เฮฯ หก: เบื้องหลังภาพถ่ายที่เอามาอวด
อ่าน: 5354ก็ไม่เชิงเป็นภาพส่งประกวดหรอกนะครับ กล้องเก็บความทรงจำ กล้องใหญ่บางทีก็เก็บรายละเอียดได้มากกว่า (ปลอบใจตัวเองให้สมกับที่แบกไป) ไม่ได้ซีเรียสกับการประกวดภาพถ่ายหรอกครับ แต่อยากบันทึกเหตุการณ์ไว้กันลืมเท่านั้น
เหตุการณ์แรก “อุบัติเหตุน้ำมูกช้าง”
เช้าวันที่ 4 ธ.ค. เป็นโปรแกรมล่วงหน้าระหว่างรอพลพรรค มาพบกับทีมวงน้ำชาที่ห้องนั่งเล่น คุณเบิร์ด พาครูบา ป้าจุ๋ม พี่ตา น้องจิ กับผม ไปปางช้างกะเหรี่ยงสามัคคี; ไม่รู้ว่าสามัคคีอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นได้ว่าอยู่ร่วมกันหลายเผ่าพันธุ์
ป้าจุ๋ม น้องจิ ขึ้นช้างแก่ พี่ตาขึ้นช้างหนุ่ม ไปเที่ยวกัน ที่เหลือก็ซื้อกล้วยอ้อยเลี้ยงช้าง ดูงูเหลือม แล้วไปนั่งคุยกันริมน้ำ รออีกสามท่านจับตั๊กแตนเสร็จ
ตอนเลี้ยงช้าง ผมอยากได้ภาพช้างยื่นงวงมาหากล้อง ก็เลยยื่นอาหารให้ช้างยื่นงวงมาเอา พอกล้วยกับอ้อยหมด ช้างไม่รู้ หรือคิดว่ากล้องผมเป็นอาหารก็ไม่รู้ เลยยื่นงวงมาจะเอาอีก แล้วก็ แ-ผ-ล-ะ
งวงมาแปะอยู่ที่ฟิลเตอร์เลนส์ของผม แถมมีน้ำมูกเป็นเมือกๆ ด้วย รูปทางซ้ายเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนที่เหตุการณ์สยดสยองนี้จะเกิดขึ้น
โมโหก็โมโห ขำก็ขำ แต่ไม่ได้โทษช้าง เป็นเพราะเราประมาทเอง ยืนใกล้เค้าเกินไปเอง
ครูบาถ่ายเบื้องหลังไว้ได้ด้วยเป็นภาพทางขวาครับ
1.เก็บกล้อง 2.หยิบกล้วย 3.ถ่ายรูป 4.เอาอีก 5.ภัยมาไม่รู้ตัว 6.เละ
จากปางช้างแล้ว ฝ่ายโภชนาการ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์เลี้ยงข้าว จากนั้นไปพิพิธภัณฑ์อูบคำ บ้าน อ.ถวัลย์ ดัชนี แล้วก็ไปห้องนั่งเล่นในตอนเย็น
เหตุการณ์ที่สอง “แสงและเงา กับพระอุโบสถวัดพระธาตุผาเงา”
ในวันที่ 5 ธ.ค. เฮฯ หก เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เราเที่ยวในเวียง เก็บได้ 4 ในเจ็ดสถานที่ท่องเที่ยวอะเมซิ่งเชียงรายคือ รอยพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช วัดพระแก้ว และวัดร่องขุน กลางวันกินข้าวที่ศูนย์เรียนรู้ บ.สันกอง ที่แม่จัน จากนั้นไปเชียงแสน
ถึงเชียงแสน เจ้าภาพเตรียมรายการไว้ต้อนรับเต็มเหยียดโดยปิดเป็นความลับ แบบที่ไม่มีใครรู้อะไรล่วงหน้าเลย (ลับหรือว่าไม่ชัวร์ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าออกมาดีและเนียนก็แล้วกันครับ)
บ่ายเราใช้รถไฟฟ้าขับดูเมืองเก่า โดยมี อ.มิติเป็นผู้บรรยายอย่างได้อรรถรส ส่วนพี่เหลียงก็โทรศัพท์ตลอดเวลา ฮาๆๆๆ แล้วก็ไปล่องแม่น้ำโขง ขึ้นฝั่งไปดูป่าชุมชนที่ศูนย์พัฒนา บ.สะโงะ
|
เสร็จแล้วกลับมากินขันโตกที่เทศบาลจัดเลี้ยงเราเป็นคณะแรก มีการแสดงฟ้อนจากน้องๆ โรงเรียนแม่สายอะแคดิมี แล้วก็ไปจุดโคมลอยและค้างคืนกันที่วัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน (ซึ่งเป็นอะเมซิ่งเชียงรายแห่งที่ห้าที่แวะไป) — ช่วงวันนี้ มีรูปเยอะเนื่องจากเป็นวันแรก memory กล้องยังเยอะอยู่ ผมไม่แสดงรูปนะครับ จะได้แบ่งกันเลือกรูปมาประกวดได้ไม่ซ้ำกัน
วัดพระธาตุผาเงานี้ เป็นอะเมซิ่งเชียงรายแห่งที่ห้า มีพระธาตุสามองค์ เป็นสถานที่สัปปายะ พระอุโบสถอยู่ช่วงกลางเขา และที่พักของเราก็อยู่ตรงนั้น เรามาจุดโคมยี่เป็งกันใกล้พระอุโบสถ
รูปโคมลอยคงจะมีสมาชิกถ่ายกันมาเยอะ เปิดโอกาสให้แสดงฝีมือนะครับ เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน พระจันทร์สวย เวลาพระจันทร์ไปแล้ว ฟ้ามืด ดาวสวยกว่า
ตอนหัวค่ำ ผมถ่ายรูปพระอุโบสถกับพระจันทร์มา เห็นขอบเงาของโบสถ์ลางๆ (ISO 3200 f/4.5 1 sec ไม่มีขาตั้ง)
ตกดึก อยากได้ภาพดาว กับหลังคาโบสถ์ จึงไปเอาขาตั้งกล้องมาถ่าย แต่คิดได้ว่าก็ไม่ได้รายละเอียดของหน้าบัน นึกขึ้นได้ว่ามีไฟฉายเล็กๆ ขนาด 7 ซม.อยู่ในกระเป๋ากล้อง จึงลองเอาไฟฉาย (ในรูปทางซ้ายมือ) ส่องดู
ได้ภาพแปลกดีครับ (ISO 720 f/3.5 10 sec) ภาพแรกข้างล่าง ลองฉายดู แต่แสงกลับเป็นจุด สว่างไม่สม่ำเสมอ ภาพต่อมาจึงลองฉายกวาดไปทั่วๆ ดู ได้สองภาพก็พอใจแล้ว ประกอบกับกลัวผีด้วย คุยกับตาหยูอยู่ดีๆ หายไปไหนก็ไม่รู้ เลยเข้าไปอาบน้ำนอน
ตื่นเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ออกมาถ่ายอีก ใช้วิธีเดิม ภาพแรกกวาดไฟไม่เร็วพอ (ISO 3200 f/3.5 10 sec) ภาพหลังกวาดแสงเร็วขึ้น (ISO 800 f/3.5 10 sec) เมื่อ ISO สูง noise ก็เยอะไปด้วย จึงต้องระวังเรื่องแสง
เหตุการณ์ที่สาม “หมารับแขก”
วันที่ 6 ธ.ค. ความจริงเราตื่นสายได้ แต่ก็รีบตื่นกันแต่ไก่โห่ จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปกราบท่านเจ้าอาวาสด้วย กินข้าววัดแล้วไปเที่ยววัดพระธาตุจอมกิตติ วัดพระธาตุปูเข้า ดอยสามมุมเมือง พระธาตุดอยเวา (หนึ่งในอะเมซิ่งเชียงรายที่แม่สาย)
จากนั้นก็ขึ้นดอยแม่สลอง ทางคดเคี้ยวจนรู้สึกสงสารคนนั่งข้างหลังมาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง จริงๆ นะ
อดีต ส.ว.เตือนใจ ดีเทศน์ (พี่แดง) แห่งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ที่เราตั้งใจจะแวะไปเยี่ยม เลี้ยงข้าวกลางวัน แล้วก็มาดื่มกาแฟและคุยกันต่อ ท่านจอมป่วนเลี้ยงมื้อนี้ พี่แดงเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์ครับ ขอบอก
ที่ร้านกาแฟนี้ มีหมาน่ารักอยู่ตัวหนึ่ง เค้าว่าเป็นดาราของร้าน แต่เท่าที่กวาดดูรูป ซึ่งผมเป็นคนรวบรวม ไม่เห็นว่ามีใครถ่ายมา ตอนถ่าย เค้าอยู่ใต้เก้าอี้ครับ มุดลงไปถ่าย
แล้วเราก็ไปมูลนิธิ พชภ.กัน ฟังพี่แดงเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ช่วงนี้ ระดมทุนได้ยากขึ้นมาก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ message ที่ว่าการเป็น NGO ต้องทุ่มเททั้งชีวิต ไม่ใช่ทำเล่นๆ งานเสร็จก็จากไป แล้วเราก็เดินดูสถานที่กัน จากนั้นมีการแลกเพลงกันหนึ่งเพลง ระหว่างน้องจิ กับป้าเฉลา
คืนนั้น เราลงมาจากดอยแม่สลอง มาพักที่ณัฏฐิพลรีสอร์ท นั่งคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ คือรู้สึกจะไม่มีหัวข้อ ผลัดกันทีละคน แต่ก็ลื่นไหลไปเรื่อย จนสองยาม ก็ออกไปจุดโคมยี่เป็งอีกครั้งหนึ่ง แล้วเล่นไฟเย็นเพื่อถ่ายรูปด้วย
เหตุการณ์ที่สี่ “อาผร่อ”
เช้าตรู่วันที่ 7 ธ.ค. ไปตักบาตร “พระขี่ม้า” ที่วัดป่าอาชาทอง คนเยอะ ชื่อเป็นวัดป่า แต่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง ไม่พูดดีกว่า
กลับจากวัด รอจนสายๆ น้าอึ่งอ๊อบกับน้องสาวก็มา เหลือเชื่อและทรหดจริงๆ หลังจากทักทายกันอย่างนัวเนีย ก็เดินทางไปวัดพระธาตุดอยตุง อะเมซิ่งเชียงรายแห่งที่เจ็ด และแห่งสุดท้ายที่เราไปเยี่ยม จนครบถ้วน นั่งล้อมวงกินข้าวกันที่ลานในวัด
พอลงมา ก็ไปสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง (ดอยช้างมูบ) อยู่ชายแดนประเทศไทย ภูมิประเทศเป็นเขา แต่มีทางเดินสะดวก ระยะทางประมาณ 4 กม. มียอดดอย ระดับ 1,509 ม. สูงที่สุดในจังหวัดเชียงราย เป็นจุดบรรจบของสันปันน้ำไทย-พม่า ส่วนแผ่นดินลาวเห็นอยู่ลิบๆ เดินขึ้นไปถึงลานอาทิตย์อัสดง จะได้เหงื่ออย่างแน่นอน แม้ครูบาจะทำท่าท้อแท้ แต่ใจสู้จริงๆ
เมื่อเดินไปจนเกือบสุดทาง ผมพบกับ “อาผร่อ” ผู้ดูแลสถานที่ พูดจากันเพียงประโยคที่สอง แกถามผมว่า “เพ่อเคอมาเหลอ” ผมก็บอกว่า “ใช่ครับ”
เท่านั้นแหละครับ แกกุลีกุจอ ลากไปดูกุหลาบพันปี บอกว่าเอาพันธุ์มาจากพม่า แล้วไปเปิดน้ำ “ธารน้ำพระทัย” ให้ — ธารน้ำพระทัยนี้ เดิมเป็นน้ำผุดขึ้นบนยอดเขา ปัจจุบันเข้าใจว่านำเข้าถังเก็บไว้ ไม่ปล่อยให้ไหลทิ้งไปอย่างไร้ค่า
อาผร่อ ชาวอาข่า มีชื่อไทยว่าพิชัย วิเศษพุทธศรี ภรรยาคนปัจจุบันเป็นคนที่สาม แกมีความภูมิใจในความเป็นคนไทยมาก ภูมิใจที่มีบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด เคยเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ สมเด็จย่าซึ่งเคยเสด็จพระราชดำเนินขึ้นมาที่ยอดดอยนี้ครั้งหนึ่ง เพลงที่จะให้ฟังข้างล่างนี้ อาผ่อ เคยร้องถวายให้สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ สองครั้ง
รูปแกไม่ได้สวยตรงไหนเลย แต่สิ่งที่อยู่ภายในใจแก เป็นสิ่งที่สวยงามและยิ่งใหญ่ครับ แกรักและภูมิใจในสิ่งที่แกทำ แกเป็นคนไทยมากกว่าหลายๆ คน
ลงจากดอยตุง เรากลับเข้าเมืองไปร้านข้าวต้มมีนา แล้วก็ไปห้องนั่งเล่นอีกรอบหนึ่ง
เหตุการณ์ที่ห้า “พ่อขุนเม็งรายมหาราช”
เช้าวันที่ 8 ธ.ค. หลังจากที่เฮฯ หก จบลงอย่างเป็นทางการเมื่อคืนก่อน ท่านจอมป่วนและครอบครัวที่น่ารัก ก็แยกไปเชียงใหม่ เหลือแต่คณะมาก่อน กลับทีหลัง ระหว่างรอเวลาเครื่องบินจึงมีโปรแกรมแถม ซึ่งคุณเบิร์ดพาไปวัดงำเมือง ไปกราบพระบรมอัฐิของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ผู้รวบรวมอาณาจักรล้านนาให้เป็นปึกแผ่น มีประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนา จากลูกหลานอาณาจักรล้านนาแถมให้ด้วยครับ
23 ความคิดเห็น
ชอบภาพช้างมากครับ จังหวะดีเลย
ภาพถ่ายกับหลังคาโบสถ์ idea ดีมากครับ…
ส่วนหลังคาโบสถ์ เมื่อถ่ายตรงๆ ไม่ได้ ก็ต้องประยุกต์ตามสถานการณ์ครับ ดูภาพ full resolution แล้วไม่ค่อยชัดเพราะแสงน้อย แล้วไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ด้วย แต่พอย่อลงมาแล้ว พอดูได้
ผมชอบภาพถ่ายหลังคาโบสถ์กลางคืนที่มีพระจันทร์ นึกแล้วว่าภาพนี้จะออกมาอย่างไร ผมพยายามถ่ายอยู่ แต่ไม่ได้เรื่อง คนถ่าย(พี่เอง)น่ะดีอยู่นะ แต่กล้องไม่ดี อิอิ
เจอขี้มูกช้าง ระวังไข้หวัดช้างนะครับพี่ อิอิ..
เล่าเรื่องได้ดีมากมีภาพประกอบต่อเนื่องทำให้อยากติดตามมากครับ ขอบคุณมาก และเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมด้วย
เหมือนพูดจาซ้ำซาก แต่ผมต้องขอขอบคุณเจ้าภาพทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณมากๆ สำหรับการเตรียมการอันไม่ขาดตกบกพร่องเลย ในโปรแกรมอันยาวเหยียดขนาดนี้ ทั้งที่มีคนน้อย แต่สามารถเคลื่อนย้ายคนหมู่มากไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งอาหาร ที่พัก ข้อมูล แหล่งศึกษาหาความรู้ พาหนะ ลมฟ้าอากาศ พร้อมทั้งยาได้อย่างสมบูรณ์ครับ
อิอิ
ชอบภาพอุบัติเหตุจากช้างมากเลยค่ะ ดีที่แปะแล้วเค้าไม่จามแถมด้วยนะเนี่ย 555
^ ^
เห็นเบื้องหน้า เห็นเบื้องหลัง เห็นคนเป็นไทย เห็นคนไทยใจไทย เห็นน้ำใจ ความรัก ความผูกพัน แห่งผองเพื่อนพ้องน้องพี่ ……………..เสียดายไม่ได้ไป
ที่บอกว่าเสียดายนะ….น้องหนิงเขากำลังให้สัญญาว่า คราวหน้าจะหาโอกาสไปให้ได้ค่ะ….เข้าใจเสียใหม่นะน้อง….มาขำ…ขำ…คนที่มีแรงจูงใจจะไปเชียงราย…ที่ไม่ยอมเอาเรื่องที่เป็นแรงจูงใจให้อยากไป๊อยากไป…มาเล่าเลยอ่ะ….ครอกฟี้….ครอกฟี้….ครอกฟี้….เสียงใครไม่รู้…มั๊ยละ….พบแล้วรึยัง…กับความหมาย…..ความรู้สึกปลอดภัยที่แท้น่ะ…
แวะมาขอบคุณในความกรุณาที่จัดรถให้ได้ไปเชียงรายดยไม่ให้คนแก่ลำบากใช้บริการสาธารณะค่ะ….ขอบคุณหลายๆๆๆเด้อ
ดีครับ เรื่องคราวหน้า ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นที่ไหน แต่ถ้าตั้งใจจะไปไว้ก่อน ก็ดีครับ
ก่อน เฮฯ หก ผมไม่เคยไปเฮฮาศาสตร์หรอกครับ เคยไปสวนป่าครั้งเดียว แถมยังไม่ได้ใช้แซ่เฮด้วย ตอนนี้เมื่อลาออกจากงานประจำ ก็ไม่มีข้อจำกัดมากเหมือนเดิมแล้ว จึงตั้งใจจะไปให้ได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงกำหนดการอย่างไร ก็จะพยายามไปครับพี่ ความตั้งใจนี้เป็นแรงจูงใจอันแรก
โชคดีที่เพื่อนร่วมงานเก่า เป็นหุ้นส่วนในบริษัทรถตู้ เคยใช้บริการไปสำรวจกฐินและไปทอดกฐินปีนี้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้รถเพราะยืนยันกับเขาเย็นวันที่ 2 เพื่อที่จะเดินทางเช้าวันที่ 3 หลังจากครูบาโทรมาบอกว่ารถทัวร์เต็มหมดทุกบริษัทครับ แล้วเป็นช่วงวันหยุดยาวด้วย — เค้าควรจะรับงานได้อีก ก็เลยเป็นเหตุให้ไม่สามารถแวะไปลำพูนได้เพราะเวลาไม่พอ จะต้องปล่อยรถกลับ โดยที่คนขับรถได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่กลับถึงกรุงเทพในวันที่ 4
โดยความสัตย์จริง ผมก็ไม่คิดว่าจะรอดตลอดทริปหรอกครับ แล้วไม่อยากเป็นภาระกับกลุ่มอีกด้วย — อาจเป็นอานิสงส์ของการออกกำลังกายมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งแม้จะหยุดไปตั้งแต่ตุลาคมเนื่องจากเป็นไข้หวัด ต่อกับการไปหกล้มมาที่น้ำตก คงยังพอมีเชื้ออยู่บ้าง เดินได้วันละหลายกิโล ไม่มีปวดเมื่อย (เดินไม่เจ็บ เจ็บเฉพาะตอนนั่งเก้าอี้แคบนานๆ) หรือไม่ก็เป็นเพราะโดนบังคับให้กินยา หรือทั้งสองอย่างครับ
ที่ห้องนั่งเล่น หลับได้ทั้งสองครั้ง แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แต่ได้ประเมินหลักของวงน้ำชาไว้แล้วครับ บอกเพื่อนร่วมงานไปแล้วว่าน่าจะส่ง HR และผู้บริหารระดับสูงผลัดกันไปเรียน หรือไม่ก็ขอร้องท่านจอมป่วน หรืออาจารย์ไร้กรอบมาจัด workshop ให้; ใจผมอยากให้ไปเรียน แต่ให้แยกกันไป จะได้ไม่ติดกรอบ ติดตำแหน่งหน้าที่ ค้นพบตัวตนที่แท้จริง — สำหรับพนักงานส่วนใหญ่ ถ้าได้เป็นโรงเรียนพ่อแม่มา ก็จะดีมากเลยนะครับ — บอกไปแล้ว จะไปหรือไม่ไป ก็หมดหน้าที่ที่ปรึกษาแล้วครับ
พี่บอกอยากจะรู้ motive ก็เล่าให้ฟังแล้วครับ วงน้ำชานี่แหละเป็นเป้าหมายใหญ่อันหนึ่ง แต่ผมหลับเพราะเหนื่อย และไม่ได้สนใจคำตอบที่คุยกัน เนื่องจากได้สังเกต process เงียบๆ ไปเรียบร้อยแล้ว คำตอบที่คุยกัน ยังไงก็ไม่ใช่คำตอบสำเร็จ จะต้องคุยกันต่อในรายละเอียดอีกครับ ไม่ต้องรีบร้อนหาข้อสรุป รอให้เกือบสุกก่อนก็ได้ครับ การรีบสรุป นำไปสู่การฟันธงและตัดทางเลือกออกไป ซึ่งถ้าผิดทาง จะน่าเศร้ามาก
ส่วนในโปรแกรม เฮฯ หก วันที่ 5-7 เป็นเวลาพักผ่อนของผมนะครับ เป็นเป้าหมายอีกอันหนึ่ง ผมดีใจที่ได้พักอย่างนี้ สนุกและประทับใจมากครับ ผมเพิ่งไปเชียงราย-เชียงใหม่มาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เอง (เจอน้าอึ่งอ๊อบโดยบังเอิญที่วัดพระสิงห์ด้วย) รูปนี้แม่ถ่ายให้ที่สวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง ถึงกระนั้น แม้บางที่เพิ่งจะไปมา ก็ชอบไปอีกแบบหนึ่งครับ ไม่เหมือนกับการไปกับพ่อแม่ซึ่งผมมีหน้าที่ของลูกติดไปด้วย เที่ยวคราวนี้ สนุกได้ดังใจ เป็นตัวของตัวเองได้ตามสบาย แล้วก็สบายได้สมใจ
ส่วนแรงจูงใจอื่น อิอิ ครับ อิอิ
บันทึกนี้ได้ทั้งอ่าน ดูภาพ ดูคลิ๊ป เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยค่ะ
ช้างอะไรจมูกโตจัง อิอิ
-ป้าจุ๋มชอบภาพที่วัดผาเงาที่ถ่ายตอนกลางคืน(ภาพด้านขวาค่ะ) ดูสวยๆซึ้งๆดีเห็นดาวด้วย บรรยากาศปล่อยโคมคืนนั้นไม่อยากจะบรรยายให้คนที่ไม่ได้ไปอิจฉา…
-ขี่ช้างกับหลานจิวันนั้นทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆเข้ามาเรียนม.ปลายที่กรุงเทพฯเวลาปิดเทอมต้นต้องนั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปลงที่จ.บุรีรัมย์แล้วคุณพ่อส่งช้างมารับลูกสาวกลับบ้านที่อ.สตึกใช้เวลาเดินทางอีกเกือบครึ่งวัน นั่งช้างโยกไปโยกมาจนเอวกิ่ว(ตอนนั้นรอบเอวป้าจุ๋ม 23 นิ้วเท่านั้นแต่ปัจจุบันตัวเลขรอบเอวแค่เปลี่ยนตำแหน่งกัน อิ.อิ )
-ความตั้งใจและมีเป้าหมายชัดเจนนำมาซึ่งความสมหวังทุกประการจ้า…
-ขอให้พี่น้องแซ่เฮทุกท่านโชคดี สุขสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจทุกประการ ป้าจุ๋มรักและคิดถึงเสมอจ้า…
ชอบภาพช้างกับหลังคาโบสถ์ตอนกลางคืนครับ แต่ที่ชอบที่สุดคือภาพที่ได้รู้จ้กกับรอกอดครับ
ดูเหมือนรอกอดคิดเหมือนพี่นะนี่ กับเรื่องของวงน้ำชา ก่อนไปวงน้ำชาครั้งแรกที่อยากไปนะ พี่อยากรู้ process ของเขาเหมือนกัน ครั้งแรกที่ไปกับจอมป่วนนะ ไปครั้งแรกก็ได้รู้เห็นและเกิดความเข้าใจระดับหนึ่งขึ้นมา แล้วต่อมาก็ไปสัมผัสซ้ำโดยลงมือเป็นลูกศิษย์ซะเอง ด้วยคิดว่าการแค่มองแล้วรับรู้กับการได้ลงมือทำแล้วรับรู้นะ การเรียนรู้มันต่างกันมากๆในเรื่องของระดับความเข้าใจที่เกิดจากการเรียน ไปแล้วสองครั้งทำให้ได้ข้อสรุปบางอย่างเกี่ยวกับ process ของเขา และนำมาซึ่งการได้แลกเปลี่ยนต่อๆมากับทีมเชียงใหม่ ข้อสรุปของพี่ที่ได้คือ กระบวนกรควรมีความเข้าใจสไตล์ของการเรียนรู้ของคน กระบวนกรจึงจะสามารถช่วยพัฒนาคนให้เขาได้แก่นที่เป็นหลักยึดของตัวตนเขาเอง แล้วสุดท้ายองค์กรจะได้ประโยชน์จากการพัฒนาตัวตนของเขาที่องค์กรได้ผลพลอยได้จากการแค่ “ให้โอกาสเข้าถึง”
ที่แซวนะเพราะอยากรู้ว่าสนใจมุมไหนของวงน้ำชาค่ะ สำหรับพี่การที่ได้ไปอีกครั้ง พี่พอใจตรงที่ได้กลับไปเยี่ยมพี่ชายคนหนึ่งและเด็กๆที่เป็นคุรุแลกเปลี่ยนความรู้มาให้ การพูดคุยในคืนนั้นทำให้พี่ได้รับรู้ถึงความฝันในบางมุมที่วงน้ำชากำลังก้าวเดินต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องดีๆที่คนในวงการสุขภาพอย่างพี่ได้ยินแล้วดีใจค่ะ เพราะผลพวงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดียวกันคือ “ช่วยคน” ไม่ว่าจะเป็นด้วยมุมใด
ผ่อนคลายนะดีแล้วค่ะ เพราะนั่นแหละการพักผ่อนที่เต็มที่ ปล่อยตัวตนออกมาเต็มที่อย่างที่อยากปล่อยออกมา พื้นที่ในกลุ่มเฮมีความพิเศษอยู่ตรงที่ผ่อนคลาย ไม่มีเปลือกติดมากั้นระหว่างกันนี่แหละค่ะ
อันนี้ก็ยอมรับว่าตกใจครับ ลองนึกดู งวงจิ้มเลนส์ ทำให้กล้องจิ้มหน้า พอโผล่มาดูหน้ากล้อง แหวะ ใครจะไปมีกะใจถ่ายรูปล่ะครับ กล้องใหม่ซะด้วย เลยต้องรีบไปเช็ดเลนส์ ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกหรือเปล่า โปรแกรมเฮฯหกยังไม่เริ่มเลย เพราะพวกที่ไปถึงก่อนไปเที่ยวกันนอกโปรแกรมกัน
[...] ลานซักล้าง » เฮฯ หก: เบื้องหลังภาพถ่า… lanpanya.com/wash/archives/464 – view page – cached โดย Logos เมื่อ 9 ธันวาคม 2008 เวลา 20:15 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต # อ่าน: 854 [...]
[...] เฮฯ หก [...]