ควงป๊าไปเที่ยวป้อมพระจุลฯ
อ่าน: 7364เมื่อวานวันหยุด ม๊าไปอยู่ที่วัด เลยพาป๊าไปทานข้าวนอกบ้านกัน ^ ^ ป๊าอยากไปกินอาหารที่แหลมฟ้าผ่า ชื่อร้านปูหลน ตัวเองไม่เคยไปร้านนี้เลย พูดง่ายๆ ไม่ได้ไปพระประแดงเป็นสิบปี
เมื่อวานถนนโล่งมาก ตัวเองไม่ได้ผ่านเข้าไปที่พระประแดงนานมากๆๆๆๆ แล้ว ตอนนี้ถนนสุขสวัสดิ์ที่วิ่งไปพระประแดงเป็นถนนคอนกรีตใหม่ ๘ เลน (ไป กลับอย่างละ ๔) ขับไปจะผ่านทางขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม และสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสะพานใหม่ล่าสุด (ยังไม่ได้ค้นชื่อ) ที่เชื่อมต่อกับถนนกาญจนาภิเษก สาย ๙ หรือถนนวงแหวนรอบกรุงเทพ (วงที่สามแล้วมั้ง ^ ^) สะพานตัวนี้ทำให้่การเดินทางไปบางนา หรือไปสนามบินสุวรรณภูิมิจากพระประแดงใกล้ขึ้นมากๆ สมัยก่อนถ้าที่บ้านอยากไปบางปู ต้องเอารถข้ามเรือที่ท่าพระประแดงไปฝั่งโน้น
สุดทางถนนสุขสวัสดิ์จะเจอ fork ทางแยก มีหอนาฬิกาที่แยก ถ้าเลี้ยวขวาไปป้อมพระจุลฯ ซ้ายไปพระสมุทรเจดีย์ ก็ไปทางป้อมพระจุลฯ วิ่งไปซักประมาณ ๔ กม. ก็เลี้ยวขวาเข้าไปทางสำนักงานอำเภอพระสมุทรเจดีย์ วิ่งอีกสัก ๓ ๔ กม. พอผ่านบ้านเอื้ออาทร (ไม่รู้ใครจะเข้าไปอยู่ ไกลมากๆๆ) ก็จะเห็นร้านอยู่ซ้ายมือ
กินกันอิ่มหนำสำราญ ก็ออกมาจากร้าน แล้วมุ่งหน้าไปป้อมพระจุลฯ ต่อ ทางไปจะผ่านอู่ทหารเรือ วิ่งไปจนพบทางเข้าป้อมพระจุลฯ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป ต้องผ่านป้อมทหาร เพื่อแลกบัตรหรือตรวจรถยนต์ เพราะพื้นที่ป้อมเป็นเขตทหาร แต่เปิดให้ประชาชนเข้าไปได้
ตัวพืนที่ป้อมพระจุลฯ นี้อยู่เกือบถึงปากอ่าว มองจากป้อมจะเห็นทางออกอ่าวไทย ไปถึงก็นึกถึงสมัยที่ฝรั่งล่าอาณานิคมเข้ามาในประเทศไทย ก็คงมาจอดเรือกันแถวๆ นี้ เวลาที่ไปชมปากอ่าวนี้ พบว่าน้ำลง(เป็นเมตร) เลยเห็นเลนใต้ท้องน้ำอย่างกับชายหาดโคลนอย่างไงอย่างงั้นเลย มีนกน้ำ แล้วก็มีพวกปู และเจ้าตะกวดที่เห็นในภาพด้วยค่ะ
เห็นปากอ่าวก็นึกถึงสมัยก่อนตอนในหลวง ร.๕ ออกเดินทางไปต่างประเทศ ก็คงต้องผ่านทางตรงนี้ รวมถึงเรือเสด็จของพ่อหลวง ร.๙ ของเราก็คงมาผ่านมาทางนี้ตอนเสด็จกลับมาเมืองไทยครั้งแรกๆ เพื่อเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน
ชมวิวกันสักพักก็ไปชมพิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลองกันต่อ เรือลำนี้ต่อในญี่ปุ่น ส่งมอบตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ เดิมเป็นเรือรบหลวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู๋หัว โดยปลดระวางในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ สองพ่อลูกได้เดินชมและปีนบันไดชมอาวุธรุ่นเก่าบนเรือ โดยมีพลทหารเรือเก่า (ป่าป๊าเราเอง ^ ^) เป็นผู้บรรยายว่านี่คือท่อตอปิโด อันนี้ปืนใหญ่ อันนี้ทุ่นระเบิด อันนี้ปืนกลเล็ก ฯลฯ ก็เลยได้เห็นภาพชีวิตบนเรือของทหารเรือในอดีต รวมถึงได้เห็นงานวิศวกรรมในอดีตสมัยที่ยังไม่มีไฮโดรลิค มีแต่ฟันเฟืองและมือหมุน ที่ใช้หมุนป้อมปืนใหญ่บนเรือ เห็นเฟืองตัวเบ้อเริ่ม นึกถึงแต่ตอนหล่อเฟืองนี้ขึ้นมา ก็ยากมากแล้ว มีเรือรบลำหนึ่งนี้แสดงความแสนยานุภาพจริงๆ
ตอนไปชมเรือนี้ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ร้อนมากๆ แล้ว เราเดินชมรับลมทะเลกันอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกลับค่ะ ถ้าจะให้ดีเวลาพาครอบครัวหรือเด็กๆ มาที่นี่เพื่อมาเที่ยว แนะนำให้เป็นตอนเย็นหรือเช้านะคะ เด็กๆ คงจะสนุกสนานดีทีเดียวค่ะ ^ ^ ผู้ใหญ่ก็จะไม่เป็นลมเอาด้วยค่ะ อิอิ
6 ความคิดเห็น
เป็นวันที่มีความสุขนะคะ
….
ดีใจที่มี “ลานว่าง” ในลานปัญญา
“ความว่าง” ทำให้เราไม่รู้จักเต็ม และหาสิ่งเติมเต็มเพิ่มได้
และการปล่อยให้เกิด “ความว่าง” คือเปิดโอกาสให้ใจได้เติมเต็ม
อิอิอิ
ใช่ไหมค่ะ
ฮั่นแน่..ไม่ไปเที่ยวที่ไหนหรือคะ หรือไปแถวๆ บ้านพ่อครูมาหมดแล้วก็ไม่รู้ อิอิ
ดีใจที่มีลานว่างเกิดขึ้นเหมือนกันค่ะ อย่างที่บอก เขียนเฉพาะตอนว่าง หรือเกิดความว่างของใจ และอยากแบ่งปัน ^ ^
ตอนนี้คิดว่าใจน่ะเต็มแล้ว แต่เต็มไปด้วยความว่าง…เอ๋..ยังไงเนี่ย..ฮ่าๆๆๆ
คุณพ่อยังดูแข็งแรงนะครับ
ค่ะคุณ God (กอด)
นับว่าป๊าเป็นคนที่แข็งแรงสำหรับคนอายุ ๗๕ ค่ะ เป็นโชคของลูกหลานค่ะ ^ ^
น่าไปจังเลย ไว้หาโอกาสพาที่บ้านไปมั่งดีกว่า รู้จักเส้นทางนี้ดี อาจจะแวะไปตลาดบางน้ำผึ้งด้วย เพราะไม่ไกลกัน : ) อาหารอร่อยมั้ยพี่ ท่าทางจะดีนะ ไม่งั้นคงไม่บากบั่นไปที่ลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น อยากให้น้องทีมไปดูเรือรบด้วยจัง
อาหารที่ร้านนี้อร่อยใช้ได้เลยจ๊ะ ที่สำคัญคือบรรยากาศดี ไม่ร้อนเพราะหลังคาจากและอยู่บนน้ำอย่างที่เห็น ของอร่อยที่ร้านคือปูหลนเนี่ยแหละจ๊ะ แต่อาหารอย่างอื่นก็ใช้ได้ เปิดมาเป็นสิบปีแล้วมั้ง ถ้าอาหารไม่ดี อยู่ลึกขนาดนั้นไม่น่าจะรอดจ๊ะ ^ ^
ส่วนตลาดบางน้ำผึ้งพี่กลับไม่รู้จักแฮะ อิอิ ไม่เห็นที่บ้านเคยพูดถึงเลยนะ แต่แถวๆ นั้นมี eco tour ท่องเที่ยวป่าชายเลนเชิงเกษตรด้วยนะ เห็นป้ายน่ะ แต่ยังไม่ได้วิ่งรถไปดูว่าอยู่เลยไปไกลไหม
ส่วนที่ป้อมพระจุลฯ ก็อย่างที่บอกนะ เช้าๆ หรือเย็นๆ น่าจะดีน่ะ ไม่งั้นร้อนมากๆ เลย วันที่พี่ไปฟ้าครึ้มๆ นิดๆ และมีลม ก็พอช่วยได้น่ะ แต่น้องทีมน่าจะชอบเรือรบนะ ถ้าหลานพี่ไปคงปีนกันแบบจับไม่ค่อยทันแน่ๆ ^ ^