ถอดบทเรียนเกี่ยวกับชุมชนออนไลน์ (ตอนที่ 1)
อ่าน: 5221คำเตือน กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านบันทึกนี้
ผมเขียนบันทึกนี้ ทั้งที่ตระหนักดีว่าเป็นไปได้มากว่าท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าผมพูดถึงใครบางคน หรือหลายคนที่ท่านรู้จัก แต่เรื่องนี้เป็นความเห็นกลางๆ เกี่ยวกับ “ตัวตน” ซึ่งไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ไม่ได้เจาะจงไปที่ผู้ใดทั้งสิ้น
กรุณาอ่านคำแนะนำข้อ 2 ท้ายบันทึกที่แล้ว — บันทึกนี้เป็นตัวอย่างของการเขียนในสไตล์ generalization (เหมารวม) แต่เป็น non-assertive (ไม่ยัดเยียดให้เชื่อ ไม่มีรายการให้ปฏิบัติ ไม่ใช้คำว่าต้อง ไม่ถือว่าผู้เขียนถูกเสมอ) เพื่อเสนอการวิเคราะห์ ด้วยความหวังว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจในตัวตน ตลอดจนแรงผลักดันต่างๆ ที่ทำให้ผู้ใช้เน็ตเป็นอย่างที่เป็นอยู่
นอกจากนั้น ก็ยังเป็นตัวอย่างของ Troll (วางเหยื่อล่อปลา) ในคำแนะนำข้อ 10 อีกด้วย
หากท่านรู้สึกว่ารับไม่ได้ เพ้อเจ้อ ไร้สาระ แนะนำให้ข้ามบันทึกนี้ไปเลยครับ ไม่ต้องอ่านให้จบ
ตัวตนของคนใช้เน็ต
ผมไม่ได้เป็นนักจิตวิทยา แต่คิดว่าไม่ว่าจะอธิบายตามแนวของ Sigmund Freud หรือตามแนวคิดของ Carl Gustav Jung ก็ตาม ตัวตนคนใช้เน็ต น่าจะเป็นส่วนของ Ego ที่อยู่ในระดับของ Conscious (จิตสำนึก) คือเป็นสิ่งที่สมองเลือกสรรและปรุงแต่ง เพื่อแสดงออกให้ผู้อื่น(ชื่น)ชม
- สไลด์ประกอบการบรรยาย “บุคลิกภาพ” คณะศึกษาศาสตร์ มมส., สไลด์ 21-25
- ทฤษฎีจิตสมัยใหม่ คอลัมน์ - ความทรงจำนอกมิติ นสพ.ไทยโพสต์ 2 มี.ค.2546
Ego ในบริบทของจิตวิทยา ไม่เหมือนกับอีโก้ที่ใช้เป็นคำทับศัพท์ในภาษาไทยซึ่งมักจะออกมาในความหมายเชิงลบ
แต่ Ego ในความหมายของบันทึกนี้ เป็นจิตสำนึก ที่พบปะ-ติดต่อกับโลก เป็นส่วนหนึ่งที่ควบคุมโดยความคิด การรับรู้ ตามประสบการณ์ ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ด้วยการกระทำ และปฏิกริยาต่างๆ ที่เกิดขึ้นครับ
- Sigmund Freud - Jacques Lacan: เชิงอรรถเรื่องตัวตนและอัตลักษณ์ เอกสารหมายเลข 1380 มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
- การขัดเกลาทางสังคม โครงการคลังปัญญาไทย
ในเมื่อตัวตนเป็นจิตสำนึก จึงถูกปรุงแต่ง ได้โดยความรู้สึกนึกคิด; ในสถานการณ์บนเน็ตซึ่ง “โดยปกติ” ไม่ค่อยมีการพบปะกัน ตัวตนจึงถูกจิตสำนึก ปรุงแต่งให้มีลักษณะเข้าใกล้อุดมคติของผู้ใช้เน็ตแต่ละคน รวมทั้งการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด อันเป็นประสบการณ์ที่ผู้ใช้เน็ตเคยประสบหรือเรียนรู้มา หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง/หลอกลวง
ผู้ใช้เน็ต จึงต้องประเมินพิจารณาข้อมูลต่างๆ ให้ดี สิ่งใดที่ดีหรือร้ายจนผิดปกติ-แม้ว่าจะดูมีเหตุผลมากหรือน่าเชื่อถือก็ตาม ยังมี “ความจริง” ที่อยู่เหนือ “เหตุผล” อีก
จริงใจหรือไม่ ใครจะไปรู้
ก็นั่นน่ะซิครับ ใครจะไปรู้
ผู้ใช้เน็ตแสดงตัวตนผ่าน Conscious Ego ซึ่งถูกความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งได้ และตัวตนบนเน็ตอาจจะไม่เหมือนกับตัวตนที่แท้จริง เช่นตัวตนที่แสดงบนเน็ตเป็นกักขฬะคนหยาบช้าลามก ในขณะที่ในชีวิตจริงเป็นคนเรียบร้อย เงียบๆ “เป็นเด็กเรียน” หรือมีสถานะทางสังคมที่มีผู้ยกย่องจนรู้สึกว่าต้องรักษา “ฟอร์ม” (ตัวตนอีกอันหนึ่ง) ไว้ — ตัวอย่างนี้ อาจจะเห็นได้ชัดว่าเป็นการใช้เน็ตปลดปล่อยแรงกดดันภายในจิตใจ
จากคำอธิบายเรื่อง Self-concept ที่เหมือนกับมี self (ตน) อยู่สามอย่างคือ (คำอธิบายของคุณเบิร์ด ซึ่งบันทึกนั้นน่าอ่านทั้งบันทึกและความคิดเห็นทุกอัน) ขออนุญาตเปลี่ยนคำเรียกขาน แม้ไม่ตรงกับตำรานะครับ
- ตนที่มองเห็น (Perceived self) เรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ คนอื่นเห็นเราว่าเป็นอย่างนั้น ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
- ตนที่เป็น (Real self) บางที และส่วนใหญ่ กลับหาตัวเองไม่เจอ
- ตนที่อยากเป็น (Ideal self) <– นี่ไง นี่ไง ตัวตนในเน็ตสร้างมาจากตนอันนี้
บางคนอยู่กับครอบครัวเป็นอย่างหนึ่ง เวลาทำงานเป็นอีกอย่างหนึ่ง กับเพื่อนที่รู้ไส้กันก็อีกแบบหนึ่ง แล้วเวลาใช้เน็ตก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ผู้ที่มีลักษณะ self-esteem / self-actualization สูง มีโอกาสมากกว่าที่ตัวตนเสมือนบนเน็ตอาจจะไม่ได้ถูกปรุงแต่ง (แต่ก็เป็นไปได้ที่จะโม มาเช่นกัน) เพราะเขาทราบดีว่าตัวมีค่า และความเห็นของผู้อื่น ไม่ได้ทำให้ค่าของเขาเพิ่มขึ้น (โดยการยกย่องชื่นชม) หรือลดลง (ถูกตำหนิ) คุณค่าของคนเหล่านี้ เพิ่มขึ้นด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เข้าใจจนพลิกแพลงปรับประยกต์ใช้ในชีวิตของเขาได้ จนกระทั่งนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และได้ “คุณค่า” ตอบแทนกลับมา
หากมีใครสักคน มาบอกท่านว่าเขาเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น ท่านคิดว่าเขาพยายามจะแสดงตัวตนแบบใด
เฉลย: อาจเป็นได้ทั้ง Real self และ Ideal self แต่ส่วนใหญ่แล้วคงจะเป็น Ideal self; ส่วนถ้าเป็น Real self ก็มีวิธีช่วยตรวจสอบ ดังจะกล่าวต่อไป
- Identity (social science) Wikipedia
- Self (psychology) Wikipedia
- Self-concept Encyclopedia of Psychology
เพราะคุณค่า เกิดจากการกระทำ…
…และการกระทำในเน็ตนั้น เพียงแต่ส่งข้อความที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับปฏิกริยาในเชิงบวกกลับมาเป็นรางวัล ดังนั้นจึงเป็นคำอธิบายในแง่หนึ่งว่า
- ทำไมจึงมีการสร้างบุคลิกภาพใหม่ ซึ่งทั้งสะดวก และ(เกือบ)ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นใคร; หากตัวตนเสมือนที่สร้างขึ้นนี้ ไม่เป็นไปตามที่คิด ก็เปลี่ยนแปลงวิธีการ แล้วเริ่มใหม่ เหมือนเล่นวิดีโอเกม “แพ้” แล้วเริ่มใหม่ — บุคลิกภาพในเน็ตที่สร้างขึ้นนี้ เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ “ตน” ให้ได้รับความพึงพอใจ ซึ่งอาจหาได้ยากกว่าในชีวิตจริง
- ทำไมผู้ใช้เน็ตจึงชอบอ่านเรื่องเชิงบวกที่ไม่มีข้อสรุป ซึ่งไม่ต้องเลือกข้างใดเรื่องที่ขัดแย้งกัน — ความขัดแย้งเป็นเรื่องในเชิงลบ ไม่ยุ่งได้ก็ดี ยุ่งแล้วไม่ได้อะไร เป็นกองเชียร์ดีกว่า
- ทำไมเวลาเรียกระดมความร่วมมือบนเน็ต กลับยากกว่าในชีวิตจริง — เพราะ เน็ตเป็นโลกเสมือน เข้าออกเลือกสรรได้ตามใจ ไม่มีใครมาบังคับได้ และมีข้ออ้างอยู่มากเช่นกัน เช่น ไม่เห็น ไม่ว่าง ไม่รู้ ไม่เกี่ยว ผู้ใช้เน็ตอยู่กันเป็นอิสระ อยู่กันคนละที่ ไม่มีแรงกดดันทางสังคมจากการพบหน้ากันบ่อยๆ
อาการติดเน็ต
เนื่องจากตัวตนเสมือนที่แสดงบนเน็ต สามารถรับความพอใจหรือไม่พอใจได้ แต่เป็นตัวตนที่ควบคุมได้ ละทิ้งได้ ไม่เหมือนชีวิตจริง
- เด็กเล่นเกมส์ออนไลน์ จ่ายเงินจ่ายทอง โดดเรียน ไม่นอน เพียงเพื่อให้ได้รับรางวัลเป็นคะแนน (หรือ items) ซึ่งเป็นสิ่งเสมือนทั้งนั้น [แต่ผู้ให้บริการรับเงินจริง แม้พล่ามว่ารักชาติ แต่ทำอย่างนี้กับลูกหลานไทย]
- ตัวอย่าง คนเล่นกอล์ฟ
- เพิ่งเริ่มเล่น ตี 100 สโตรค พอใจ 18% ตอนลูกลงหลุม ใช้เวลา 5 ชั่วโมง Endorphin หลั่งทุก 17 นาที ซึ่งมากกว่าที่พบในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
- ฝีมือดีขึ้นมาจนเข้าสู่ไฟลต์เอ แฮนดิแค็ป 10 ตี 82 สโตรค (8 พาร์ 10 โบกี้) ใช้เวลา 4 ชั่วโมง; เวลาได้พาร์ ต้องตีดีทุกลูก ส่วนเวลาได้โบกี้ อาจไม่ได้ดั่งใจไปลูกหนึ่ง ดังนั้นใน 82 สโตรค พอใจถึง 72 ครั้ง ทำให้ Endorphin หลั่งครั้งหนึ่งทุก 3-4 นาที แทบจะทุกครั้งที่ตีลูก
- การที่ Endorphin หลั่งด้วยอัตราที่มากกว่าในชีวิตปกติมาก เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนติดกอล์ฟ (Endorphin แรงกว่า Morphine สองร้อยเท่า)
- แล้วคนเล่นเน็ต จะไปเอา Endorphin มาจากไหน: ก็มาจากการใช้ตัวตนเสมือนครับ [อธิบายละเอียดนักก็อาจจะแรงไป]
สิ่งใดในตัวตนที่ปรุงแต่งได้ยาก (สิ่งบ่งชี้ถึง Real self)
- ความเร็วในการตอบ — คำตอบที่มาเร็ว มีแนวโน้มที่จะปรุงแต่งน้อยกว่าคำตอบที่ไปคิดตรึกตรองอยู่หลายวัน
- ความมั่นคงทางอารมณ์ — เป็นปฏิกริยาที่แสดงออกต่อความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก คนเราที่ยังไม่หลุดพ้น เบื่อได้ ท้อแท้ได้ โกรธได้ หงุดหงิดได้ ผิดหวังได้ ดีใจได้ แสดงอารมณ์ต่างๆ เป็นธรรมชาติ แต่ถ้านิ่งและยืนหยัดได้ละก็ หาได้ยากจริงๆ
- คุณค่าที่ให้กับผู้อื่น — เป็นการให้โดยบริสุทธิ์ใจ ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องการการยกยอ/ขอบคุณตอบแทน
- จุดยืนบนการกระทำ (Persistence) — ไม่ใช่แค่จุดยืนทางความคิดซึ่งปรุงแต่งผ่านตัวหนังสือที่เขียนได้
- ความไม่สมบูรณ์แบบ — เป็นอาการหลุด อาจสังเกตได้ด้วยเวลาที่คบกันยาวนาน ส่วนใครดีสมบูรณ์แบบ ควรเชิญเข้าพิพิธภัณฑ์
ควรค้นหาตัวตนของผู้อื่นหรือไม่ ท่านกำลังหาอะไรกันแน่
ไม่มีใครตอบแทนผู้อื่นได้ว่าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร ถ้าท่านคิดจะค้นหา อย่างน้อยก็ขอให้ชัดเจนก่อนว่าจะหาอะไร
- Perceived self — หาได้โดยไม่ต้องสอบทาน คิดว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และอาจผิดไปจากตัวตนจริงได้มาก
- Real self — อันนี้ ถึงเข้าใจก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ นอกจากว่าจะคบกันไปนานๆ
- Ideal self ซึ่งเขาจะพยายามแสดงออกมาให้ดูอยู่ดี ไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก
แต่ถ้าท่านคิดว่าหน้าประวัติคือตัวตนที่ท่านค้นพบแล้วละก็ ท่านคงยังไม่ได้มองหาอะไรเลย แต่หยุดค้นไปแล้วครับ
ตัวตนของผู้อื่นสำคัญต่อท่าน หรือสิ่งที่เขานำมาให้แล้วท่านสามารถไตร่ตรองกลั่นกรอง เลือกเชื่อ เลือกรับได้นั้น เป็นประโยชน์ต่อท่านมากกว่ากันครับ
« « Prev : ถอดบทเรียนเกี่ยวกับชุมชนออนไลน์ (ตอนที่ 0)
Next : ถอดบทเรียนเกี่ยวกับชุมชนออนไลน์ (ตอนที่ 2) » »
8 ความคิดเห็น
มาบอกว่า เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ไอ้ที่ลิงค์ไว้บางเรื่องนะมันหายไปละ….เขียนใหม่ซะหน่อยดีไหมตรงนี้…..
จากคำอธิบายเรื่อง Self-concept ที่เหมือนกับมี self (ตน) อยู่สามอย่างคือ (คำอธิบายของคุณเบิร์ด ซึ่งบันทึกนั้นน่าอ่านทั้งบันทึกและความคิดเห็นทุกอัน) ขออนุญาตเปลี่ยนคำเรียกขาน แม้ไม่ตรงกับตำรานะครับ
ส่วนบันทึกต้นเรื่องนั้น มีข้อความเป็นดังข้างล่างซึ่งคุณเบิร์ดอ้างถึงความคิดเห็นที่ 8 ของผม จากลิงก์ “ความเห็น” ข้างล่างครับ
พี่พบว่า ข้อสรุปทางวิชาการนั้นเป็นเรื่องวิเศษสุด ที่มีคนทุมเทเวลาศึกษาเอกลักษณ์ หรือคำจำกัดความของสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาให้เปิดความคมชัด วิชาการทำได้เยี่ยมจริงๆ หลายเรื่องเมื่อเข้าสู่กระบวนการวิจัย ศึกษา สรุป วิเคราะห์แล้ว เกิดมโนภาพที่ เคลียร์ ทันที
แต่พี่เองก็พบว่า ข้อสรุปนั้นๆขาด subject area หรือความเป็นจริงที่เป็นวงที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้าของข้อสรุปนั้นๆ หากข้อสรุปนั้นเป็นวงชั้นในสุด หรือบีบคั้นที่สุดออกมา แต่ชีวิตจริงมันปนกันกับวงในสุดกับวงที่นอกๆออกมา มันไม่ขาวไปหมด หรือดำไปหมด แต่มีขาวมากกว่าหรือมีดำมากกว่า นั่นเอง
หากจะสรุปความเป็นตัวตนแต่ละคน เมื่อเอาเข้าเครื่อง purify แล้ว พี่อยากจะกล่าวว่าคนนั้นๆมีบุคลิคภาพส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น แต่มิได้หมายความว่าเขาเป็นเช่นนั้นอย่างคงทนถาวรไม่ไหวติงนิ่งเงียบ…แต่ยังโอนเอนไปได้เมื่ออยู่ในภาวะแวดล้อมใหม่ หรือเกิดการ “ตกผลึก” ทางการเรียนรู้ใหม่ สำนึกใหม่ กล่าวคือ มีการกระโดดข้าม หรือมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิคภาพจากรูปหนึ่งไปสู่อีกรูปหนึ่งได้ แม่จะมีไม่มาก ไม่บ่อยก็ตาม
แต่ก็ยอมรับภาพรวมๆของบุคคลนั้นๆว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ชาตินั้นเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ คนภาคนั้นเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ที่สุดแล้วไม่เสมอไป
พี่ชอบวิชาการก็ตรงที่มีกระบวนการที่สร้างให้เราสามารถสรุปภาพรวมได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ว่า ไม่เสมอไป (exception case) พี่ทำงานกับคนที่เป็นชาวบ้าน ก้พยายามสรุปว่า คนไทโซ่ ที่พี่ทำงานด้วยนั้นมีบุคลิคภาพโดยรวมอย่างไร เมื่อค้นพบแล้ว(บางส่วน) แต่ก็มีกรณีที่ยกเว้นที่ไม่เป็นเช่นนั้นเลย หรือตรงข้ามไปเลยเช่นกันโดยภาพรวมเราพบว่าชนเผ่าผู้ไท นั้นอยู่ในระดับที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ดีกว่า(ความเห็นส่วนตัว) ชนเผ่าไทโซ่ และดูเหมือนเป็นที่ยอมรับกันโดยวงกว้าง
การค้นหาตัวตนนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนทำงานอย่างพี่ที่จะกำหนดกระบวนการใหม่ในการทำงานกับสองชนเผ่านี้ที่แตกต่างกัน ซึ่งทางราชการไม่มองประเด็นนี้ ใช้วิธีการเดียวกับทุกชนเผ่าในประเทศไทย นี่คือปัญหา และความด้อยของระบบราชการ(ที่พี่บ่น)
อ้าว พูดเรื่องชุมชนออนไลน์ ไหงมาโผล่ที่นี่ได้ ห้าห้า…
ในความแข็งย่อมมีจุดอ่อน ตรงข้าม ในความอ่อน เราก็เคยพบจุดแข็งของเขา
เพราะอะไร การที่อีตาฟรอย และคนอื่นๆศึกษาและสรุปมานั้น และเราเรียนกันมาหลายร้อยรุ่นนั้น มาจากการสรุปคนในสังคมที่นานมาแล้ว ส่วนคนในสังคมปัจจุบันและอนาคต ซับซ้อนมากขึ้น หากอีตา ฟรอย มีชีวิตในสมัยนี้และศึกษาเปรียบเทียบน่าจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเติมนะครับ…..
อย่างไรก็ตาม การหยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกกล่าวกันเป็นการกระตุ้นให้เราคิดต่อได้ดีครับ ทำให้เรา exercise สมองมากขึ้น อิอิ
ได้ความรู้เพิ่มอีกเยอะเลยครับ
อ่านแล้วสงสัยตัวเองว่า ตูเป็นแบบไหนเนี่ย…
อ่านแล้วสงสัยว่า เขามองตูแบบไหนนะ…
อ่านแล้วก็ยิ่งสงสัยว่า ตัวตูแท้จริงเป็นยังไงหว่า…อิอิ
สิ่งที่เจอจางไปในสังคมความรู้ปัจจุบัน คือการตั้งคำถามที่ถูกต้อง และความเข้าใจว่าอะไรนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้ สังคมปัจจุบันซื้อเอาง่ายๆ จึงไม่รู้สึกว่าความรู้ว่าต้องขวนขวาย คิดว่าแค่รู้ก็พอแล้ว ถึงเวลาเอาไปใช้ กลับทำไม่ได้ เพราะที่เคยคิดว่ารู้นั้น มันเป็นแค่รับรู้ความรู้ของผู้อื่น
เคยมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งเล่าให้ที่ประชุมฟังว่ามีงานวิจัย ที่พยายามตอบคำถามว่าปีกข้างไหนของแมลงหวี่ให้พลังงานมากกว่ากัน (ถ้าจำไม่ผิด เป็นข้างซ้าย ซึ่งท่านก็ไม่ได้บอกว่าแมลงหวี่ถนัดซ้ายเหรือเปล่า); การวิจัยลงลึก แบบที่มีแรงจูงใจด้วยการนำไปสู่การยกย่อง (เนื่องจากรู้ในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้) เป็นการสูญเปล่าครับ รู้แล้วถ่ายทอดไม่ได้ ก็สูญเปล่าเช่นกัน แต่ที่น่าเสียดายกว่าคือความรู้ที่ไม่สามารถต่อยอดได้ ก็จะขาดช่วงและแห้งตายไปในที่สุด เหมือนกับการที่ต้องมีโรงเรียนสอนควายไถนา เพราะความรู้ขาดช่วงไป
การตั้งคำถามที่ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญานะครับ ถ้าคำถามไม่ถูกต้อง จะไปหาคำตอบที่ถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อทิศทางเพี้ยนไปตั้งแต่ต้นแล้ว มรรค ๘ เริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิ
ผมเล่าเรื่องพิสดารในบริษัทอีกเรื่องนึงก็แล้วกันนะครับ เมื่อกลางปี 2545 มีบันทึกภายในเขียนมายาวเหยียด ลงท้ายว่าจึงเรียนมาเพื่อขออนุมัติ แต่ไม่รู้ว่าจะให้อนุมัติอะไร บันทึกนั้นเป็นการบรรยายว่าผู้เขียนไปทำอะไรมาบ้าง อ่านแล้วมึนตึ้บ เรื่องนี้จำได้เพราะมีโปรแกรมแก้ไขที่ลงเวลาแน่นนอนดังจะเล่าต่อไป
ผมว่าไม่มีใครเดาออกว่าผมแก้ไขอย่างไร
ให้เขียนเรียงความครับ มีหลายแบบฝึกหัด คิดโจทย์เอง หารางวัลมาให้เอง เรียงความที่ส่งมา เอาขึ้นเว็บให้ทุกคนได้อ่านและโหวต ให้เรียนและสังเกตกันเอง
การเขียนเรียงความ ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่ก่อนเขียน จะมีโครงของเรื่องที่พยายามจะสื่อ มีการเรียบเรียงความคิด มีการเลือกใช้คำ มีน้ำหนัก มีประเด็น ฯลฯ ก่อนสื่อออกมา ต้องคิดก่อน ซึ่งนั่นล่ะครับ ที่อยากได้
แล้วการเขียนเรียงความจะแก้ปัญหาอะไรได้ ผมว่าแก้ได้เยอะเลยครับ ปัญหาไม่ใช่ผมอ่านบันทึกขออนุมัติไม่รู้เรื่อง ปัญหาเกิดจากผู้เขียนไม่สามารถเรียบเรียงความคิด แล้วสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ได้ดีพอ — หากสื่อสารไม่ได้ดี จะมาทำธุรกิจได้อย่างไร
โจทย์อันแรกจึงถามดื้อๆ เลยว่าจุดมุ่งหมายของบริษัทคืออะไร เรียงความที่เขียนส่งกันมา ส่วนใหญ่ไม่ดีหรอกครับ แต่มีอยู่อันหนึ่งในแบบฝึกหัดแรกซึ่งประทับใจผมมากมาจนปัจจุบัน
เพียงได้อ่านแค่นี้ก็คุ้มกับความตั้งใจแล้วครับ; น่าเสียดายที่พนักงานคนนี้ ไม่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทอีกแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน เขาน่าจะเจริญรุ่งเรืองได้นะครับ
ตูที่แท้จริง = ตูที่มีชีวิตอยู่ - ตูที่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็น - ตูที่บอก(หลอก)ตัวเองว่าเป็น
เรื่องที่สำคัญกว่าการหาตูที่แท้จริงคือ
มีตูเยอะซะจน ไม่น่าสนใจจริงๆด้วย…แค่รู้ตัว รู้สติก็พอแล้ว….เพราะสำหรับตัวเรามันก็ไอ้แค่นั้นเอง…จะตูไหนก็เหอะ….ใช้ตูให้เป็นพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆ….ดีกว่ามะ…ส่วนคนอื่นเขาจะสนตูไหนของตู….ช่างเขาเป็นไร….จะรู้ไปทำไมว่าเขาสนตูไหน…..เนอะ…เนอะ…เหอ…เหอ…เหอ