เมืองน่าอยู่

โดย Logos เมื่อ 17 June 2010 เวลา 16:03 ในหมวดหมู่ สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 3892

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเมืองเล็กไม่ค่อยมีโอกาส ต่อให้มีเด็กเก่งๆ ก็ขวนขวายสอบเข้าไปเรียนในเมืองใหญ่ บางทีก็ถูกรับตรงเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ๆ เมื่อเรียนจบแล้ว น้อยคนที่จะกลับบ้าน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เมืองเล็กก็ขาดดุลย์ความรู้และบุคลากรตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

หน่วยงานปกครอง และมหาวิทยาลัย พยายามจัดโปรแกรมเดินสายสัมนา ถ้าพูดแรงๆ ก็เหมือนไฟไหม้ฟางนะครับ — อันที่จริง จะไปว่าทางฝั่งรัฐและฝ่ายปกครอง ก็คงไม่ยุติธรรมนัก ถ้าท้องถิ่นต้องการสิ่งเหล่านี้จริง ทำไมจึงไม่ทำอะไรบ้าง

เคยถามหมอจอมป่วน (รองนายกเทศมนตรี) ว่าเทศบาลนครพิษณุโลกนี่ ครอบคลุมพื้นที่เท่าไหร่ หมอตอบว่า 18.26 ตร.กม. ทำเอาผมสะดุ้งเลย ไม่นึกว่าจะ “เล็ก” ขนาดนี้ ผมเคยเป็นคนกรุงเทพซึ่ง กทม.มีขนาดกว่าพันห้าร้อยตารางกิโลเมตร เทศบาลนครพิษณุโลกครอบคลุมพื้นที่ตำบลในเมืองเท่านั้น — แต่การที่หมองานยุ่งมากเพราะอบรมเผยแพร่ความรู้ทั่วประเทศ พื้นที่ห้าแสนหนึ่งหมื่นสี่พันตารางกิโลเมตร

เรื่องนี้ มาคิดดูอีกที ขนาดอย่างเทศบาลนครพิษณุโลกนั้น เหมาะสมมากกว่า กทม. ถึงแม้จะแบ่งเป็น 50 เขต (เฉลี่ยเขตละ 300 ตร.กม.) แล้วก็ตาม

มาลองคิดดูว่า “เมือง” ควรจะมีขนาดเท่าไหร่จึงจะบริหารจัดการได้อย่างทั่วถึง มีทรัพยากรเพียงพอที่จะช่วยให้พลเมืองมีชีวิตอยู่ได้ — ทำไมหนองคายจึงเป็นเมืองน่าอยู่ได้โดยไม่ต้องมีมหาวิทยาลัยชื่อดังหรือธุรกิจขนาดยักษ์

“เมือง” ควรจะอยู่ในระยะที่เดินหรือขี่จักรยานไปมาได้

ถ้าเมืองมีลักษณะเป็นวงกลม รัศมี 2 กม. จะมี “เขตเมือง” เป็นพื้นที่ 12.5 ตร.กม. หรือเกือบแปดพันไร่ ใหญ่พอที่จะผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองได้เองส่วนหนึ่ง-ไม่ต้องซื้อแหลกอย่างคนกรุงเทพ มีพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับชุมชน พื้นที่สาธารณะ ศาสนสถาน พื้นที่สำหรับเก็บเกี่ยวน้ำและพลังงานที่ต้องการใช้ได้ส่วนหนึ่ง พื้นที่จัดการขยะ

เครือข่ายถนน “ในเมือง” อาจไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่นัก เพราะว่าเดินหรือขี่จักรยานไปก็ไม่ไกลเกินไป ส่วนถนนขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเมืองอื่น หรือใช้ขนส่งสินค้า ก็อ้อมรอบเมืองไปได้

“เมือง” ที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป ให้บริการสื่อสารไร้สายได้ครอบคลุมทั้งหมด

ทั้งเมืองมีเสาอากาศกลางเมืองต้นเดียว ใช้เป็นเสาบริการร่วมระหว่าง โทรศัพท์มือถือ วิทยุชุมชน โทรทัศน์ชุมชน ส่วนการบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายนั้น อาจจะเป็น wifi mesh ที่ยิงลงมาจากบัลลูนที่กระจายกันอยู่รอบ “เมือง” ใช้ค่าเช่าเสาบริการร่วม หรือภาษีบำรุงท้องที่ส่วนหนึ่งมาจัดการเพื่อให้บริการฟรี

เมื่อมีเน็ตใช้ฟรี พลเมืองก็สามารถเชื่อมโยงกับประชาคมโลกและกระแสเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องเข้ามากระจุกในเมืองใหญ่

“เมือง” ของความรู้จริง

มนุษย์นั้น แท้จริงแล้วกระจ้อยร่อย ต่างต้องพึ่งพากันและกัน; ในเมืองขนาดเล็ก อาจไม่มีที่สำหรับความรู้แบบอวดอ้าง ใครทำอะไร ใครเป็นอะไร ก็เห็นๆ กันอยู่ ดังนั้นเมืองขนาดเล็กจะเสริมสร้างคนจริง ช่วยให้พลเมืองได้เข้าใจในคุณค่าและหน้าที่ของตน ลดแรงผลักดันเข้าสู่ระบบอุปภัมป์ เพราะเมื่อพลเมืองยืนบนขาขาองตัวเองได้ ก็ไม่ต้องไปถูกเอาเปรียบแบบซ่อนดาบภายใต้รอยยิ้มเหมือนที่เคยเป็นมา

“เมือง” ที่ผมเขียนมานี้ มีขนาดเท่า อบต. ครับ น่าเสียดายที่ อบต. ไปเน้นเรื่องการก่อสร้าง แทนที่จะดูเรื่องชีวิต

Think Globally, Act Locally มีความหมายอะไร?

« « Prev : เครือข่ายพลังบวก

Next : ทำนาโดยใช้น้ำน้อย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

9 ความคิดเห็น

  • #1 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 June 2010 เวลา 17:45

    <_?_?_>

  • #2 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 June 2010 เวลา 23:02

    อ่านแล้ว…เมืองนี้น่าอยู่มากค่ะ

    นอกจากประเด็นเรื่องพื้นที่ระยะทาง ระบบการสื่อสาร และความรู้จริง ที่เป็นจริงและชัดเจนในเมืองเล็ก ๆ แล้ว

    อีกมุมหนึ่ง ไม่ว่าพื้นที่ระยะทางของเมืองขนาดไหน จะใหญ่จะเล็ก หาก Think Globally, Act Locally แล้ว ก็น่าจะเป็นเมืองที่น่าอยู่ได้เหมือน ๆ กัน

  • #3 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 June 2010 เวลา 23:19
    ขนาดของเมืองเล็ก สะท้อนความน่าอยู่ของเมืองในแง่ของการจัดการครับ

    พออะไรใหญ่โตเกินไปแล้ว ผู้บริหารก็ลอยฟ่อง รอแต่รายงาน ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ จะดูหมดก็ไม่ไหว ซ้ำร้าย ออกคำสั่งนโยบายอะไรออกมา ก็เป็นการจัดการโดยใช้ค่าเฉลี่ย ซึ่งไม่ได้สะท้อนข้อจำกัดของแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างมีให้เห็นในทุกกระทรวงครับ

    ทางแก้ก็มีเหมือนกัน คือการกระจายอำนาจและกระจายทรัพยากรออกไป แต่เมืองไทยก็พูดเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วเรากระจายอำนาจและทรัพยากรออกไปได้จริงหรือครับ

  • #4 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 June 2010 เวลา 9:53

    เรื่องการจัดการ การกระจายอำนายและทรัพยากร … เป็นสิ่งที่รัฐพยายามทำ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดหวังและคุยกันไว้มากมาย แต่ทำย่อมดีกว่าไม่ทำเลย

    ให้แต่ทรัพยากร โดยไม่มีอำนาจย่อมเกิดผลทางปฏิบัติน้อย ให้อำนาจแต่ไม่สร้างความรู้ … ก็คือการมอบอาวุธให้คนคนบ้าใบ้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ

    และเมื่อมองลงไปแล้ว ในที่สุดปัญหาก็มาอยู่ที่ปัญหาโลกแตกและคู่กับสังคมไทยตลอดมาคือ  ”ผู้บริหาร” หรือ “ผู้นำ” คนไทยที่เก่งและมีวุฒิภาวะมีเต็มเมือง แต่ท่านเหล่านี้ ไม่ได้มาบริหารและดูแลบ้านเมือง (หากมีคนอย่างคุณหมอจอมป่วนมากขึ้นอีกหน่อย บ้านเมืองก็คงดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว)

    ผู้นำแท้จริงที่มาบริหารบ้านเมือง ก็ต้องต่อสู้ฟาดฟ้นกับระบบ กับความเชื่อ กับวัฒนธรรมเดิม ๆ ของ “การเมือง” จนอ่อนเปลี้ยและถูกกลืนไปในที่สุด

    คุยแล้วเครียด ๆ … ไปดีกว่า

  • #5 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 June 2010 เวลา 12:30
    เมืองไทยมีโครงสร้างแบบรวบอำนาจ และเพราะมีอำนาจรวมศูนย์มาก จึงมีคนโลภตะเกียกตะกายเข้าสู่ศูนย์อำนาจ ทำให้เกิดความไม่ไว้ใจกันทั่วไป เป็นอย่างนี้มานานแล้วครับ

    อยู่ยอดภู มองเห็นแต่ภาพใหญ่ ไม่เห็นรายละเอียดหรอกครับ ออกคำสั่ง-ระบุรายละเอียดไม่ได้ เพราะความจริงได้ถูกตัดตอนด้วยการกลั่นกรองตามลำดับชั้น วางได้แต่ทิศทางแนวทาง นายใหญ่ประเภทรู้ไปหมด ทำเองหมด ไม่ empower คนทำงาน เจ๊งทุกราย; คนปฏิบัติอยู่หน้างาน รู้กำลังตนเอง รู้จักทีมงาน รู้ข้อจำกัด แต่พูดแล้วหายไปกับสายลม กลายเป็นการบ่นกับตัวเองไป เมื่อไหร่จะตระหนักว่าตกอยู่ในวงจรอันชั่วร้ายก็ไม่รู้ครับ

    ประเทศไทยจะบ่ายหน้าไปทางไหน?
    คิดอย่างแตกต่าง

  • #6 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2010 เวลา 0:10

    ถูกใจใช่เลยค่ะ….
    คนปฏิบัติอยู่หน้างาน รู้กำลังตนเอง รู้จักทีมงาน รู้ข้อจำกัด แต่พูดแล้วหายไปกับสายลม กลายเป็นการบ่นกับตัวเองไป

    มีการบ้านตั้งสองข้อ แปะไว้ข้อหนึ่งก่อนค่ะ

    คืนนี้ไปนอนให้สมองซึกซ้ายได้ทำงานเรียบเรียงความคิดก่อน

    วันหลังขอข้อสอบผ่อนคลาย ๆ ให้ได้ใช้สมองซีกซ้ายบ้างนะคะ


  • #7 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2010 เวลา 0:16

    ฮา ๆ ง่วงจริง ๆ

    วันหลังขอข้อสอบผ่อนคลาย ๆ ให้ได้ใช้สมองซีกซ้ายบ้างนะคะ หมายถึง
    ขอการบ้านผ่อนคลาย ๆ ให้ได้ใช้สมองซีกขวาบ้างนะคะ


  • #8 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2010 เวลา 0:44
    ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขียนอะไรหนักเกินไปหรือผิดปกติเลยนะครับ คิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น ถ้าผู้อ่านคิดว่าไม่ใช่ ก็(คง)แย้งมาเอง ผมจะได้แลกเปลี่ยนและเรียนไปด้วย
    ยิ่งกว่านั้น บันทึกแบบผ่อนคลาย ก็มีท่วมเน็ตแล้วครับ

    ตอนนี้เอาบันทึกสุ่มแสดงมาแปะไว้ใน sidebar เรื่องที่เคยเขียนไว้ คงมีบ้าง

  • #9 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 June 2010 เวลา 10:48

    อ่านบันทึกของคุณ Logos ไม่คิดไม่ได้ค่ะ เพราะน่าคิดตาม (เสียด้วยซี)
    น่าจะเป็นลักษณะส่วนตัวของแต่ละคน

    บางบันทึกอ่านแล้วบีบสมอง เพราะมันสร้างคำถามใน “หัว” ขึ้นมาเอง ซึ่งบางทีบางเรื่องบางอย่างก็อาจไม่จำเป็นต้องมี “คำตอบ” ทุกครั้ง ไม่งั้น คงเหนื่อยตายพอดี 

    ความจริงอ่านอะไร ไม่คิดไม่ได้อยู่แล้ว ไม่คิดตามที่อ่านแล้วจะรู้เรื่องที่สื่อได้ยังไง  ฮา ๆ

    ส่วนตัวชอบเรื่องเบา ๆ แต่มีสาระ ไม่ชอบเรื่องหนัก ๆ ที่มีสาระ เพราะรู้สึกว่า ชีวิตมันก็มีเรื่องให้คิดหนัก ๆ มากอยู่แล้ว

    ขอบคุณบันทึกสุ่มแสดงค่ะ มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อ่านแล้วก็สนุกดี ได้ความคิดโดยไม่รู้ตัวด้วย คิดไปถึงที่ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุลท่านบอกว่า คนเราจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในภาวะผ่อนคลายสบายใจ….จริงแท้เลย

    ;)


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.62374997138977 sec
Sidebar: 0.60338401794434 sec