Ignite อาสา++
อ่าน: 3012ผมเจอคนที่คิดดี แต่ไม่สามารถจะก้าวข้ามไปสู่การลงมือทำดีมาเยอะครับ ต่างคนต่าง “มีเหตุผล” มีข้อจำกัด มีเงื่อนไข และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แล้วรีบสรุปว่า คนหนึ่งคน…จะไปทำอะไรได้
งาน Ignite Thailand++ ครั้งที่ 4 ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า วันที่ 8 ก.พ.2554 เวลา 18-21น.ในครั้งนี้ จัดตรงกับงาน Global Ignite Week งาน Ignite Thailand++ ครั้งที่ 3 เพิ่งจัดผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2554 นี้เองครับ
ยิ่งจัดบ่อยก็ยิ่งดี จำนวนเซเลบจะได้น้อยลง ฮี่ฮี่ฮี่… คือที่จริงผมคิดว่า Ignite Thailand++ เป็นการฟังเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจ เพื่อจะลงมือกระทำนะครับ งานนี้ไม่น่าจะเป็นการรับฟังเรื่องดีๆ ไปครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ผู้ฟังก็ฟังไปเรื่อยๆ
ผมไม่ได้มีปัญหากับเซเลบหรอกครับ ที่ผ่านมาทุกครั้ง แต่ละท่านก็นำเสนอได้ชัดเจนมาก Igniter ทุกท่านถ่ายทอดเรื่องราวได้ยอดเยี่ยมมากๆ… แต่ผมคิดว่าเรื่องจริง เรื่องดี เกิดกับใครก็ได้ และเกิดได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง ขอแค่เป็นคนช่างสังเกต และมีความกล้าที่จะลงมือทำจริงๆ ถ้าลดจำนวนเซเลบลงได้ ก็จะเป็นการเปิดพื้นที่ พิสูจน์ให้เห็นว่าใครก็ได้ สามารถจะลงมือทำ หรือร่วมกันทำในภาคประชาสังคมเองนั่นแหละ ไม่นั่งงอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือ
งาน Ignite Thailand++ ในครั้งนี้ มีตอนพิเศษ เรียกว่า Ignite อาสา++ เป็นช่วงที่เปิดให้คนที่ทำงานอาสา มาบอกเล่าเรื่องราว เสนอโครงงานแก่ผู้ฟัง ซึ่งจะมีแหล่งทุนที่ต้องการจะทำงานเพื่อสังคมจริงๆ นั่งฟังอยู่ด้วย แต่ไม่มีการตัดสินหรอกครับ ถ้าเรื่องราวโดนใจ เค้าจะติดต่อไปเอง…
กิจการห้างร้านที่คิดจะช่วยเหลือสังคม อยากจะสร้างสังคมที่ดี เราก็ต้องมองให้เห็นสังคมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ถ้าท่านผู้ตัดสินใจไม่รู้จักเมืองไทยเลย ถ้าพนักงานของท่านละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดมานานจนไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างนี้จะทำอะไร จะแก้อะไร ก็คงไม่ถูกจุดหรอกครับ จะรอรัฐละก็…ไม่หัวเราะดีกว่า
จะดีกว่าหรือไม่ถ้าท่านส่งพนักงานไปปฏิบัติงานในพื้นที่ ให้ไปอยู่กับชาวบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ บวกเสาร์อาทิตย์หัวท้ายสองรอบ รวมเป็น 9 วัน… ให้รู้ไปเลยว่าที่ร่ำเรียนกันมานั้น จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ท่านอาจจะได้พนักงานที่เป็น “ของจริง” มากขึ้นก็ได้ครับ… ส่งไปห้าคน งบสามหมื่น (ถูกกว่าบริจาคแบบสื่อจะลงให้ตั้งเยอะ)
ถ้าพนักงานเราเจ๋งจริง ขี้คร้านชาวบ้านจะได้ประโยชน์ ได้ความรู้ เห็นช่องทาง เห็นวิธีการใหม่ๆ ทำบัญชีเป็น จัดการหนี้สินได้ ฯลฯ ดีกว่ายกป้ายถ่ายรูปเป็นไหนๆ — ดีกว่าท่านบริจาคหลายแสนหลายล้าน ได้แค่ประทังความทุกข์ยากไปช่วคราว ชีวิตชาวบ้านไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมานะครับ
« « Prev : ด่านสิงขร
Next : วอลเปเปอร์ถุงขนมแก้หนาว » »
6 ความคิดเห็น
วันนี้ผมเจอปัญหาใหม่ ว่าคนที่ลงมือทำดีๆ เวลานำเสนอมักจะไม่ตื่นเต้นเร้าใจเหมือนเซเลบ
การแก้ปัญหาคือต้องลงนั่งฟัง ช่วยกันทำ ช่วยกันจับประเด็น ลองพูดกันหลายๆรอบ
ลุ้นครับว่าจะได้ผลแค่ไหน
การฟังอย่างหาความหมายนั้น ต้องฝึกครับ การฟังเป็นทักษะ แปลว่าฝึกฝนได้
การสื่อสารนั้นเป็นกระบวนการสองทาง แต่ถ้าจะสื่อทางเดียวโดยผู้ฟังไม่มีโอกาสถาม คุณภาพของเรื่องที่จะสื่อจะดีแค่ไหน ขึ้นกับผู้พูดว่าให้อะไรผู้ฟัง จึงต้องซ้อมๆๆๆๆๆๆๆ เรียงๆๆๆๆๆๆ ซ้อมๆๆๆๆๆๆๆ ครับ
ผมเห็นว่าช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แผนพัฒนาประเทศฉบับที่ ๑ เราฟัง อ่าน ดู คิดกันมามากพอควรจนมันตกผลึกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายพึ่งต่างประเทศ กับฝ่ายหนึ่งที่ดูเหมือนว่าพึ่งตนเอง แต่ลึกๆแล้วก็ยังพึ่งต่างประเทศเหมือนเดิม
ผมเสนอว่า พึ่งตนเองให้มากที่สุด ถ้าหมดปัญญาจริงๆ จึงพึ่งต่างชาติ ถ้าทำได้แบบนี้เราไปโรจน์แน่ครับ
เรื่องทำผมไม่ค่อยเก่ง (แต่ก็ทำมาโขนะครับ มี hardware เป็นหลักฐานด้วยเต็มพื้นที่) ผมชอบคิดเสียมากกว่า เพราะผมเชื่อว่า การคิดที่ดีคือ “การทำ” ที่ยากที่สุด
เราต้องระดมทั้งความคิดที่ดี และการทำที่ดี ครับ เพื่อสังคมชาติของเรา และ โลกด้วย
งานนี้มีอะไรให้ผมช่วยได้จะยินดีมากครับ
ขณะนี้กำลังสมคบกับ ท่านปราโมทย์ นาครทรรพ สร้างเครื่อข่าย greentology (ที่ผมตั้งชื่อให้ และ แปลเป็นไทยให้เสร็จสรรพว่า ชราเขียว แบบติดตลก คือเป็นสังคมคนแก่ปลดเกษียณ แล้วใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์เชิงสีเขียว)
สมัครเป็นสมาชิกด้วยคนได้มั๊ยค่ะ อาจารย์ทวิช “ชราเขียว” นะ
ยินดีครับ
ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรด้านนี้ ผมจะนามาโพสต์ในลานปัญญาด้วยนะครับ
ผมตั้งกลุ่ม สว. สสส. ไว้ครับ…..อิอิ