อีตอแหล!

โดย Logos เมื่อ 2 November 2009 เวลา 6:19 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 6026

เมื่อตรวจปรับปรุงแก้ไขบันทึกที่เพิ่งเขียนเสร็จ แล้วนึกไปถึงเรื่องเล่าของพระอาจารย์รูปหนึ่งทางอีสาน

เรื่องนี้ผมไม่อาจยืนยันได้ว่าจริงเพราะไม่ได้ยินมาเอง แต่ยืนยันได้ว่าฮาจริงๆ นำมาจากตรงนี้ครับ เป็นเรื่องของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย, จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว

อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

“อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

“อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

“อีตอแหล!”

สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

นี่ละ…คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ

« « Prev : กฐินวัดป่าสันติพุทธาราม อ.โพธาราม ราชบุรี

Next : หนาวแล้ว ลองสร้างเตาหอคอย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

17 ความคิดเห็น

  • #1 pruet ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 7:49

    สาธุ สาธุ สาธุ

  • #2 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 9:23

    ฮาจริงๆ……..เจ้าค่ะ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 9:39

    อีแตหลอ  เห็นหัวข้อแล้วสะดุ้ง แต่ก็ฮาตอนท้ายจนได้

  • #4 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 10:14

    ลูกศิษย์หลวงปู่ตื้อ มายืนยันว่าจริงแท้แน่นอนครับ
    ปากอย่างนี้ต้องหลวงปู่เท่านั้น
    ผมมีโอกาสกราบท่านตอนที่ท่านมาจำพรรษา ที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง
    จำได้ว่ากุฏิท่าน เอาไม้ฝาโลงมาทำฝา ทำกระดาน ตอนนั้นกลัวแทบตาย

  • #5 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 10:28
    ลุงเปลี่ยนมีวาสนาดีจัง แต่เรื่องนี้ นอกจากฮาแล้ว ยังมีบทเรียนอีกนะครับ
  • #6 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 11:06

    -แหมวันนี้จั่วหัวเรื่องได้สะใจ…ตอนแรกก็สดุ้งเหมือนกัน…ก็นึกว่าไปโกรธใครมา…แต่ก็ลงเอยด้วยฮาจริงๆและมีบทเรียน…ที่แท้หลวงปู่ตื้อนี่เอง…ท่านคงเบื่อและพบคนแบบนี้มามากเลยพูดตรงๆให้ได้สำนึกเสียบ้าง…มานั่งคิดๆดูบางทีคนแบบนี้มีเยอะมากในปัจจุบัน…มักจะหลงตัวเอง…จะเอาแต่ดีใส่ตัวเอง…ร้ายป้ายผู้อื่น…น่ากลัวจ้า
    -ขออนุญาตฝากความถึงอาเปลี่ยนว่าป้าจุ๋มอ่านไผ2แล้ว อาเปลี่ยนเขียนได้ดี น่าอ่านและเห็นได้ซึ่งความจริงใจจ้า…คิดถึงนะคะ

  • #7 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 12:22
    หลวงปู่ท่านเมตตา สอบจิตอุบาสิกาท่านนั้นด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว รู้ผลทันทีโดยไม่ต้องตัดสินให้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเป็นจริงๆ กับการคิดว่าเป็นนั้น แตกต่างกันมากครับ

    ยิ่งกว่านั้นคำพูดประโยคเดียวกันนี้ ยังสอนคนทั้งศาลาไปพร้อมกัน ส่วนใครจะได้อะไรไปแค่ไหน ก็สุดแต่จิตใจของผู้ฟังเอง ไม่มีใครช่วยได้เลยครับ

  • #8 BM.chaiwut ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 12:37

    เพื่อนสหธัมมิกของอาตมา เคยลองนิมนต์พระเถระรูปหนึ่ง ไปแสดงธรรมงานศพ เพราะเห็นว่าท่านเป็นโฆษกในงานได้ทั้งวันและพูดได้ดีทั้งเนื้อหาและสำนวน (ท่านร่วมอุปัชฌาเดียวกับอาตมา ตอนนั้นท่านหกสิบกว่า แต่ตอนนี้อายุแปดสิบกว่าแล้ว) ท่านก็รับนิมนต์ตามระเบียบ…

    ภายในงานศพ ท่านก็ขึ้นธัมมาสน์ ให้ศีลตามปกติ แต่พอตอนเทศน์ หลังจากขึ้นบทนโมฯ แล้ว ท่านก็ขึ้นสุภาษิตว่า ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา แล้วแปลว่า ขันติ ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง เสร็จแล้วก็จบเลยว่า เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

    ญาติโยมก็ถามว่า “แค่นี้แหละ !” ท่านก็ว่า “แค่นี้ก็ทำให้ได้ เพราะดีอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายให้มากเรื่อง สุภาษิตนี้มาจากโอวาทปาฏิโมกข์นะ ไม่ธรรมดา…” ท่านแสดงธรรมแบบนี้หลายครั้ง ตอนหลังจึงไม่มีใครนิมนต์ไปเทศน์ (5 5 5…) ส่วนโฆษกงานวัดทั่วไป มีโอกาสท่านก็จับไมค์พูดเหมือนเดิม แ้ม้จะสูงอายุแล้วก็ตาม…

    สมัยพุทธกาลมีอุบาสกชื่ออตุละ เคยไปฟ้องพระพุทธเจ้าเรื่องพระเถระแต่ละรูปไม่ได้ดังใจ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องคนถูกนินทาหรือสรรเสริญโดยส่วนเดียวย่อมไม่มี… (คลิกที่นี้)

    เจริญพร

  • #9 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 12:44
    สาธุครับ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆ ถึงเทศน์ยาว อธิบายโดยพิสดาร แต่ถ้าผู้ฟังไม่ฟัง ไม่พิจารณา ก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ
  • #10 Nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 12:54

    สาธุๆๆๆ ดีแท้หนอๆๆ

  • #11 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 13:03
    บันทึกนี้เป็นอุบายครับคุณไม่ใช่หิ้ง แหะๆ การเขียนบล็อกให้ได้แต่แง่คิดเท่านั้น ของจริงอยู่ข้างนอก
  • #12 Nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 13:17

    อยู่ข้างนอก? อยู่ที่ไหนครับ? อิอิ

  • #13 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 13:43

    อยู่ที่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่การเขียนในบล็อกครับ ไม่ใช่อ่านแล้วเข้าใจเฉยๆ ไม่ใช่แค่ตั้งใจดีแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร โหย ถ้าเขียนอะไรแล้วเป็นอย่างนั้น เมืองไทยเป็นมหาอำนาจไปแล้วครับ

    บางส่วนจาก “เกี่ยวกับบล็อก” …ผมเขียนสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นข้อคิด และผมเขียนไว้ตรงนี้เท่านั้น; ท่านผู้อ่านมาอ่านเอง และท่านพิจารณาเอง ไม่ได้เขียนให้เชื่อ ไม่ได้สอนอะไร แค่เขียนให้คิดครับ ไม่ว่าจะ “คิดได้” ก็เป็นท่านพิจารณาเอง ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี จึงไม่มีอะไรติดค้างกันนะครับ

    การเขียนเพียงแต่เป็นการแลกเปลี่ยนกัน เป็นการชี้ประเด็น เป็นเตือนกันระหว่างกัลยาณมิตร เป็นการสื่อแบบ one-to-many ซึ่งผู้อ่านแต่ละคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่จะพิจารณากันเองครับ

  • #14 Nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 November 2009 เวลา 15:45

    แหม แค่เย้าเล่น คุณพี่เอาจริงแฮะ
    เห็นด้วยและอนุโมทนาทุกประการครับ อิอิ

  • #15 เพชร ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 December 2009 เวลา 10:47

    ผมขออนุญาต นำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อ ให้เพื่อนๆผมนะครับ ขอบคุณมากครับ

  • #16 udomsak ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 January 2012 เวลา 20:37

    ถ้ามีโอกาส ก็ไปที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ ไปกราบ หลวงปู่้สังข์ฯ ท่านเป็นหลานหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ท่านนี้เป็นอาจารย์ผมครับ ท่านเป็นคนบอกผมเอง “ให้ทิ้งหนังสือให้หมด” ทั้งๆที่เจอหน้าท่าน ยังไม่ได้ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ยังนึกโกรธท่านด้วยซ้ำ อะไรกันคนไม่รู้จักกัน ทำไมทักกันแบบนี้ ” สิ่งที่ท่านบอกคือ ไปภาวนาให้รู้จักคำว่า สติ ” และ เกือบทุกครั้งที่เจอท่าน ท่านมักจะถามว่า รู้จัก “สติ” แล้วหรือยัง

    ผมภาวนาอยู่ 2 อาทิตย์ ได้รู้ ซึ้งกับ คำว่า “เอาหนังสือทิ้งให้หมด” (-/\-)

    ที่วัดไม่มี course เปิดสอน ครับ ถ้าได้ให้ทำเอง

    วัดอยู่ปากทางเข้าเขื่อนแม่งัด

    และ ถ้ามีโอกาส หลัังจากกราบหลวงปู่สังข์ และ หลวงพ่อเปลี่ยน แล้ว ไปกราบหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ด้วยนะครับ ^_^

    อนุโมทนา

  • #17 handyman ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 January 2012 เวลา 22:47

    รีบตามมาเพราะหัวเรื่องแท้ๆ .. กุศโลบายแบบนี้ดีนักแล อ่านไปไม่ทันไรก็รู้สึกเองได้ว่ามันต้องเป็นไปตามชื่อเรื่องแน่ ตั้งแต่ประโยคแรกที่ว่า .. อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ .. เพราะดูอากัปกิริยา และวาจาที่กล่าว ล้วนมองเห็นอัตตาและการยึดมั่นถือมั่นชัดแจ๋วแล้ว .. อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่เลยอ่ะ .. นึกถึงเรื่องเล่าที่ว่าแม่ชีคนหนึ่งเคร่งมาก เห็นยุงเข้ามุ้งก็ไม่ตบไม่ตี แต่พยายามปัดให้ออกไปพร้อมกล่าวมธุรสวาจาว่า ออกไปเถอะลูก ครั้นหลานเห็นเข้าก็หัวเราะ ทำเอาแม่ชีโมโห ตีหลานแทบตาย .. อิ อิ อิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.87548899650574 sec
Sidebar: 0.13222503662109 sec