เครือข่ายพลังบวก

โดย Logos เมื่อ 16 June 2010 เวลา 15:31 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 5147

ผมทำงานบริหารมานานปี ได้รับเชิญไปงานแถลงข่าวต่างๆ มากมายตลอดมา ซึ่งก็สารภาพว่าไม่ได้ไปหรอกครับ

วันนี้มีงานแถลงข่าวเปิดตัวเครือข่ายพลังบวก กลับรู้สึกว่าต้องมา จะติดตามจากสื่อก็ได้ครับ เผอิญผมรู้ดีว่าสื่อมีพื้นที่จำกัด จึงถ่ายทอดได้ไม่ครบ ก็เลยควรจะมาฟังเอง — ไม่ผิดหวังหรอกครับ แต่ผมจะไม่เขียนเรื่องที่ Igniter แต่ละท่านนำเสนอ เอาพื้นที่มาเขียนประเด็นที่พบเห็นดีกว่า

16062010303.jpg

16062010305.jpg

หนังเปิดตัวเครือข่ายก็ยอดเยี่ยมครับ ทั้งการเลือกสรรคำ และข้อความที่สื่อ

จบงานแถลงข่าว @iwhale ก็ชวนไปคุยกับกรรมการชุดเริ่มต้นของเครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานด้านครีเอทีฟ โฆษณา เอเจนซี่ (เพราะว่าเป็นกลุ่มที่ริเริ่มและผลักดันเครือข่าย มาเพียงสามอาทิตย์ก่อนหน้างานนี้) ได้เจออีกหลายกลุ่มที่หลากหลายออกไปนะครับ ส่วนใหญ่จะรวมเป็นกลุ่มเป็นสมาคมอยู่แล้ว เมื่อกลุ่มแต่ละกลุ่มมารวมกัน จึงมีพลังมาก และมีความหลากหลายมากพอที่จะระดมความรู้ ความชำนาญ ทรัพยากร และสรรพกำลังมาทำสิ่งที่ควรจะทำเสียที

สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกัน คือทุกคนอยากทำให้เมืองไทยดีกว่าที่เคยเป็นมา; เพราะว่าเครือข่ายพลังบวก มีภาคีที่รวมตัวกันอยู่แล้วเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็ยังมีปัจเจกชนที่เข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก เครือข่ายพลังบวกจึงไม่มีหน้าที่ไปสั่งว่าใครทำอะไร แต่ประสานความร่วมมือเพื่อให้เกิดสังคมสันติสุขและมีผลดีต่อการก้าวหน้าไปของสังคมไทย ซึ่งคงจะดีกว่าต่างคนต่างทำกันไปคนละทิศคนละทาง เป็นเบี้ยหัวแตก ไม่มีพลัง

เครือข่ายจะใช้งาน Ignite เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน

เมื่อเห็นแล้วว่าการขับเคลื่อนเครือข่าย เป็นไปตามโมเดลอาสาสมัครที่ผมคุ้นเคย จึงได้ปวารณาไปว่า มีเนื้อที่ในจุลสารของมูลนิธิโอเพ่นแคร์ (ประมาณหน้าครึ่งของกระดาษ A4) พอที่จะให้เครือข่ายพลังบวกใช้ได้ถ้ารีบส่งบทความมาก่อนปิดเล่ม; Newsletter นี้จัดส่งถึงทุก อบต.อยู่แล้วครับ; ได้วิจารณ์หนังเปิดตัวไปด้วยว่าชอบมาก แต่บางภาพต้องระวังจะสะกิดแผลให้ลึกลงไปอีก น่าจะปรึกษาเรื่องผลของภาพกับคำว่า PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) กับผู้มีความชำนาญในสายจิตวิทยา ส่วนคำพูดบรรยายโทนและเรื่องราว ผมคิดว่าโดนครับ

Get the Flash Player to see this player.

« « Prev : เปิดใจ

Next : เมืองน่าอยู่ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 June 2010 เวลา 21:05

    สวัสดีค่ะ

    ได้อ่านการแถลงข่าว “เครือข่ายพลังบวก” จากเว็บ สสส.ค่ะ
    ผ่านสวนลุม ฯ ฝั่งพระรามสี่ เห็นคนมากมายเลยเยี่ยมหน้าไปมอง ๆ
    เดินกลับบ้านดีกว่า คนเยอะ!!!

    รออ่านการเก็บข่าวมาเล่าค่ะ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 June 2010 เวลา 23:33
    คนเยอะ งานสนุก แต่ข้างในยังมีที่ว่างเหลือนะครับ
  • #3 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 June 2010 เวลา 10:18

    แวะมาเก็บข่าวค่ะ

    นับว่า เป็นเครือข่ายของ “พลังมวลชน” (ไม่เกี่ยวกับพวกเรียกร้องต่าง ๆ) ที่ทรงพลังมากค่ะ สสส.ตีโจทย์แตก และกลุ่มผู้ร่วมเครือข่ายก็ตอบโจทย์ได้ดี 

    สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกัน คือทุกคนอยากทำให้เมืองไทยดีกว่าที่เคยเป็นมา; เพราะว่าเครือข่ายพลังบวก มีภาคีที่รวมตัวกันอยู่แล้วเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็ยังมีปัจเจกชนที่เข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก เครือข่ายพลังบวกจึงไม่มีหน้าที่ไปสั่งว่าใครทำอะไร แต่ประสานความร่วมมือเพื่อให้เกิดสังคมสันติสุขและมีผลดีต่อการก้าวหน้าไปของสังคมไทย ซึ่งคงจะดีกว่าต่างคนต่างทำกันไปคนละทิศคนละทาง เป็นเบี้ยหัวแตก ไม่มีพลัง

    ตอนแรก ๆ เห็นชื่อคิดเล่น ๆ ว่าอย่างนี้น่าตั้งชื่อว่า เครือข่ายยกกำลัง…(จะ9 หรือ 10 ก็ว่าไป) ไม่ใช่แค่ “พลังบวก”
    การทำงานที่มีเป้าหมายร่วมกันของคนที่ต่างมีเครือข่ายของสหวิชาชีพ ต่างมีความพร้อมและชำนาญในเรื่องของตน ทำให้พลังนั้นมหาศาล

    ส่วนฟันเฟือง ตัวขับดัน ก็คงต้องอาศัยความตั้งใจจริง มุ่งมั่น เสียสละ ไม่ลดละ ไม่เช่นนั้นจะไปเหมือนหลาย ๆ โครงการที่ดี ๆ แต่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้

    ชอบค่ะ และจะติดตามเครือข่ายนี้ต่อไป

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 June 2010 เวลา 13:39
    ผมตอบแทนใครไม่ได้นะครับ แต่เชื่อว่าทุกคนที่เข้าร่วมเครือข่าย ต่างก็อยากเห็นเมืองไทยดีขึ้นทั้งนั้น และต่างก็เป็น “ภาคี” ซึ่งหมายถึงมุ่งไปในทางเดียวกันแต่มีความเป็นอิสระต่อกัน

    หากต้องการความเปลี่ยนแปลงแล้วทำเหมือนเดิม ผลคงไม่เปลี่ยนครับ

    มากอดประเทศไทย กันเถอะ

  • #5 h ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 July 2010 เวลา 15:20

    From: exam@hotmail.com
    มีเรื่องที่ท้าทายความรู้สึกผม ค่อนข้างมาก
    และในบรรยากาศที่ท้าทายความรู้สึกอย่างนี้ ผมอยากจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง

    ….โรบินฮู้ด กำลังเอาขนมปังไปแจกเด็ก ที่หิวโหย ขาดสารอาหาร ขณะนั้น พระพุทธเจ้า เดินผ่านมา พระพุทธเจ้า ก็เข้าไปบอกกับ โรบินฮู้ด ว่า ” เริ่มที่ตัวท่าน ทำตัวของท่านให้ดี มองเฉพาะตัวของท่านเถิด” และแล้ว โรบินฮู้ด ก็ไล่ถีบ พระพุทธเจ้าออกมา นิทาน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ความเป็นมนุษย์นั้น คืออะไร หลังจากที่ ตั้งคำถามว่า ระหว่าง โรบินฮู้ด และพระพุทธเจ้า ใครมีความเป็นมนุษย์มากกว่ากัน และด้วยความเป็นมนุษย์นี้เอง ที่บังคับให้ผม ต้องพูดออกมาว่า ” ถึงผมจะไม่เข้าข้างสีใด ไม่ว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม สีแหบ สีเหย สีเหียว ถึง นปช. จะเสี่ยว จะลาว จะโง่ จะไร้การศึกษา (ไม่ได้จบจาก OXFORD ) อย่างไง คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเขา !!! และสิ่งเหล่านี้เอง ก็เป็นคำตอบได้ว่า คนระดับมหา อาบน้ำวันละ 5 ขัน ถือศีลกินเจ สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ทำไม ถึงออกมาพูดว่า ให้ทหารออกมาจัดการ ฆ่าคน ภายใน 7 วัน หาไม่เช่นนั้น จะออกมาจัดการเสียเอง คำตอบของเรื่องนี้ ก็มีอยู่ว่า ความเป็นมนุษย์ ของเขามันได้หายไปเหมือนกับศาสดาที่เขากราบไหว้นั่นแหล่ะ ไม่ ต่างกันที่ตรงไหน

    เล่านิทานต่อดีกว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าถูกถีบออกไปจากป่าเชอร์วู้ดที่อังกฤษแล้ว ก็พาสาวกลงเรือข้ามฟากที่ฝั่งแอตแลนติก ไปขึ้นฝั่งที่ทวีปอเมริกา และได้เจอกับอินเดียนแดงเผ่าหนึ่ง และได้เผยแพร่ศาสนา แก่เผ่าๆนี้ ซึ่งเผ่าๆนี้ ก็นับถือเลื่อมใสเป็นอันมาก มีภัตตราหารใดๆ ก็นำไปถวายพระเสียหมด เมื่ออาหารดีๆใดๆถูกนำไปถวายพระเสียแทบหมดสิ้น เด็กๆ ในเผ่าก็เริ่มมีอาการ มัลนิวตริชั่น ขาดสารอาหาร ไอคิว ก็เริ่มตก หัวหน้าเผ่าจึงเรียกประชุมเผ่า รองหัวหน้าเผ่าจึงเสนอว่า ควรนำเรื่องนี้ ไปเสนอถามพระพุทธเจ้า ที่ประชุมเผ่าทั้งหมด แย้งว่า ปัญหา นี้ เป็นเรื่องทางโลก มิควรจะเอาไปเกี่ยวยุ่งก้บทางธรรม เป็นการไม่ควรเปล่า ไม่ช้า เด็กในเผ่าทั้งหมดก็ไอคิวตก และเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ที่โง่ ก็เลยรบแพ้เผ่าที่มีอาณาเขตอยู่ติดกัน จนสูญเผ่า…

    หลังจากที่ทำให้เผ่านั้นต้องหมดตูดแล้ว พระพุทธเจ้า ก็นำสาวกทั้งหมด เดินทางมาที่ฝั่งแปซิฟิก ขึ้นเรือสำเภา ในระหว่างที่รอนแรมมาบนเรือนั้นไต้ก๋งเรือซึ่งเป็นฝรั่ง ได้ออกมาดูทิศทางลม และเงยหน้าไปมองดวงอาทิตย์ที่ฉายแสง แรงกล้านั้น แล้วเอ่ย ขึ้นมาว่า เออ…หนอ..ดวงอาทิตย์ก็ยังมีจุดบอด อะไรใต้ดวงอาทิตย์ ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่สมบูรณ์แบบไร้ซึ่งตำหนิ หนอ เราควรจะระวี่ระวัง คนหรือใคร ก็ตาม ที่มาบอกอ้างว่า ตัวเองไร้ซึ่งตำหนิมลทิน เลอเลิศเพอร์เฟค หาที่ติไม่ได้ เพราะไม่เคยมีซาตาน ตัวไหนสักตัว ที่ออกมาพูดว่า ตัวเองเลว แล้วฝรั่งไต้ก๋ง คนนั้น ก็หันกลับมายังพระพุทธเจ้า แล้วถามขึ้นว่า ..แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า ดวงอาทิตย์ฉายแสงได้อย่างไง ” พระพุทธเจ้า ก็ตอบว่า ” มันเป็นของมันเช่นนั้น ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด มองที่ใจของท่านเถิด มิควรคิดฟุ้งให้กิเกสกำเริบ “

    หลังจากรอนแรมข้ามแปซิฟิค มาเป็นแรมปี ก็มาขึ้นฝั่งที่เมืองขันฑ์ขุ แล้วเผยแพร่ศาสนาต่อไป นับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีชาวขันฑ์ขุ คนใดตั้งคำถามว่า ดวงอาทิตย์ฉายแสงได้อย่างไง เพราะศาสดาของพวกเขาบอกไว้แล้วว่า มันเป็นของมันเช่นนั้น แล้ว ลัทธิ ให้มองเฉพาะตน ก็ถูกแพร่หลายออกไป จนในที่สุด เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ชาวขันฑ์ขุ ก็เริ่มถามกันเองว่า ทำไมชาวขันฑ์ขุ ถึง ได้ขี้อิจฉา ริษยา เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว และเวลาผ่านไปนับหลายร้อยปี ทำไมชาวขันฑ์ขุ ถึงไม่เคยประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์ อะไรได้เลย

    โถ….. ก็จะสร้างสรรประดิษฐ์คิดค้น ไม่อิจฉาริษยา ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างไง ก็ชาวขันฑ์ขุมองทุกอย่างเฉพาะตัว เอาเฉพาะตัวอยู่อย่างนั้น…ขนาดดวงอาทิตย์มองเห็นทิ่มตาอยู่ทุกวี่ทุก วัน ยังไม่เคยมีชาวขันฑ์ขุ คนใด ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงฉายแสงได้..จนมีตำราฝรั่งซึ่งอาจจะเป็นหลานเหลน โหลน ลื้อ แหล้ว ลิ้ว ของฝรั่งคนที่เป็นไต้ก๋งคนข้างบนนั่นแหล่ะ ออกมาชี้แจงว่า เป็นเพราะ ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวส์ชั่น…. นิทาน เรื่องนี้ เขียนแบบกึ่งแฟนทาสซิคสะท้อนความจริง ตัวละคร ก็มาจากหลายยุคหลายสมัย แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ซึ่งตามตำนาน ว่ามีอยู่ตั้งแปดหมื่นเก้าหมื่นองค์นู่น และด้วยที่ว่ามีจำนวนมากมาย ตั้งแปดหมื่นเก้าหมื่นจึงไม่อาจชี้ตัวระบุไำด้จนแม้บัดนี้ว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหนกัน ดังนั้นนิทานเรื่องนี้จึงไม่มีโจกย์ไม่มีจำเลย ให้ใครต้องปวดหัว กุมขมับ ปวดกบาลใดๆทั้งสิ้น …//////

    และชาวขันฑ์ขุทั้งหลายเอ๋ย กับเหตุการณ์ปลิ้นตะหลิ่น ฝ่ามือเป็นหนังเท้า หนังเท้าเป็นฝ่ามือ ให้วกวนเวียนหัว บรรดาท่านทั้งหลาย ก็อย่าได้คับข้องฉงนฉงาย ให้เสียเวลาเปลืองทุ่มยามไปเลย ผมเอง ก็เกรงใจ๊เกรงใจ ที่จะบอกกับท่านว่า ขนาดที่ระบุชี้ตัวไม่ได้ อย่างนิทานข้างบน ไอ้เย้…กาแม่งนั่น ยังลวงโลกอย่างเนียน จนท่านไม่เคยแม้แต่จะฉุกใจ คิดไปให้ทัน แล้วทำไม ท่านทั้งหลาย ชาวเมืองขันฑ์ขุ จะเจอเรื่องเช่นอย่าง ฝ่ามือเป็นหนังเท้า หนังเท้าเป็นฝ่ามือ มิได้เล่า //////

    จุดแข็งที่สำคัญที่สุด ของมนุษย์ เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง ที่นำมนุษย์ก้าวมาสู่อารยธรรม นั้น คือ ศักยภาพในการใช้ความคิด ถ้าหาก ศักยภาพในการใช้ความคิดถูกบ่อนทอนทำลายหายไป ก็ อย่าถามให้เหนื่อยปากเลยว่า ทำไมชาวขันฑขุ พัฒนาอย่างไงเช่นไร ถึงไปไม่ได้ กระผมรู้ดีว่า การทำลายล้างความเชื่อ ที่มีมานมนาน ดึกดำบรรพ์ กาเล เป็นเรื่องโหดอย่างฉกรรจ์ แต่ อีกพันปี สอง สามสี่ พันปี ข้าง หน้า เรื่องราวใดๆ ในเมือง ขันฑ์ขุ จะต้อง เป็นไปอย่างเช่นนี้ ไปตลอดในอนาคตกาลนับเป็นพันๆปีข้างหน้า เช่นอย่างนั้น ล่ะหรือ

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 July 2010 เวลา 16:49
    คุณ h ใน #5 คงอยากระบาย ซึ่งก็ให้ระบายได้ครับ

    Google พบข้อความเดียวกันสองครั้ง ใน webboard.cmupark.com และ ความเห็นที่ 18 จาก news.hunsa.com ทั้งสองแห่ง เป็น plain text แต่ใน #5 เป็น HTML ซึ่งถ้าไม่ได้ลอกมาจาก Microsoft Word ก็คงลอกมาจากจดหมายหว่าน — ผมได้ตัดเอา HTML markup ออกเพื่อให้อ่านกันได้ง่ายขึ้น

    พุทธศาสนาในความเห็นของผมนั้น ไม่ได้สอนให้ละเลยเพิกเฉย คำว่าอุเบกขาไม่ใช่อาการธุระไม่ใช่ ปัญญาไม่ใช่การคิดเอาเอง และไม่มีการสอนว่าไม่ให้คิด แต่ว่าคิดเมื่อจิตสงบแล้วเกิดความรู้จริง โลกวุ่นวาย ส่วนหนึ่งเพราะแยกไม่ออกระหว่างการความคิดเอาเองตามอารมณ์ กับความรู้จริงตามธรรมชาติตามวัฏฏะสงสารซึ่งเรียกว่าปัญญานะครับ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 October 2010 เวลา 2:39

    ปัญญานิ่ม กับ ปัญญาแกร่ง มีปะปนกันให้เห็นทั่วไป
    ไม่มีผิด ไม่มีถูก คนชอบพูดกันนัก
    ในความเป็นจริง มันมีความจริงที่เข้าถึงต่างกัน
    รู้แค่ไหน ก็คิดแค่นั้น โลกมันจึงพัวพันกับความรู้ครึ่งท่อน กระท่อนกระแท่น
    ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของการเรียนรู้
    ไม่รู้แล้วมาชี้ื หรือนึกว่ารู้แล้วจึงชี้
    นึกรู้ ตระหนักรู้ น้ำหนักแตกต่างกัน
    การก่อกวนความรู้ เป็นโจทย์ที่ดี ชวนให้ตีแตกความรู้
    มองโลกในแง่ดี จะพบสิ่งดีๆ นะโยม


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.29317116737366 sec
Sidebar: 0.12769794464111 sec