไว้เลยนะครับ
ผู้เฒ่า Anupam Mishra จากทะเลทราย Golden Desert ในอินเดีย มาเล่าให้ฟังถึงภูมิปัญญาโบราณ ซึ่งเก็บน้ำฝนจากพื้นที่ที่มีฝนตกเพียง 16 นิ้วต่อปี (400 มม./ปี ครึ่งเดียวของอีสานในปีที่แล้งจัด) แต่เขาเก็บน้ำไว้ทุกหยด จากทุกหลังคา ทุกพื้นที่ เอาไปรวมกันในบ่อใต้ดินส่วนกลาง
น้ำฝนที่ตกลงมา 2 มม. (ตกแบบไม่ตั้งใจตก) ถ้ามีพื้นที่รับน้ำ 10 ไร่ คิดเป็นน้ำหนักน้ำฝน 32 ตัน หรือเป็นปริมาตร 32 คิว ให้สูญเสียจากการซึมลงไปในดินเสียสามในสี่ ก็ยังได้น้ำถึง 8 คิว — ถ้าใช้หลังคารับน้ำบ้านเรือน ก็จะได้เป็นน้ำอุปโภคบริโภคทั้งหมด
ผมนึกถึงพื้นที่ภูเขาแถวสถานปฏิบัติธรรมผาซ่อนแก้วนะครับ ระดับน้ำใต้ดิน (water table) ลึก 150 เมตร แต่ถ้าให้ภูเขารับน้ำ เก็บไว้ในห้องใต้ดินที่ดาดคอนกรีต จะใช้ไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำ ต่ำกว่าที่ใช้อยู่เยอะแยะ บางทีอาจไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเลย ถ้าสร้างห้องเก็บน้ำไว้บนภูเขา ให้สูงกว่าผาซ่อนแก้ว