กว่าจะได้ความรู้มา

อ่าน: 2992

พระราชดำรัส
ในโอกาสที่ประธานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นำผู้เข้าร่วมสัมมนา
และบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวของเฝ้า ฯ เพื่อรับพระราชทานพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการดำเนินงานในช่วงต่อไป
ณ ศาลาดุสิดาลัย
วันศุกร์ ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑

วันนี้ก็ขอพูดแบบที่เคยทำในระยะที่ผ่านมา คือโดยมากให้ความเห็น ก็ให้ความเห็นตอนที่ไปเยี่ยมศูนย์ศึกษา หรือตอนที่ไปในภูมิประเทศ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าถ้าหากว่าจะมาให้ปาฐกถาเรื่องอะไรก็ตามอย่างนี้ต่อที่ประชุมก็ไม่คอยถนัดนัก แล้วก็ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ฉะนั้นที่จะพูดนี้ก็พูดเหมือนเวลาไปเยี่ยมศูนย์ศึกษา

ข้อแรก เรื่องคำว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องจากพระราชดำรินั้น คำนี้ทำให้เข้าใจว่าเป็นการศึกษาการพัฒนาที่เป็นเรื่องของพระราชดำริ ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หมายความว่าทั้งอันนี้เป็นศูนย์ศึกษา ทั้งอันนี้เป็นพระราชดำริ แล้วที่ดำเนินงานก็ดำเนินงานตามที่มีพระราชดำริ แต่ชื่อของกิจการก็ชื่อเพียงว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนา ซึ่งหมายความว่าเป็นศูนย์หรือเป็นแห่งหนึ่งที่รวมการศึกษาเพื่อดูว่าทำอย่างไรจะพัฒนาได้ผล และแม้กระนั้นที่ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้มิได้ตั้งชื่อก่อน ได้ตั้งศูนย์ก่อนถึงได้ให้ชื่อว่า ศูนย์ศึกษาการพัฒนา ซึ่งหมายความว่าได้ตั้งกิจการอย่างหนึ่ง และได้ตั้งชื่อซึ่งจะชี้ว่าศูนย์หรือกิจการนี้ทำอะไร

มีคนที่เข้าใจว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนานั้น เป็นเหมือนสถานีทดลองหรืออีกอย่างหนึ่งก็เป็นวิทยาลัย ทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ เป็นสถานที่ที่ผู้ที่ทำงานในด้านพัฒนาจะไปทำอะไรอย่างหนึ่งหรือจะเรียกว่าทดลองก็ได้ เมื่อทดลองแล้วจะทำให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชานั้นได้สามารถเข้าใจว่าเขาทำอะไรกัน อันนี้ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งที่จะได้จากกิจการศูนย์ศึกษาการพัฒนา คือเป็นการทำอะไรของฝ่ายหนึ่ง และทำให้ฝ่ายอื่นได้เข้าใจว่าคนอื่นเขาทำอะไรกัน เรียกว่าเป็นการทำให้เจ้าหน้าที่ด้านพัฒนาได้มีการร่วมมือสอดคล้องกัน อันนี้ก็เป็นข้อแรกที่สำคัญที่ว่าไม่ใช่สถานีทดลอง ก็เพราะว่าสถานีทดลองในด้านต่างๆ ก็มีอยู่มากแล้ว เช่น ทดลองเพาะพันธุ์ต่างๆ ทดลองพันธุ์ข้าว เป็นต้น นี้มีอยู่หลายแห่งแล้วและทำงานได้ดีมาก ได้ผลได้ประโยชน์มาก

ศูนย์ศึกษาการพัฒนานั้นแม้จะมีการปลูกข้าว ก็อาจปลูกข้าวในลักษณะต่างกันหรือว่าดูว่าในภูมิประเทศอย่างนี้เราจะปลูกอย่างไร อาจไม่ถูกหลักวิชาก็ได้ แต่ว่าชาวบ้านเขาทำอย่างนั้นเราก็ทดลองบ้าง หรือว่าถ้าปลูกข้าวไม่เกิดประโยชน์ก็ลองแก้ไขโดยใช้วิชาอื่นบ้าง จะเป็นชลประทานก็ได้ หรือด้านพัฒนาที่ดิน หรือด้านวิชาการเกษตรมาประยุกต์ เพื่อที่จะให้ได้ผลมากขึ้น รวมทั้งต่อจากปลูกแล้วทำอย่างไรเก็บเกี่ยวอย่างไร หรือสีอย่างไร ขายอย่างไร คือหมายความว่าให้สามารถที่จะแก้ปัญหาทั้งต้นทางทั้งปลายทาง แต่การแก้ปัญหานั้นอาจมีคนว่าว่าไม่ถูกหลักวิชาก็ได้ ไม่เป็นไร โดยมากเราพยายามที่จะทำอะไรที่ง่ายๆ แล้วในที่สุดถ้าทำง่ายๆ แล้วได้ผลก็จะเป็นหลักวิชาโดยอัตโนมัติ ศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้มีหลักอยู่ว่าทำไปแล้วถ้าได้ผลดีก็จดเอาไว้กลายเป็นตำรา ซึ่งเป็นหลักของตำราทั้งหลายต้องมาจากประสบการณ์ ฉะนั้นบางทีก็จะเห็นวิธีปลูกข้าว หรือปลูกพืช หรือทำอะไรก็ตาม ดูท่าทางเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกหลักวิชา หรือนักวิชาการจะคัดค้าน แต่ว่ามาทดลองทำแล้วอาจได้ผล ลงท้ายก็ไปค้นในตำราก็อาจเห็นในตำราว่าเขามีเหมือนกันแต่ลืมไป อันนี้เป็นประโยชน์ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอย่างหนึ่ง ที่ว่าไม่ใช่สถานีทดลอง แต่ว่าเป็นการทดลองแบบเรียกว่ากันเอง หรือแบบไม่เป็นทางการ

มีเหมือนกันที่ทำการทดลองแล้วล้มเหลว ทางฝ่ายศูนย์ศึกษาไม่ควรที่จะอายในความล้มเหลว สถานีทดลองของรัฐบาลต่างๆ ถ้าสมมุติว่าทำอะไรแล้วเกิดความล้มเหลวก็ไม่ใช่ว่าอายเท่านั้นเอง ถูกเล่นงาน คือว่าทางราชการถ้าทำอะไรสำเร็จก็เป็นของดีกลายเป็นของธรรมดา ถ้าทำอะไรดีขึ้นมาบางทีก็ได้รับชมเชยบ้างแต่ถ้าทำอะไรที่เสียหายก็จะถูกเพ่งเล็งและอาจถูกลงโทษด้วยซ้ำ ฉะนั้นศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้ถ้าทำอะไรล้มเหลว ต้องไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องลงโทษ แต่ว่าเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทำอย่างนั้นไม่เกิดผลหรือจะเป็นผลเสียหายก็เป็นได้ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วอาจทำต่อก็ได้ เป็นการแสดงว่าทำอย่างนี้ไม่ถูก ก็เป็นตำราเหมือนกัน ทำอะไรไม่ถูกให้รู้ว่าไม่ถูก แต่ถ้าส่วนอื่นส่วนราชการอื่นทำอะไรไม่ถูกแล้วต้องระงับเลย ต้องถูกลงโทษเลย อันนี้คนก็เลยยังไม่ทราบว่าอะไรไม่ถูก ฉะนั้นในศูนย์ศึกษาการพัฒนานั้นทำอะไรไม่ถูกแล้วก็อาจเป็นอนุสาวรีย์ของความไม่ถูก จะได้สังวรไว้ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้แต่ความเสียหายนั้นไม่มีมาก เพราะว่าในศูนย์ศึกษาการพัฒนาทำการทดลองต่างๆ นี้ก็ทำเป็นส่วนน้อย คือทำเป็นส่วนเล็กๆ สามารถที่จะเก็บไว้ให้คนดูว่าตรงนี้ทำอย่างนี้มันไม่ค่อยดี ใช้ไม่ได้ ก็เป็นหลักวิชา

อีกด้านหนึ่ง ที่พูดถึงว่าศูนย์ศึกษาไม่ใช่ก็คือไม่ใช่วิทยาลัยไม่ใช่โรงเรียน แต่ว่าเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่คนทุกระดับสามารถที่จะมาดู จะว่าเป็นโรงเรียนก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นที่มาดูมาศึกษาก็ได้ คือเป็นทัศนศึกษา พานักเรียนนักศึกษาวิทยาลัยก็ตาม หรือไม่ใช่นักเรียนเป็นข้าราชการทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นผู้น้อยขึ้นมาจนถึงชั้นผู้ใหญ่ ทุกระดับทุกอย่าง คือหมายความว่าทุกหน้าที่สามารถมาดูในแห่งเดียวกัน วิธีการที่จะพัฒนาในสาขาต่างๆ ของวิชาการ อันนี้ก็เท่ากับเป็นเหมือนที่พิพิธภัณฑ์ที่จะมาดูอะไร มีวิชาการใดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา นอกจากนั้นไปดูศูนย์ศึกษาก็ไปหย่อนใจก็ได้ เพราะว่าทำงานมาเครียดก็ไปเที่ยวศูนย์ศึกษาเหมือนไปเที่ยวสวนสาธารณะก็ได้ ได้ความรู้ด้วย นี่แหละเป็นหลักของศูนย์ศึกษาการพัฒนา

อันนี้ตามประวัติเริ่มต้นศูนย์ศึกษาการพัฒนา เริ่มที่ศูนย์ศึกษาเขาหินซ้อน ประวัติมีว่ามีผู้ที่ได้ให้ที่ประมาณ ๒๕๐ ไร่ ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดหินซ้อน แล้วก็บอกว่าขอให้ถวายสำหรับสร้างพระตำหนัก ตอนแรกก็ต้องค้นคว้าว่าที่ตรงนั้นคือตรงไหน ก็พยายามสืบถาม ก็ปรากฏว่าพบอยู่ในแผนที่ที่เขาหินซ้อนนั้น เมื่อได้ที่อย่างนั้น ได้คิดมา ๒ ปี พยายามหาบนแผนที่ว่าสถานที่นี้เป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็สอบถามดูว่าลักษณะของพื้นที่เป็นอย่างไร ก็ได้พบบนแผนที่ พอดีอยู่มุมของระวางของแผนที่ จึงต้องต่อแผนที่ ๔ ระวาง สำหรับให้ได้ทราบว่าสถานที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหนแล้วก็เลยถามผู้ที่ให้นั้นนะ ถ้าหากว่าไม่สร้างตำหนักแต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่ ๒๕๐ ไร่นั้น

อันแรก ก็ได้ให้กรมชลประทานได้สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ ซึ่งดูดูไปแล้วก็แปลก เพราะว่าอ่างเก็บน้ำนั้น เท่ากับกินที่ของที่ที่ได้มาเกือบทั้งหมด จะเหลือเพียงไม่กี่ไร่ที่จะใช้การสำหรับการเพาะปลูกโดยใช้น้ำชลประทานก็เริ่มต้นอย่างนั้น คือไม่ถือว่าผิดหลักวิชา ความจริงก็ผิดหลักวิชา มีที่เท่าไหร่ก็มาใช้ส่วนใหญ่เป็นอ่างเก็บน้ำ แล้วก็มาใช้ประโยชน์สำหรับทำการเพาะปลูกเพียงไม่กี่ไร่ แต่ว่าถือว่าทำเป็นตัวอย่าง แล้วผลประโยชน์ที่จะได้ก็ไม่ใช่

เฉพาะในที่ของเรา เป็นในที่ที่ลงไปข้างล่างคงได้รับประโยชน์จากน้ำที่กักเอาไว้ ต่อมา ฝ่ายกรมต่างๆ ก็บอกว่าที่แถวนี้ดินมันไม่ดี ใช้ไม่ได้ ไม่ควรจะทำโครงการไม่คุ้ม แต่ว่าก็ได้พูดว่าดินไม่ดีนั่นเองมีเยอะแยะในประเทศไทย ถ้าหากว่าบอกว่าที่นี่ดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายประเทศไทยทั้งประเทศ จะกลายเป็นทะเลทรายหมด เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจก็เลยพยายามหาวิธีที่จะฟื้นฟูดินให้เป็นดินที่ใช้การได้ คือมาบัดนี้ ปลูกข้าวก็ได้ ปลูกพืชอะไรต่างๆ ก็ได้ โดยที่ถ้าดูตามสูตรที่เขาใช้กันว่าลงทุนเท่าไรแล้วก็ผลประโยชน์เท่าไร มีสัดส่วนอย่างไรก็ออกจะไม่ได้ แต่ว่าถ้าหากว่านึกดูเราปรับปรุงแล้ว พื้นที่ที่ได้ประโยชน์ต่อไปก็มากขึ้น แล้วผลผลิตก็มากขึ้น นอกจากนั้นผลผลิตนอกเขตก็จะได้มาก เป็นอันว่าเหมาะสมในการทำโครงการ จึงเป็นที่ที่เราต้องศึกษาแล้วก็ดูว่าในที่สุดจะได้ผลอย่างไร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาก็เกิดขึ้น

นอกจากที่ที่ได้รับน้ำเข้าชลประทานก็ยังมีที่ที่อยู่เหนืออ่าง ก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง ในการปลูกพืชอย่างอื่น และในการศึกษาเกี่ยวข้องกับต้นไม้ เกี่ยวข้องกับการนำน้ำที่อยู่ต่ำเอาขึ้นสูง โดยใช้วิธีสูบในลักษณะต่างๆ เช่นถ้าสูบอย่างปกติธรรมดาก็ใช้เครื่องยนต์สูบขึ้นไป ก็ได้ที่เพิ่มเติมในการพัฒนา นอกจากนั้นก็ใช้กังหันลมก็ได้ หรือใช้ไฟฟ้าจากโซลาเซลล์ก็ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งก็ใช้จากกังหันที่ใช้กำลังของน้ำที่เราใช้ลงไป แล้วก็ส่วนหนึ่งก็ทำให้สูบขึ้นไป

ต่อจากนั้น ที่ของหินซ้อนนั้นก็มีผู้ที่เห็นประโยชน์ของโครงการก็ได้ให้ที่เพิ่มเติมขึ้นไป รวมทั้งที่ที่เป็นค่ายของลูกเสือของกระทรวงศึกษามาอยู่ในเขตด้วย จนกระทั่งเป็นที่ ๑,๐๐๐ กว่าไร่ และได้ทำการค้นคว้าหลายอย่าง ซึ่งไม่น่าจะทำก็มี เช่นปลูกต้นยางพารา ซึ่งมาเดี๋ยวนี้สามารถที่จะเริ่มทดลองตัดยางให้ได้ผลขึ้นมา ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้ผลมากแค่ไหน

ฉะนั้นศูนย์ศึกษานี่ก็ทำไปตามความรู้สึกที่น่าจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าศูนย์ศึกษานี้จะต้องมีอย่างนั้นๆ แล้วก็อย่างที่เข้าใจว่าศูนย์ศึกษานี้ต้องมีคุณลักษณะอย่างนั้นๆ ถึงจะเป็นศูนย์ศึกษา ความจริงเป็นไปตามเหตุการณ์ คือไปเห็นอะไรว่าน่าจะทำอะไรก็ทำ อันนี้ที่เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มีแผนการนักแต่ว่าทำไปตามความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ลองดูว่าทำอย่างนั้นลองดูว่าทำอย่างนี้ ฉะนั้นศูนย์ศึกษานี้จึงมีประโยชน์ขึ้นมา แล้วท่านผู้ที่ได้เคยร่วมในงานตั้งแต่ต้นก็สามารถที่จะอธิบายแก่ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ปัจจุบันว่าทำมาอย่างไร ในการสัมมนาต่อไปก็คงต้องอาศัยท่านผู้ที่ได้เป็นผู้ริเริ่มตั้งแต่ต้นในสาขาต่างๆ แล้วก็ไต่ถามว่าในที่นั้นๆ ในโอกาสนั้นๆ ได้ทำอะไร

อย่างศูนย์ศึกษาที่หินซ้อนก็เป็นศูนย์ศึกษาแรก ผลที่ศูนย์ศึกษาหินซ้อนนั้นอาจมีน้อยเพราะว่าเป็นภูมิประเทศที่จำกัด แต่ต่อมาความคิดของศูนย์ศึกษาก็ได้แผ่ขยายออกไป ได้ไปทำที่ภาคใต้ที่ศูนย์พิกุลทอง ซึ่งที่มาของดินที่นี่นั้นก็เป็นคนละลักษณะทางราชการได้ใช้ที่ที่เป็นสาธารณะส่วนหนึ่ง และที่เป็นที่ที่ประชาชนได้ไปอยู่โดยที่ไปซื้อที่ ส่วนศูนย์ศึกษาที่ดอยสะเก็ดที่เชียงใหม่นั้นเป็นที่ที่ทำอะไรไม่ได้ ไม่เคยมีใครไปทำการเพาะปลูกใดๆ ไม่มีเลย มีแต่คนไปตัดต้นไม้และไปตักดินที่อยู่ในเขตนั้น ผู้ที่ตักดินนั้นก็ทางราชการนี้เองไปสร้างถนนบ้างอะไรบ้าง ก็เป็นที่ที่เรียกว่าไม่มีหวังที่จะพัฒนา ตอนแรกบอกว่าถ้าได้ที่ตรงนี้ไปพัฒนา เขาบอกไม่ไหว บอกจะไปเลี้ยงวัว วัวก็จะอยู่ไม่ได้ ในทั้งหมดนั่นเขาบอกว่าจะเลี้ยงวัวได้สักตัวสองตัวได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็มี ๕๐ ตัวขึ้นไป เลี้ยงได้จริงๆ แล้วประมาณ ๑๐๐ ตัว นอกจากนั้นก็ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นได้ คือการศึกษาเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ป่าสร้างป่าขึ้นมา ทางศูนย์ศึกษาที่สกลนครก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นของที่ป่าสงวน เป็นที่ของประชาชนอยู่เป็นบางส่วน ส่วนศูนย์ศึกษาอีกสองแห่ง คือที่คุ้งกระเบนกับที่ห้วยทรายนั้น ก็จะเป็นศูนย์ศึกษาคนละลักษณะ คุ้งกระเบนเป็นการศึกษาเกี่ยวข้องกับชายทะเล ต้นไม้ต่างๆ ชายทะเล และปลา การประมง ส่วนที่ห้วยทรายนั้นก็เป็นเป็นลักษณะอีกอย่างหนึ่ง มีหมู่บ้าน คือเริ่มงานด้วยเป็นพื้นที่ที่อยู่ในควบคุมของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะว่าถือว่าเป็นเขตของมฤคทายวันพระราชนิเวศน์ แต่ว่ามีคนอยู่ในนั้นมาก ฉะนั้นก็ต้องพยายามที่จะพัฒนาให้คนที่อยู่ในนั้นมีความอยู่ดีกินดีขึ้น ก็มีอุปสรรคต่างๆ มากหลายแต่ก็ได้ทำกิจการที่จะพยายามปลูกป่าบนภูเขาโดยใช้น้ำที่สูบด้วยโซลาเซลล์ เป็นต้น

ฉะนั้นแต่ละแห่งๆ มีลักษณะต่างกัน และไปทำตามความสามารถ หรือตามความคิดที่ผุดขึ้นมาในขณะนั้น การที่มาถามว่ามีนโยบายที่จะทำอะไร ก็ทำต่อไปอย่างนี้ คือมีที่แล้วก็ใครมีความคิดอะไรก็สนับสนุนให้ทดลองได้ ในวิชาใดก็ตามซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนา ส่วนเรื่องการทำการทดลองในวิชาการนั้นๆ ก็แล้วแต่ที่กรมกองต่างๆ อยากจะทำอะไร เช่นทำการศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว พันธุ์ข้าวโพดก็ควรจะทำ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เขาทำมาแล้ว แต่ว่าไม่มีที่เหมาะที่จะทำก็อาจไปอาศัยศูนย์ศึกษาทำก็ได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารนั้น เท่าที่ทำมากรมกองต่างๆ ก็ได้ปลีกคนมามาทำหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ได้ทำงานด้วยความขะมักเขม้นก็เป็นประโยชน์ต่อกรมกองเหล่านั้น คือถือว่าศูนย์ศึกษานี้เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่จะให้กรมกองต่างๆ นั้นหรือหน่วยราชการนั้นๆ มาทำการทดลองได้ โดยที่ถ้าหากว่าต้องขยายที่ของกรมกองเหล่านั้นก็จะเป็นที่ลำบาก อันนี้ก็เป็นที่ที่จะให้จะเรียกว่าให้ยืมหรือให้ทำในสนาม มีความสะดวก เพราะว่ามีกรมกองอื่นๆ อยู่ด้วย ฉะนั้นการร่วมมือสอดคล้องในกรมกองต่างๆ ก็จะสะดวก และไม่ใช่กรมกองของทางราชการ เท่านั้นเอง ก็มีทางเอกชนทั้งบริษัททั้งเอกชนอื่นๆ มาสนใจ ฉะนั้นการดำเนินงานที่สำคัญก็คือความร่วมมือระหว่างหน่วยต่างๆ

ในด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยคิดกัน ในด้านการพัฒนา เช่นเจ้าหน้าที่บัญชี ถ้าหากว่าทำการเพาะปลูก ชาวบ้านทำการเพาะปลูก เมื่อมีผลแล้วเขาบริโภคเองส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งก็ขายเพื่อให้ได้มีรายได้ เมื่อมีรายได้แล้วก็ไปซื้อของที่จำเป็นและสิ่งที่จะมาเกื้อกูลการอาชีพของตัว อย่างนี้ไม่ค่อยมีการศึกษากัน เมื่อผลิตอะไรแล้วก็จำหน่ายไปก็มีรายได้ก็ต้องทำบัญชี ชาวบ้านทำบัญชีบางทีไม่ค่อยถูก ทางราชการทำบัญชีถูกต้องเกินไป คือว่าที่ว่าถูกต้องเกินไป เวลากิจการใดมีรายได้ก็ทำบัญชีแล้วต้องส่งคลัง เมื่อต้องการเงินสำหรับสนับสนุนกิจการก็จะต้องของบประมาณมา อันนี้ทำให้ยุ่งยาก แต่นึกถึงว่าถ้าหากว่าในศูนย์ศึกษาผลิตอะไรได้ แล้วมีรายได้อะไรบ้าง ควรที่จะทำเป็นสาขาหนึ่งของการพัฒนา คือรายได้เข้ามาแล้วก็จัดบัญชีอย่างไร และจัดสรรรายได้นี้ให้มาผลิตต่อไปอย่างไร อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา คือการศึกษาวิธีหมุนเงิน ไม่ได้หมายความว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนา

จะเป็นบริษัทหรือจะเป็นรัฐวิสาหกิจแต่ว่าให้มีเครื่องมือพอ คือมีกระดาษดินสอทำบัญชี แล้วก็มีเงินที่ได้มาจากขายผลิตผลแล้วก็เป็นรายได้เข้ามา และใช้เงินที่ได้มาไปซื้อสิ่งที่จำเป็นในการผลิตต่อไป เช่น ปุ๋ย เครื่องมือหรือน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อที่จะให้เป็นตัวอย่างของการบริหารกิจการทางด้านพัฒนาและเกษตร อันนี้ก็ได้เคยแนะนำว่าควรจะทำให้เกิดขึ้น คือเป็นตัวอย่างของการบริหาร บริหารในเศรษฐกิจขั้นบ้านขั้นครอบครัว ถ้าทำได้ก็เป็นการดี แต่ทั้งนี้ต้องไม่ให้ผิดหลักของระเบียบราชการ แต่ว่าการทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นเงินที่ตามปกติส่งคลังก็ให้มีเงินหมุนเวียนส่วนหนึ่ง เป็นเครื่องมือการศึกษาการพัฒนาได้ ที่กล่าวถึงข้อนี้เพราะว่าควรที่จะให้ได้ปรึกษากันว่าทำอย่างไรเพื่อที่จะให้การศึกษาในด้านนี้ซึ่งเป็นด้านสำคัญประสบผลสำเร็จ

อันนี้ก็ได้พูดมาหลายอย่างก็คงเอาไปพิจารณาได้ในการสัมมนาครั้งนี้ ที่พูดไปทั้งหมดนี้ก็อาจไม่ครบหรืออาจเกินไปก็ได้ แต่ว่าอย่างไรก็ให้ผู้ที่ได้มีความรู้ เป็นผู้เรียกว่าผู้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา ได้ทบทวนความจำและมาเผื่อแผ่กันให้ทราบและให้ทุกคนที่มีปัญหาอะไรก็จะได้มีคำตอบได้ ทั้งนี้ก็คงเข้าใจกันดีว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนาจะมีประโยชน์ขึ้นมาได้มาก แล้วก็เป็นงานที่กว้างขวางแต่รัดกุม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย มีแต่คุณ ขอให้ทุกท่านได้ทำการปรับความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความรู้กันโดยมีประสิทธิภาพ แล้วก็คราวนี้ขอถือโอกาสขอบใจผู้บริหารทุกระดับ ที่ได้ทำให้ความคิดของการตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้เป็นผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็นับว่ามีผลพอสมควรอยู่เพราะว่าตั้งมาไม่นาน และด้วยความเข้าใจในจุดประสงค์ก็เชื่อว่าต่อไปก็จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาได้อีกมาก โดยที่ไม่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ

ก็ขอให้ทุกท่านได้สามารถทำงานโดยมีประสิทธิภาพและมีความสำเร็จ ให้มีกำลังทั้งกายทั้งใจที่จะปฏิบัติให้เป็นที่พอใจของส่วนรวม และเป็นที่พอใจเป็นส่วนตัวด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จความเจริญ.

« « Prev : ไม่ท่วมเอาเท่าไหร่…

Next : น้ำท่วมขัง (2) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "กว่าจะได้ความรู้มา"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.15924692153931 sec
Sidebar: 0.13385891914368 sec