มุมมอง

6 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ February 2, 2010 เวลา 10:44 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา, ทั่วไป #
อ่าน: 2675

เนื่องจากการซ่อมแซมสะพานของ กทม. ทั่วกรุงเทพในปีที่แล้วและีปีนี้ทั้งปี ทำให้ตัวเองได้ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถสาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรในส่วนที่รถติดมากๆ พอใช้แล้วก็รู้สึกดี แม้ว่าจะต้องหลายต่อไปหน่อย ต้องเดินมากขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าใช้ได้ และใช้เวลาไม่นานมากนัก  ข้อเสียคงจะมีตรงที่ว่าบางครั้งรถเมล์นั้นขาดช่วงและมาช้า หรือรถเมล์เล็กที่บังเอิญต้องขึ้นบ้างนั้นเป็นรถที่คุณภาพต่ำและ safety ต่ำมาก  แต่ก็เจอทั้งคนขับและกระเป๋าที่น่ารัก เข้าป้ายดี บอกข้อมูลสถานที่กับผู้โดยสาร กับพวกที่ไม่สนใจอะไรเลย มุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว

การเดินทางตอนเช้าๆ โดยใช้รถสาธารณะ ทำให้ได้เห็นชีวิตของผู้คนที่หลากหลายมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นชีวิตที่ดูแล้วน่าเห็นใจ ทุกคนก็ดิ้นรน ทำมาหากิน เลี้ยงปากท้อง ด้วยวิธีการต่างๆ  มีคุณยายบนสะพานลอย ซึ่งบางครั้งเห็นกวาดขยะอยู่แถวๆ สะพานลอยนั่นแหละ ให้เงินแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ให้ทาน แต่เป็นค่าจ้างให้คุณยายช่วยเก็บขยะแถวป้ายรถ+สะพานลอย  มีเด็กนักเรียนไปโรงเรียน มีพ่อแม่พาเด็กเล็กไปโรงเรียนอนุบาล   มีคนเข็นผักอยู่ตามตลาด  คนขายปาท่องโก๋  เป็นภาพที่แม้จะแสนธรรมดา แต่ก็เป็นภาพที่หาไม่ได้เลยในบางประเทศ เช่นที่เฮติ อ่านต่อ »


ว่าตามกัน

3 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ July 6, 2009 เวลา 10:43 ในหมวดหมู่ ทั่วไป #
อ่าน: 2766

เห็นรูปนี้แล้วอดเอามาลงไม่ได้ ทำให้นึกถึงสังคมปัจจุบันที่เดินลงเหวกันไปเรื่้อยๆ อย่างไรก็ไม่รู้

over the edge

Source: http://hikingartist.com/Cartoon_illustration_g29-The_edge_p802.html

สำหรับตัวเองไม่รู้จักคำว่า Lemming Effects มาก่อนที่จะมาเห็นรูปนี้ แต่เคยคุยเรื่องนี้กับครูบาอาจารย์ในเชิงบ่นๆ ว่า “เห็นๆ อยู่แล้วว่าไปทางนี้แล้วลงเหว ก็ยังอุตส่าห์แห่กันไป น่าเวทนาจริงๆ”  ไม่นึกว่าพฤติกรรมแบบนี้จะมีในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจริงๆ

เท่าที่ค้นๆ ดู Lemming เป็นสัตว์ประเภทหนูชนิดหนึ่ง ซึ่งอพยพเพื่อหาถิ่นที่อยู่ใหม่ และยินดีที่จะกระโดดลงเหว ว่ายน้ำผ่านอุปสรรคเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย

หนู Lemming ตัวแรกๆ คงกระโดดเพราะตั้งใจไปสู่จุดมุ่งหมายที่ดีกว่า แต่ไอ้เจ้าตัวหลังๆ ที่ว่าตามกันมาเรื่อยๆ คงไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพียงแต่เห็นว่านี่คือทางที่ทุกคนไป เพราะฉะนั้นจะกระโดดสู่ความตายอย่างไร้ความหมายหรือไม่ นั่นคงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด เพราะว่า “ว่าไงก็ว่าตามกัน” ทำนองนั้น..


บ่น

6 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ March 30, 2009 เวลา 9:11 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 2470

ช่วงนี้เห็นความเป็นไปของตนเองเยอะมาก

เพราะได้เห็นความ”ใจต่ำ”ของคนทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะมีการคิดเปรียบเทียบและพยายามหาเหตุผลว่าเหตุใดจึงทำกันไปได้ขนาดนั้น

คิดเสร็จแล้วก็ปลง เพราะหาเหตุผลแทนใครไม่ได้  เห็นความไม่แน่นอนของอารมณ์ตนเอง และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผันผวนต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน  เห็น”อนิจจัง”ที่เที่ยงแท้แน่นอนเสมอ

อีกเรื่องที่เห็นเยอะคืออาการเบื่อในสังขารของตน ทั้งความคิดปรุงแต่ง หรือสังขารรูปกาย

รู้สึกว่า”หนัก” และเห็นสังขารเป็นภาระ (อันนี้วัดได้จริงด้วยเพราะน้ำหนักก็ขึ้นด้วย ฮา.. ^ ^  )

แต่ก็ได้เห็นเช่นกันว่าหากขาดขันธ์ 5 นี้ คงจะเจริญปัญญาไปไม่ได้

ทุกอย่างมีทั้งสองด้าน

มีด้านดี ด้านเลว

ที่สำคัญคือ เราควรเห็นทั้งด้านดีและด้านเลว และเข้าใจในสภาพดีและเลวของสิ่งนั้นๆ    มองอย่างเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่ง…

ที่สำคัญอีกประการคือ รู้จักเลือกทำ เลือกปฏิบัติในสิ่งที่ดี  มีสัมมาทิฏฐิเป็นพื้นฐานของชีวิตอันสั้นนี้


ความเจริญ

4 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ March 25, 2009 เวลา 9:05 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา #
อ่าน: 3457

ความเจริญคืออะไร

เห็นใครต่อใครก็ล้วนพูดถึงความเจริญ อยากให้บ้านเมืองเจริญ อยากให้คนอยู่ดีกินดี

“เราต้องสร้างความเจริญให้กับพื้นที่ เราต้องสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่เพื่อที่จะได้สร้างถนน สร้างบ้าน สร้างธุรกิจ คนอยู่ดีกินดี มีงานทำ”

เห็นได้ชัดเลยว่าคิดกันไม่ครบ  มุ่งพัฒนากันแต่ทางกายภาพ สร้าง สร้าง และสร้าง…

สร้างกันมากๆ ก็เหมือนกับการปั่นหุ้น  หุ้น..ที่มูลค่าเป็นเพียงตัวเลขบนกระดาน สร้างมูลค่าให้หุ้น แล้วก็ทุกข์ใจ สุขใจ หรือลุ้นเครียด เมื่อมันขึ้นหรือลง

เวลาสร้าง ก็อยากจะได้เร็วๆ ถูกๆ แล้วก็มักจะลืมถึงเวลาที่ใช้งานที่จะต้องดูแล

พอสร้างเสร็จ  ต้องบำรุงรักษาเพื่อใช้งาน ก็ไม่ได้ทำ

พอเสีย ต้องกำจัด ก็เอาไปทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาของคนอื่น เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตน

ระหว่างการสร้าง ก็ใช้ทรัพยากรธรรมชาิติกันไป ทำลายพื้นที่อยู่อาศัยของตนไป

ตอนใช้งาน ประสิทธิภาพของสิ่งที่สร้างแต่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาก็ต่ำ ก็ทำลายสภาพแวดล้อมไปเรื่อยๆ อีก

ตอนทำลาย ก็เอาไปทิ้งๆ ไว้ แบบง่ายๆ ปัดให้พ้นตัว ให้เป็นปัญหาของส่วนรวม…

ลองมองคูคลองในกรุงเทพ  ลองมองบ่อขยะ ลองมองไปในถังขยะในบ้านเราเองดู หรือมองดูข่าวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์

ถ้าอยากดูความเจริญที่ว่า ก็คงต้องดูแถวๆ นั้น

ที่น่าแปลกใจคือ สุดท้ายที่คนส่วนใหญ่คิดว่าความเจริญนำไปสู่ความอยู่ดีกินดีนั้น ลืมลองมองไปรอบๆ ตัวแล้วลองตัดสินดูว่ามันเป็นเช่นนั้นหรือไม่

เจริญทางกายภาพนั้นนำไปสู่ความเสื่อมทั้งนั้น

เจริญทางปัญญาต่างหากที่เป็นทางออก

มีปัญญาคิดและเข้าใจ ว่าถ้าสร้างต้องสร้างให้ดี ต้องลงทุน ต้องรับผิดชอบดูแลใช้งาน ต้องดูแลตอนกำจัด

มีปัญญาคิด ว่าไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีใครได้ทั้งหมด หรือเสียทั้งหมด แต่จะได้บ้างเสียบ้างเป็นธรรมดา และไม่มีอะไรฟรีในโลก

มีปัญญาคิด ว่าอะไรจำเป็น อะไรเกินความจำเป็น อะไรเป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นโทษส่วนรวม

มีปัญญา เข้าใจธรรมชาติ และธรรมะ  รู้จักปรับตัว

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  นั้นเที่ยงแท้แน่จริงเสมอ


ไม่ปล่อยวาง

4 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ February 26, 2009 เวลา 14:49 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา, ประสบการณ์ #
อ่าน: 3502

เพิ่งเขียนเรื่อง “ไม่เอาเรื่อง” ไป ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ตัวเองมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่คนหนึ่ง ที่คอยมาสะกิดให้กังวลใจได้เรื่อยๆ

คราวที่แล้วเจ้าคนนี้ เขียนไปรษณียบัตรมาหา พร้อมกับบอกว่าเห็นเราขับรถผ่านเขาไปบนทางด่วนเมื่อวันที่เท่านั้นเท่านี้ เวลานั้นเวลานี้ พร้อมกับระบุทะเบียนรถกับยี่ห้อรถเราเสร็จสรรพ!!

คนๆ นี้ มีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบติดต่อมาทางเดียวโดยการเขียนจดหมาย ไม่เคยระบุที่อยู่ติดต่อกลับ เพราะเขาคงกลัวเราเอาไปแจ้งความ ทำแบบนี้มาเป็นเวลาประมาณ 10 ปีแล้ว

มานั่งวิเคราะห์ดู ก็เห็นเลยว่าเขาไม่เคยปล่อยวาง ยึดความฝัน ความคิดที่พิการบางอย่างไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเวลานาน ช่างน่าเอน็จอนาจจริงๆ

คนเรา ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง ก็จะทรมาณแบบนี้ ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชที่ไม่มีปัญญาหลุดออกจากการยึดติดแบบนี้

ประสบกับเรื่องแบบนี้ ก็เลยได้บทเรียนประสบการณ์มาสอนตัวเองด้วยว่าคนเราต้องปล่อยวางให้เป็น


ไม่เอาเรื่อง

7 ความคิดเห็น โดย KL เมื่อ February 26, 2009 เวลา 14:35 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา, ประสบการณ์ #
อ่าน: 2629

เ้มื่อวานขับรถเข้าไปแถวๆ เพลินจิต ไม่ค่อยได้เข้าไปบ่อยนัก พอมีธุระต้องเข้าไปก็เลยเจอดี โดนชนท้ายเลย
ตอนที่โดนชนก็ตกใจเล็กน้อย แล้วก็คิดว่า เห็นทีจะไปตามนัดไม่ทันเสียแล้ว แล้วเบอร์ประกันของเราเบอร์อะไรหนอ.. แล้วก็ลงมาดูแผลที่ท้ายรถ

รถที่มาชนเป็นรถ pick up ผลลัพธ์ก็คือ bumper สีแตก แต่ไม่ยุบ แต่ดูแล้วคนที่มาชนคงไม่ใช่เจ้าของรถที่ขับมา เขาก็ลงมาดูกับเราพร้อมๆ กัน พร้อมกับชี้ไปที่แผลว่า ไม่เป็นอะไรเลย (แต่สีถลอกและแตก) เราก็ชี้ไปให้ดูว่า สีมันแตกและถลอกนะ พูดจบก็ถอนหายใจหนึ่งที เพราะดูแล้วเขาคงไม่อยากจะชดใช้อะไร แล้วก็เดินกลับไปที่รถ แต่รถติดสัญญาณไฟเยอะก็เลยออกรถไม่ได้ สักแป๊บคู่กรณีก็เดินมาที่ข้างรถ ก็เลยเปิดประตูไปบอกเขาว่า “ไปเถอะ ไป..” พร้อมกับโบกมือ ถือว่าไม่เอาความกัน เพราะถ้าเอาความก็คงจะไม่ได้ความ (อิอิ) แถมเสียเวลา และเสียอารณ์ด้วย

ทำธุระเสร็จ ขับรถกลับบ้าน มานั่งนึกดู..อืมมม สติดีใช้ได้อยู่ อารมณ์โกรธก็ไม่มี อารมณ์เสียก็ไม่ใช่ ใช้ได้ๆ ถือว่าใช้กรรม และเป็นบททดสอบสติ และอารมณ์เป็นอย่างดี เห็นเลยว่าปล่อยวางเป็นแล้ว (ฮ่าๆๆๆ)

เขียนบันทึกเป็น memo ไว้เฉยๆ ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบันทึกไว้เท่านั้น ^ ^



Main: 0.43879294395447 sec
Sidebar: 1.3644750118256 sec