“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า”
อ่าน: 4129“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า” หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจ และดับที่ใจ ทั้งสุข และทุกข์ ทั้งสำเร็จ และล้มเหลว เป็นความจริงที่เข้าใจยาก เพราะว่าคนเราติดสุข ติดความสำเร็จ (ติดสุคติ) โดยไม่เข้าใจว่าสุคติ นำมาซึ่งทุคติเช่นกัน จึงจะเปรียบเทียบกันได้
เราคงรู้จักคำที่ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” กันเป็นอย่างดี ความข้อนี้มาจากคาถาธรรมบทในพระไตรปิฎก ความว่า
[๑๑] ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จ
แล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่
ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต
๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไป
อยู่ ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐ
ที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม
ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้นเพราะสุจริต ๓ อย่าง
เหมือนเงามีปรกติไปตาม ฉะนั้น ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกเวร
ไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คน
โน้นได้ลักสิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้น
ย่อมไม่ระงับ ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้น
ด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลัก
สิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมระงับ ในกาล
ไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อม
ระงับเพราะความไม่จองเวร …
“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ” ชอบประโยคนี้จังเลยครับ ก็เลยค้นต่อว่ามีพุทธวัจน์นี้ กล่าวไว้ตรงไหนอีกหรือไม่ เจอจริงๆ ครับ
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง
ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ
[๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
จากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็น
จริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิต ฯ
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุซ่องเสพเมตตาจิต แม้ชั่วการเพียงลัด
นิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของ
พระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะ
กล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า ฯ
[๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญเมตตาจิต แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ
เดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของ
พระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าว
ไยถึงผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า ฯ
[๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุใส่ใจเมตตาจิต แม้ชั่วกาลเพียง
ลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอน
ของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะ
กล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า ฯ
[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนอกุศล ที่เป็นไป
ในฝักฝ่ายอกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรม
เกิดหลังเทียว ฯ
[๕๘]ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนกุศล ที่เป็นไปใน
ฝักฝ่ายกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น กุศลธรรมเกิด
หลังเทียว ฯ
[๕๙]ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่
เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป
เหมือนความประมาท ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลประมาทแล้ว อกุศลธรรมที่
ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป ฯ
[๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็น
เหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป
เหมือนความไม่ประมาท ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลไม่ประมาทแล้ว กุศลธรรม
ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป ฯ
[๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่
เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป
เหมือนความเป็นผู้เกียจคร้าน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเกียจคร้านแล้ว อกุศล-
*ธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป ฯจบวรรคที่ ๖
« « Prev : Burj Dubai: สิ่งที่มนุษย์สร้างที่สูงที่สุดในโลก
Next : “ถูกต้อง” » »
7 ความคิดเห็น
สาธุ สำคัญที่ใจ..ใจเขา ใจเรา
นอนฟังช่องAstv1 ระดมใจจะเดินพลังใจในวันพรุ่งนี้ ก็ได้แต่เอาใจช่วย อย่าให้บ้านเมืองต้องวิบัติเพราะความไม่เข้าใจกันเลย
ขออนุโมทนาในเมตตาจิตด้วยครับ ผมคิดว่าต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนยืนอยู่บนความถูกต้อง โดยมองจากมุมมองของตน แล้วเมื่อตนถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องผิดอย่างแน่นอน ทำไม “ตัวเรา” เท่านั้นที่ถูกต้อง และดีเสมอ
เอาของแถมขึ้นมาแสดงก่อนครับ
โสกปริเทวมจฺฉรํ
น ชหนฺติ คิทฺธา มมายิเต
ตสฺมา มุนโย ปริคฺคหํ
หิตฺวา อจรึสุ เขมทสฺสิโน.
ผู้ติดในสิ่งที่ยึดถือว่าของเรา
ย่อมละความโศกเศร้า ความรำพัน และความตระหนี่ไม่ได้
เพราะฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดภัย
จึงละความยึดถือไปได้.
ผมนำ เอสุการีสูตร มาฝากครับ ยาวหน่อย แต่พระสูตรนี้น่าศึกษา น่าคิดพิจารณาครับ
สาธุ..
สาธุค่ะ
ครับ
ผมเข้าใจผิดมาตั้งนาน
ผมคิดว่า “ใจ(ของคน)ที่ดีทั้งหลาย ต้องมีธรรมเป็นหัวหน้า” เสียอีก
สงสัยต้องไปทบทวนใหม่
ขอบคุณครับ