การพลัดพราก
อ่าน: 3694เมื่อวันก่อน คุณพ่อของเพื่อนเสีย นึกถึงใจเขาใจเรา คงวางได้ยากเหมือนกัน เขาได้ทำหน้าที่ของลูกอย่างดีแล้ว เมื่อมีเกิดก็มีพลัดพราก ไม่มีใครหนีพ้น แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ยังมีคุณแม่ต้องดูแลอีก ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเพราะความรักความผูกพัน แต่ก็เป็นบททดสอบ ซึ่งในที่สุดก็จะพบความจริงและผ่านไปได้
เรื่องนี้เป็นมรณานุสติ ผมจึงค้นเน็ตหาหลักธรรม ไปเจอพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพระสาสนโสภณ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์เป็นหนังสือทรงคุณค่า พระราชทานเป็นหนังสือที่ระลึกในงานวิสาขบูชาปี 2511 และ 2512 และพระราชทานในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครบ ๗๒ พรรษาและ ๘๐ พรรษา ในปี 2515 และ 2523
ด้วยหนังสือนี้มีอายุนานแล้ว คงมีการปรับแก้มาหลายครั้ง เข้าใจว่าพิมพ์ล่าสุดเป็นหนังสือ พุทโธโลยี เรื่อง การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ + บทสวดมนต์ + รูป (ซีเอ็ด) หรือไม่ก็ การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ (มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์)
สารบัญ
๑. จากคณะสงฆ์ไทย
๒. มหามงคลพิธี
๓. ดำเนินตามรอยพระบาทให้ถูกต้อง
๔. สามัคคีก่อให้เกิดสุข
๕. พิจารณาก่อนแล้วจึงทำ
๖. กรรมมีความสำคัญเหนือกว่าตัวบุคคลทั้งปวง
๗. ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
๘. ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
๙. ผู้ประกอบด้วยปัญญา แม้เผชิญทุกข์ก็เป็นสุขได้
๑๐. ดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มีเลย
๑๑. เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน
๑๒. สำหรับผู้ล่วงลับแล้ว ที่พึ่งคือบุญ
๑๓. การคิดอยู่ในปัจจุบันเป็นธรรม
๑๔. การควบคุมความคิดได้ จะเป็นสุขได้
๑๕. การเพิ่มพูนปัญญา คือการลดความทุกข์
๑๖. ในตนเองที่ต้องพิจารณา
๑๗. ไตรลักษณ์ ลักษณะสามที่มีคุณ
๑๘. ผู้ขาดสติย่อมทำลายตัวเอง
๑๙. ทางพ้นทุกข์
๒๐. ใจที่ไม่ขาดแคลน
๒๑. ทุกข์เป็นสิ่งวางได้
๒๒. การใช้หนี้กรรม
๒๓. จะไม่เดือดร้อนได้ แม้มีผู้นินทาว่าร้าย
๒๔. ผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก
๒๕. พึงทำเสียงสรรเสริญ ให้ดังกว่าเสียงนินทา
๒๖. ผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผล
๒๗. ผู้นินทาคือผู้ทำกรรมไม่ดี
๒๘. อดีตและอนาคตไม่เช่นสิ่งพึงยึด
๒๙. ความไม่สมหวังที่ไม่ต้องเป็นทุกข์
๓๐. ไม่มีสิ่งใดที่ดีงามให้ความเบิกบานได้เสมอพระรัตนตรัย
๓๑. ใจของคนดีเป็นใจที่คุ้นเคยกับความดี
๓๒. ค่าของใจสำคัญยิ่งกว่าความสมหวังทั้งหลาย
๓๓. วิธีตัดทุกข์ที่จะเกิดจากความไม่ได้ดังใจ
๓๔. ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจดีชั่วของใจ
๓๕. ผู้แผ่เมตตาจะได้รับคุณแห่งเมตตาด้วยตนเองก่อน
๓๖. ความไม่สงบของใจ คือเครื่องปิดกั้นสติปัญญา
๓๗. การเอาแต่ใจตัวเป็นความทุกข์
๓๘. คนช่างคิด คือคนเป็นทุกข์
๓๙. อันคนอกตัญญูนั้นทุกคนรังเกียจ
๔๐. มารดาบิดามีความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดายิ่งกว่าชีวิตของท่านเอง
๔๑. ความร่มเย็นเกิดจากระลึกรู้พระคุณท่าน
๔๒. คนดีย่อมไม่หลีกหนีการทดแทนพระคุณ
๔๓. การคิดถึงความดีเป็นการบริหารจิต
๔๔. ประเทศชาติเปรียบร่มโพธิ์ร่มไทร
๔๕. พระคุณของพระศาสนาและพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งอัศจรรย์
๔๖. ความอกตัญญูเป็นบาปกรรมที่หนัก
๔๗. ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา
๔๘. ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องพาให้งาม
๔๙. พึงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเสมอ
๕๐. กรรมเป็นเครื่องจำแนก
๕๑. ความลืมเป็นเหตุให้ให้ไม่เข้าใจเรื่องกรรม
๕๒. ไม่มีอำนาจใดเปลี่ยนแปลงผลของกรรมได้
๕๓. กรรมปัจจุบันอาจชนะกรรมในอดีตได้
ท่านสาธุชนที่สนใจ สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ มี 4 หน้า อย่าลืมอ่านหน้า 2 3 4 ด้วยครับ และขออนุโมทนากับคุณ I am ผู้พิมพ์
ผมขอตัดมาแสดง 3 ตอนครับ
๑๓. การคิดอยู่ในปัจจุบันเป็นธรรม
ปรกติคนเรานั้นมีการเดินทางไปที่นั่นที่นี่ นานวันบ้างเร็ววันบ้าง บางทีก็แยกย้ายครอบครัวจากกันไปอยู่คนละที่ละทาง ใกล้บ้างไกลบ้าง ทำให้ผู้ที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดต้องห่างกันไป ต้องนึกถึงกัน ต้องเป็นห่วงกัน ซึ่งบางทีก็ทำให้ถึงต้องเป็นทุกข์ถึงกัน แต่อย่างไรก็ตามความทุกข์ที่เกิดเพราะการพลัดพรากจากไกลเช่นนี้ ก็ไม่เสมอความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากตาย
ดังนั้นจึงน่าจะทำความทุกข์เพราะความพลัดพรากจากตาย ให้กลายเป็นความทุกข์เพราะการพลัดพรากจากไกล เพราะจะทำให้ทุกข์หนักกลายเป็นทุกข์น้อย ซึ่งเป็นจุดปรารถนาของผู้มีความทุกข์ทุกคน และเป็นจุดมุ่งหมายของการบริหารทางจิต
วิธีทำที่จะให้เกิดผล สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับความคิดอีกเช่นกัน เพราะดังเคยกล่าวแล้ว ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์และความสุขของคนทั้งหลาย ความทุกข์และความสุขมิได้เกิดจากเหตุอื่น คิดให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น คิดให้เป็นทุกข์ก็จะเป็นทุกข์ คิดให้เป็นสุขก็จะเป็นสุข
การจะทำให้ความทุกข์เพราะการพลัดพรากจากตายกลายเป็นความทุกข์เพราะการพลัดพรากจากไกล ก็อยู่ที่ความคิดเช่นกัน นั่นก็คือเมื่อมีการพลัดพรากจากตายก็ให้คิดเสียว่าเป็นการพลัดพรากจากไกล ซึ่งต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอเป็นธรรมดา
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น การตายคือการเปลี่ยนที่อยู่ของผู้ตายตามความจำเป็นตามวาระเช่นเดียวกับคนทั้งหลาย เช่นเมื่อจำเป็นหรือถึงวาระที่จะต้องจากบ้านเรือน จากมารดาบิดาญาติสนิทมิตรสหายไปศึกษาในต่างประเทศก็ต้องไป มารดาบิดาและญาติสนิทมิตรสหายก็ต้องพบกับความพลัดพรากจากไกลนั้นตามความจำเป็นและตามวาระการเคยพบเห็นกันก็ต้องขาดระยะไป
ผู้มาบริหารจิต ปรารถนาจะทำจิตให้พ้นจากความทุกข์ร้อนเศร้าหมองต้องถือเอาประโยชน์จากความจริงนี้ให้ได้จึงจะสมควร คือต้องถือเอา ว่าผู้ตายคือผู้เปลี่ยนที่อยู่ คือผู้มีธุรกิจจำเป็นต้องย้ายนิวาสถานไปอยู่ที่อื่น ต้องพยายามตั้งสติคิดเช่นนี้ให้ได้
คือให้ได้ผลจริงจังแก่จิตใจ ความรู้สึกที่ว่ามีผู้ตายจากจะต้องเป็นเพียงความรู้สึกว่ามีผู้ย้ายที่จากไปตามความจำเป็นเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้จะต้องมีสติไม่คิดให้เลยไปถึงอนาคต เช่นต้องไม่คิดว่าผู้ย้ายจากไปแล้วก็ยังจะได้กลับมาพบเห็นอยู่ร่วมกันต่อไป แต่ผู้ตายจากจะไม่มีโอกาสได้กลับมาพบเห็นกันอีกเลย ต้องมีสติควบคุมความคิดให้อยู่แต่กับปัจจุบันเท่านั้น
ที่จริง การไม่คิดคาดไปถึงอนาคตเป็นการถูกต้อง เป็นการคิดอย่างเป็นธัมมะที่แท้จริง การคิดถึงอดีตก็ตามอนาคตก็ตามมิใช่เป็นการคิดที่เป็นธัมมะ การคิดในปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นธัมมะ อันความคิดถึงอดีตไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว
หากจะคิดถึงอดีต ต้องคิดเพียงเพื่อให้เป็นครู สำหรับปิดกั้นการทำในปัจจุบัน มิให้พลั้งพลาดผิดไปเช่นในอดีต หรือเพื่อให้เป็นครูสำหรับแนะนำให้ทำการในปัจจุบันอย่างถูกต้องงดงามเช่นที่ เคยทำมาแล้วในอดีตเท่านั้น คิดถึงอดีตเพื่อเศร้าโศกเพื่อฟุ้งซ่านแล้วผิดธัมมะ มิใช่เป็นธัมมะ อันการคิดถึงอนาคตก็เช่นกันไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์อันใด เป็นการคิดอย่างเลื่อนลอย ฟุ้ง และอาจไม่เกิดขึ้นเป็นจริงเป็นจังได้เลย
ผู้ที่พลัดพรากจากไกลในปัจจุบันกับผู้จากตาย ก็น่าจะมีอนาคตเช่นเดียวกันได้ คืออาจจะไม่มีโอกาสกลับมาพบปะกันอีกเลยก็ได้ ไม่มีอะไรเที่ยง เมื่อไม่มีอะไรเที่ยง เช่นนี้ผู้พลัดพรากจากไกลกับผู้พลัดพรากจากตายจึงไม่น่าจะต่างกันเลย ไม่น่าจะทำให้เกิดความทุกข์โศกต่างกันเลย
ข้อสำคัญควบคุมความคิดให้ดี ทำให้คิดให้ได้ว่าผู้จากตายคือผู้จากไกลไปมีนิวาสถานใหม่ตามความจำเป็นเท่านั้น แล้วจะสามารถมีความสบายใจได้พอสมควร แม้จะต้องประสบกับความพลัดพรากจากตายแม้ของผู้เป็นที่รักเพียงใด
ควรถามตนเองว่าพอใจจะเป็นทุกข์เพราะความเศร้าโศกเสียใจในการพลัดพรากจากตายของผู้เป็นที่รักหรือ ถ้าพอใจจะช่วยตนเองให้คลายทุกข์ก็น่าจะปฎิบัติตามที่เสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ ความคิดดังกล่าวมาเป็นลำดับแล้ว
๑๓ มกราคม ๒๕๑๗
๑๔. ควบคุมความคิดได้จะเป็นสุขได้
คนบางคนมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก เมื่อถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป ผู้อยู่หลังก็เศร้าโศกสงสาร คิดรำพันไปว่าเขาเป็นผู้ที่น่าสงสารมาก เพราะมีชีวิตอยู่ลำบากแล้วยังมาตาย อะไรทำนองนี้ นับว่าเป็นการใช้ความคิดผิด อย่างยิ่ง ให้โทษแก่จิตใจผู้คิดอย่างยิ่ง
ที่จริงเมื่อผู้มีชีวิตทุกข์ยากต้องมาเสียชีวิตไปควรที่ผู้อยู่หลัง จะมีสติคิดให้ถูกให้ชอบให้ไม่เป็นทุกข์เป็นโทษแก่จิตใจตนเอง คือควรจะคิดว่าเขาผู้นั้นมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก เพราะอำนาจแห่งกรรมของเขาเองที่ต้องเป็นกรรมไม่ดีแน่ เพราะกรรมไม่ดีเท่านั้นที่จะให้ผลไม่ดี กรรมดีจะให้ผลไม่ดีไม่มีเลย เมื่อ เขามาละโลกนี้ไป เขาอาจะไปเสวยผลของกรรมดี คือไปมีความสุขกว่าอยู่ในโลกนี้ ควรที่ผู้อยู่หลังจะยินดี เบาใจ ไม่ควรจะเศร้าเสียใจซึ่งเท่ากับยินดีจะเห็นเขามีความทุกข์ต่อไปในโลกนี้
อันความคิดนั้นแม้สามารถควบคุมไว้ได้ ให้เป็นเหตุแห่งความสุข ไม่ให้เป็นเหตุแห่งความทุกข์ จึงจะเป็นการถูกต้อง คิด อย่างไรก็ตาม ให้จิตใจพ้นจากความทุกข์นับว่าถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม คิดอย่างไรก็ตาม ที่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ นับว่าไม่ถูกต้องเลย ไม่ควรปล่อยให้ความคิดเช่นนั้นดำรงอยู่ได้เลย ต้องกำจัดเสียให้ได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องกล่าวว่า แม้ต้องประสบกับการพลัดพรากจากเป็น ไม่ใช่จากตาย ก็อย่าคิดว่า พลัดพรากจากตาย เสียดีกว่า ให้ทุกข์น้อยกว่า แล้วก็พยายามทำการพลัดพรากจากเป็นให้กลายเป็นการพลัดพรากจากตายไปเสีย ดังที่มีปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอ การทำเช่นนั้นผิด ต้องไม่คิดทำเป็นอันขาด เมื่อต้องประสบการพลัดพรากจากตาย มีวิธีคิดเพื่อช่วยจิตใจให้คลายทุกข์ดังกล่าวแล้ว เมื่อต้องประสบการพลัดพรากจากเป็น ก็มีวิธีคิดเหมือนกัน แต่ต้องไม่ใช่คิดให้กลายเป็นการพลัดพรากจากตายไปเสียเป็นอันขาด
การพลัดพรากจากเป็น กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือการต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักที่ชอบใจไปทั้ง ๆ ที่มิได้ล้มหายตายจาก เป็นการต้องจากไปทั้งยังมีชีวิตอยู่ทุกฝ่าย เช่นเกิดจากการเปลี่ยนใจในเรื่องความรักชอบของฝ่ายหนึ่ง ในกรณีนี้มักก่อให้เกิดความ ทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจหรือความแค้นเคืองให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นอันมาก
สำหรับผู้ไม่เห็นประโยชน์ของการบริหารจิตก็ย่อมยินดีปล่อยใจให้ตก อยู่ใต้อารมณ์แห่งความทุกข์ความเศร้าโศกหรือความโกรธแค้นดังกล่าว ทั้งยังใช้ความคิดไปในทางที่จะเพิ่มความรู้สึกหรืออารมณ์เหล่านั้นให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยรู้สึกว่าเป็นสิ่งสมควร ที่จริงน่าจะเป็นที่รู้สึกกันดีว่า ความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจและความโกรธแค้น นั้นไม่ให้ส่วนที่ดีอย่างใดแก่จิตใจเลย ไม่เป็นสิ่งอันพึงปรารถนาเลย ไม่น่าจะสงวนรักษาหรือเพิ่มพูนความรู้สึกเช่นนั้นให้ยิ่งขึ้นเลย น่าแต่จะควรหาทางทำให้ลดน้อยจนถึงหมดสิ้นไปเท่านั้นและการจะทำให้สำเร็จผล ดังกล่าวได้ก็มิใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับผู้อื่น แต่ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเองเป็นสำคัญ
ถ้าเจ้าตัวใช้สติพิจารณา ให้เห็นว่าตนไม่ปรารถนาจะทนทุกข์ทรมาน เพราะความรู้สึกดังกล่าว ปรารถนาจะพ้นจากความรู้สึกนั้นจริงๆ ก็ย่อมจะสามารถช่วยตนเองได้ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ความจริงคือสัจธรรมมีอยู่เช่นนี้ ฉะนั้นจงพิจารณาให้เห็นความจริงประการแรกว่า เรานี้ต้องการจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าต้องการเป็นทุกข์ก็ปล่อยใจให้อยู่ใต้อำนาจของความคิดที่เป็นเหตุแห่งความ ทุกข์เถิด แต่ถ้าต้องการเป็นสุขก็ให้ระงับความคิดทั้งหลายอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์เสีย ความทุกข์มิได้เกิดจากการต้องพลัดพรากจากกัน
ทั้งด้วยความเป็นหรือความตาย แต่ความทุกข์เกิดจากความคิด เกิดจากใจ มีสติควบคุมความคิดให้ได้ อย่าให้ฟุ้งไป อย่าให้ติดอยู่ในเรื่องที่เป็นทุกข์ แล้วก็จะเป็นสุขได้ด้วยกันทุกคน
๒๐ มกราคม ๒๕๑๗
๑๕. การเพิ่มพูนปัญญาคือการลดความทุกข์
ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากตายนั้นแม้จะมากเพียงใด แต่เมื่อเปรียบกับความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากเป็นแล้ว บางทีความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากตายก็เหมือนเล็กน้อยนัก ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากเป็นนั้น เมื่อถึงขีดสุดก็มักจะก่อให้เกิดความเศร้าสะเทือนใจอย่างยิ่งอยู่เนืองๆ
ดังที่ปรากฏเป็นข่าวมิได้ว่างเว้นตลอดมา การกระทำอัตวินิบาตกรรมก็ตาม การฆาตกรรมก็ตามเกิดขึ้นเพราะความทุกข์ที่เกิด จากการพลัดพรากจากเป็นอยู่เป็นอันมาก โทษของการปล่อยใจให้อยู่ใต้อำนาจความทุกข์นี้จึงมหันต์นัก น่าจะได้พากันระมัดระวังอย่างยิ่ง
การพลัดพรากจากเป็นที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์หนักนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า คือการพลัดพรากที่เกิดจากการเปลี่ยนใจในเรื่องรักชอบของฝ่ายหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น อัตวินิบาตกรรมและฆาตกรรมเกิดขึ้นนักต่อนักเพราะเหตุนี้
ในขณะเดียวกันผู้เสียสติเพราะเหตุนี้ก็มีเป็นจำนวนมาก จึงเห็นได้ชัดว่าอิทธิพลของความทุกข์ในเรื่องนี้รุนแรงนัก ควรที่ทุกคนผู้ยังเป็นปุถุชนคนสามัญจะพยายามยับยั้งอิทธิพลร้ายนี้ อย่างน้อยก็มิให้มีเหนือจิตใจตนเองอย่างรุนแรง และการจะทำได้สำเร็จพอสมควรก็จำเป็นต้องค่อยทำค่อยไป
คือแม้จะยังไม่ทันต้องประสบความพลัดพรากดังกล่าว ก็ให้ไม่ประมาท ให้มีสติระลึกถึงความจริง ๓ อย่าง ที่มีอยู่เป็นธรรมประจำโลก คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนของเรา คือไม่อยู่ใต้อำนาจความปรารถนาต้องการของเรา
ลักษณะสามนี้ ไม่มียกเว้นแก่ผู้ใดหรือสิ่งใด ทุกคน ทุกสิ่งต้องมี มิได้เป็นความผิดความไม่ดีของผู้ใด แต่เป็นเรื่องธรรมดาโลก อนิจจังความไม่เที่ยงมีอยู่ทุกเวลา ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปก็มีอยู่ทุกเวลา อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ใต้อำนาจความปรารถนาต้องการใดๆ ก็มีอยู่ทุกเวลานำลักษณะทั้งสามหรือไตรลักษณ์นี้มาเทียบเข้ากับทุกคนทุกสิ่งไว้ให้เสมอเพราะ ดังกล่าวแล้ว
ลักษณะทั้งสามมีอยู่ในทุกคนทุกสิ่งไม่มียกเว้น ถ้าพยายามทำสติระลึกถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมยิ่งใหญ่นี้ไว้เสมอๆ เมื่อประสบความพลัดพรากจากตายหรือจากเป็นก็ตามใจ ก็จะมีปัญญา คือ ความรู้ทันความจริงว่า เป็นธรรมดาของโลกไม่ใช่ความผิดความร้ายของใคร ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะ บังคับให้เป็นไปตามความปรารถนาต้องการได้
ความรักก็ตาม ความชังก็ตาม ความไม่รักไม่ชังก็ตาม ล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ใครฝืนไม่ได้ ใครบังคับไม่ได้ คนอื่นก็ฝืนไม่ได้บังคับไม่ได้ เจ้าตัวก็ฝืนไม่ได้บังคับไม่ได้
ดังนั้นจะไปโกรธแค้นอาฆาตใครก็ไม่ถูก จะเศร้าโศกเสียใจให้นักหนาก็ผิดก็ไม่ฉลาด เมื่อรู้ว่าความจริงแท้มีอยู่อย่างหนึ่งจะไปหวังให้เป็นไปในทางตรงกันข้าม จะเรียกว่าฉลาดก็ไม่ได้ จึงต้องเรียกว่า ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา คือ ความรู้ถูกตามเป็นจริง แต่มีอวิชชาความรู้ไม่ถูกครอบงำอยู่ ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลายเกิดขึ้นก็เพราะอวิชชานี้แหละ
ดังนั้นจะไปโทษใครอื่นว่าเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนก็ผิดอีก ยิ่งจะไปแก้แค้นคนอื่นในฐานะเป็นเหตุก็จะยิ่งผิดหนักขึ้นไปอีก อวิชชาความรู้ไม่ถูกตามความจริง มีอยู่ในใจที่เป็นทุกข์ ที่เดือดร้อน แก้ที่ใจอันเป็นทุกข์เดือดร้อน ด้วยความเศร้าโศกเสียใจหรือโกรธแค้น อาฆาต พยาบาท
นี้แหละ แก้ด้วยการเพิ่มพูนปัญญาให้รู้ให้เห็นทุกสิ่งถูกต้องตามความจริงนั่นแหละ จะสามารถทำความทุกข์ให้ลดน้อยลงได้มากแม้ต้องประสบความพลัดพรากจากตายหรือ จากเป็นก็ตามของผู้เป็นที่รักที่ชอบใจแม้มากเพียงไรก็ตาม
๒๗ มกราคม ๒๕๑๗
ท่านผู้จากไปคงไม่อ่านบันทึกของผม แต่หากท่านสามารถรับรู้ได้ด้วยญาณวิถีใดก็ตาม ขอให้ได้ทราบว่าท่านได้สร้างคนชั้นยอดทิ้งไว้ข้างหลัง และครอบครัวน่าจะยืนหยัด+ก้าวเดินต่อไปได้ครับ
« « Prev : ก๊าซเชื้อเพลิงจากเศษไม้ (4)
Next : เมื่อปริมาณสร้างทางเลือกให้มากขึ้น ทางเลือกนำสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่… » »
2 ความคิดเห็น
ขอร่วมแสดงควมเสียใจและเข้าใจอย่างยิ่งต่อท่านที่เป็นลูกที่พลัดพรากจากบิดาอันเป็นที่รัก
ไม่มีใครที่ไม่มีการพรากจาก…ขอให้มีกำลังใจในการ”อยู่” ของภาคชีวิตต่อจากนี้