ช้อนกับชายพเนจร
อ่าน: 3708กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในคฤหาสน์ที่สวยงามของเศรษฐีผู้หนึ่งเพื่อที่จะขอดูรูปที่วิจิตรสวยงาม เมื่อชายคนนั้นขอเศรษฐีเข้าไปในบ้าน เศรษฐีก็ยอมให้ชายคนนั้นเข้าไปในบ้านแต่มีข้อแม้ว่า เขาต้องถือช้อนที่มีน้ำมันไว้ ถ้าทำน้ำมันหกเขาจะต้องออกจากบ้านทันที
ชายพเนจรมองที่ช้อนน้ำมันด้วยใจจดจ่อ เมื่อเดินผ่านมาครึ่งมาห้องก็มีเสียงลึกลับพูดว่า “ถ้าเจ้ามัวสนใจแต่ช้อนน้ำมัน ก็จะพลาดโอกาสที่จะดูสมบัติของเศรษฐีน่ะสิ”
ชายพเนจรมองไปรอบๆห้องก็รู้ว่า เสียงพูดนั้นมาจากรูปปั้นหินปูนนั่นเอง ชายคนนั้นจึงครุ่นคิด “เราจะทำอย่างไรจึงจะได้มองรูปภาพและถือช้อนน้ำมันในเวลาเดียวกันได้นะ”
ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่าถ้าดูแต่น้ำมันก็จะไม่ได้ดูรูป เขาจึงตัดสินใจว่า “ช่างมัน เราควรสนใจในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งก็คือรูปภาพในคฤหาสน์ของเศรษฐีนั่นเอง ส่วนการที่เรากลัวว่าน้ำมันจะหกก็คือการที่เรากลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ถ้ามัวคำนึงกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคตก็จะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”
พอคิดได้ดังนั้นเขาก็สนใจแต่รูปภาพ น่าแปลกใจที่น้ำมันกลับไม่หก นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้กังวลจนเกินไป มือจึงไม่สั่น น้ำมันก็เลยไม่หก
ในที่สุด เขาก็เดินมองดูรูปภาพในคฤหาสน์จนครบ และจากไปอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ควรกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าจะทำให้ทำปัจจุบันได้ไม่ดี เราจึงควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ช่วงปลายปีที่แล้วในขณะที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่คุณแม่หมอเบิร์ด หมอเบิร์ด (ซึ่งไม่ใช่หมอ ตัวเองก็ไม่ชอบที่ใครเรียกว่าหมอ แต่ใครๆ ก็เรียกว่าหมอ…เอาเป็นว่ารู้กันก็แล้วกันครับ) พยาบาลโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ป้าจุ๋มและเพื่อน ช่วยกันถักหมวกไหมพรม+ผ้าพันคอสำหรับเด็กป่วยและพระสงฆ์อาพาธ ผมไปที่ร้านคนขายไหมของน้องก้อยหลายครั้ง เพื่อหาไหมพรมส่งไปเชียงราย
ท้ายที่สุด แม่แก้วและน้องก้อย เจ้าของร้าน ก็บริจาคไหมพรมล็อตใหญ่ให้เป็นการร่วมช่วยเหลือด้วย ดังที่เคยเล่าไว้ [เป็นมากกว่าไหมพรมสำหรับถักหมวก] ว่าน้องก้อยป่วยมาก เวลาเรียนไม่พอ จนต้องออกจากโรงเรียน แต่ก็มุมานะมาเรียนมัธยมปลายเองที่บ้านพร้อมกับรักษาตัวไปด้วย จนเธอสอบเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ — ใส่เสื้อทางขวาไปปฐมนิเทศแล้ว
นิทานข้างบน น้องก้อยเป็นคนเขียนตั้งแต่เด็กครับ…ถ้ามัวแต่กังวลกับความป่วยไข้ คงมาไม่ถึงวันนี้
ขอแสดงความยินดีกับน้องก้อย ครอบครัว และอาจารย์พิเศษวิชาต่างๆ ด้วยครับ
« « Prev : เตาเผาอิฐ
Next : พืชน้ำมัน: ทานตะวัน » »
3 ความคิดเห็น
เห็นด้วยว่าไม่ใช่หมอ ไม่ชอบให้เรียกหมอ แต่มีคนเรียกหมอเยอะมาก เฮ้อ!
ชอบนิทานเรื่องนี้ค่ะ และชอบเรื่องของน้องก้อยด้วย เมื่อวานซืนสอนนักศึกษาแพทย์ (ซึ่งถูกเรียกว่าอาจารย์อีกจนได้ บอกให้เรียกพี่ก็ไม่ยอม ฮึ! ) บอกน้องๆว่า
IQ = Can Do
Personality = Will Do
จะเลือกให้พัฒนาทั้งสองหรือมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็แล้วแต่จะตัดสินใจเอาเอง
ระบบการศึกษาทำร้ายคนไม่น้อยค่ะ ดีใจที่น้อง”เลือกทางที่ใช่ และสิ่งที่ชอบ”ได้อย่างมั่นคง สง่างามนะคะ
น่าเสียดายที่ไม่มีโรงเรียนในลักษณะตลาดวิชา ส่วนมหาวิทยาลัยที่เป็นตลาดวิชาก็เซ็งลี้กันเหลือเกิน การที่ไม่มีลักษณะตลาดวิชานั้น เหมือนเป็นการไม่ไว้ใจผู้เรียน บังคับเอาว่าจะต้องมารับการถ่ายทอดความรู้มือสองเอาเท่านั้น (ถ้าไม่ไว้ใจผู้เรียนแล้ว รับเข้ามาเรียนทำไม)
พี่หมอเบิร์ด อิ