ความปรารถนาดีอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไร

โดย Logos เมื่อ 19 May 2011 เวลา 2:51 ในหมวดหมู่ สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 2997

เมื่อตอนเกิดสึนามิขึ้นปลายปี 2547 ต้นปี 2548 ก็มีคุณหญิงคุณนายลงไปในพื้นที่ เอาของไปแจกผู้ประสบภัยเยอะแยะ แต่จะไปแจกเฉยๆ เพื่อถ่ายรูป ก็ดูกระไรอยู่ บรรดาไฮโซจึงสำรวจความเสียหาย โอภาปราศรัย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามมารยาท คำถามยอดนิยมออกมาในแนว เป็นอย่างไรบ้าง? ใครลงไป ก็ถามคำถามแนวนี้ โดยไม่รู้หรอกว่าคำถามในแนวนี้ hurt มากกว่า help

ทุกครั้งที่ผู้ประสบภัยเล่าถึงความสูญเสีย เขาก็คิดย้อนกลับไปถึงการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เครื่องมือทำกินบ้านช่องทรัพย์สินเงินทองมลายหายไปหมด — มีชาวบ้านที่สูญเสียสมาชิกของครอบครัวไปทั้งหมด บ่นให้ฟังว่า ลงมาสิบคณะ ทั้งสิบคณะถามแบบเดียวกันหมด พ่อแม่ภรรยากับลูกผมตายสิบเอ็ดครั้ง… ตายจริงครั้งเดียว แต่อีกสิบครั้ง ตายเมื่อผู้ประสบภัยต้องนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ เพื่อที่จะเล่าเรื่องให้ฟัง

แต่ถ้ามองในแง่ของความช่วยเหลือที่เข้าไปในพื้นที่แล้ว ก็จำเป็นต้องรู้ว่าผู้ประสบภัยต้องการให้ช่วยเหลืออะไรเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นความช่วยเหลือก็จะต้องอาศัยจินตนาการซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงได้

มีสไลด์จากกรมสุขภาพจิต เรื่องผลกระทบทางจิตใจ จากภัยพิบัติ ซึ่งถึงแม้จะว่าเตรียมไว้สำหรับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ที่จะลงปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นหลัก อาสาสมัครที่จะลงไปในพื้นที่ก็ควรศึกษาก่อน เนื่องจากการลงไปทำงานในพื้นที่ ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับผู้ประสบภัยได้ และจะต้องระมัดระวังไม่ไปสะกิด ย้ำ หรือซ้ำเติมแผลในใจอีก

ข้อมูลที่ได้สำรวจมาแล้ว ควรนำมาแบ่งปันกัน เพื่อที่จะไม่ต้องไปถามผู้ประสบภัย(และเปิดแผล)ซ้ำซากครับ

การสื่อสารในสถานการณ์อย่างนี้ เป็นเรื่องที่เปราะบางมาก เป้าหมายของการบรรเทาทุกข์อยู่ที่ผู้ประสบภัย ทำให้เขากลับมายืนหยัดอยู่ด้วยตนเอง มีกำลังเพียงพอที่ฟื้นฟูชีวิตของเขาขึ้นมาใหม่ได้โดยเร็ว… งานบรรเทาทุกข์เป็นงานที่ลำบาก ต้องเสียสละเยอะ เป้าหมายไม่ใช่การได้รับการยกย่อง หรือแสวงหาชื่อเสียงเงินทองโดยอาศัยความทุกข์ยากของผู้คนนะครับ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดีก่อนที่จะทำอะไร ในพื้นที่ประสบภัย อาจจะมีหลายทีมที่เข้าไปทำงานร่วมกัน ข้อมูลต่างๆ จึงต้องนำมาแบ่งปัน ประสานงานกันระหว่างทีมต่างๆ ซึ่งมีความรู้ความชำนาญที่แตกต่างกัน (หรือแบ่งกำลังกันไปทำเพื่อลดความซ้ำซ้อน แล้วนำผล+ความคืบหน้ามาแบ่งปันกัน ร่วมกันทำ ร่วมกันเรียนรู้่)

สไลด์ของกรมสุขภาพจิตชุดนี้ มี 83 สไลด์ ผมเลือกมาเพียงบางส่วน ผู้ที่สนใจของให้โหลดชุดใหญ่ไปศึกษาเองตามลิงก์ที่ให้ไว้ครับ

« « Prev : เขื่อนใหญ่บนรอยแยก

Next : ประชุมเครือข่ายอาสาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ครั้งที่ 4 » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2011 เวลา 7:32

    แล้วทำยังไง เราจะให้บรรดาคุณหญิงคุณนายเหล่านั้น ได้มาอ่านบทความนี้    หรือได้เตรียมตัว  เตรียมการ  เตรียมใจ  ก่อนเอาของไปแจกผู้ประสบภัยอย่างถูกวิธีการ  และเข้าใจเขาจริงๆ ว่าควรจะทำตัวอย่างไร     เพื่อให้ภาพที่มอบของแล้วมองกล้อง  หมดไปจากหน้าหนังสือพิมพ์หรือจอทีวีเสียที

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2011 เวลา 8:02
    สวัสดีครับแม่ใหญ่ คุณหญิงคุณนายคงไม่มาอ่านบล็อกของผมหรอกครับ ผมเขียนทิ้งไว้ตรงนี้เฉยๆ คนไม่อ่านก็ไม่ได้อ่าน ส่วนคนที่อ่านนั้นมาอ่านเอง ผมเพียงแต่หวังว่าผู้ที่ได้อ่านจะเอาไปใช้ได้บ้าง แม้จะไม่ใช่เรื่องบรรเทาทุกข์ก็ตาม ผมจะยิ่งยินดีหากผู้อ่านที่พิจารณาแล้วเห็นด้วย จะเผยแพร่ปรับปรุงแง่คิดแบบนี้ออกไป ไม่จำเป็นต้องอ้างชื่อผมเลยนะครับ [เกี่ยวกับบล็อกนี้]

    บางทีเราทำอะไร มีเป้าหมายชัดเจน เตรียมวิธีการที่คิดว่าดีแล้วไปใช้ แต่สิ่งที่คิดว่าดีแล้วนั้น มีอีกด้านหนึ่งเสมอ-สิ่งที่คิดว่าดีแล้วนั้น อาจจะยังไม่ดีพอ เพราะว่าดีหรือไม่ดี คนอื่นประเมินครับ ถ้าเราประเมินเอง ก็คงดีทั้งหมด แล้วก็จะปรับปรุงให้ดีขึ้นไม่ได้ อิอิ

    เมื่อเราจะไปช่วยผู้ประสบภัย น่าจะเอาผู้ประสบภัยเป็นเป้าหมาย เอาข้อจำกัดของพื้นที่เป็นโจทย์ที่ต้องแก้ครับ… ถ้ายังเอาอัตตาของตัวเองเป็นศูนย์กลาง เช่น ฉันทำแล้วผู้คนต้องยกย่องชื่นชมฉัน สื่อไม่รู้ฉันก็ส่งข่าวไปให้ ฉันเคยมีประสบการณ์มาฉันก็จะทำของฉันอย่างนี้แหละเพราะมันเคยเวิร์ค อย่างนี้ไม่ได้ไปช่วยผู้ประสบภัยนะครับ แต่ไปสงเคราะห์ตัวเองเสียมากกว่า… ภัยทุกภัยแตกต่างกัน มีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับงานทุกงานแตกต่างกัน ถึงจะเป็นงานจำเจซ้ำซาก ก็ไม่เหมือนกันทีเดียวหรอกครับ ถ้าหากมีสูตรสำเร็จ ใช้หุ่นยนต์ทำเป็นสายการผลิตก็ได้ครับ

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2011 เวลา 9:47

    ก่อนที่จะลงไปช่วย เราถูกฝึกและทำความเข้าใจกับข้อมูลเหล่านี้ก่อนค่ะ ไม่งั้นจะใช้”ความเคยชิน”เดิมๆ ไปตรวจ วินิจฉัย และบำบัดรักษา ซึ่งมัน”ไม่ใช่”

    คนไข้ที่ต้องรับยาเนื่องจากมีโรคประจำตัวก็ต้องได้รับยา เพราะยาอาจสูญหาย แต่ไม่ใช่ไปหาโรค ไปเพื่อบอกว่าเขาป่วยทางจิตเวช เพราะในสถานการณ์เช่นนั้น อาการเหล่านี้เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้

    ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าการสื่อสารเป็นเรื่องเปราะบาง การพูดไม่ว่าจะกับใคร อย่างไร ต้องไม่ลืมส่วนละเอียดเหล่านี้ ไม่งั้นเมื่อเราออกมา แล้วหมู่บ้านเขาแตกเป็นเสี่ยง คนที่เคยดูแลกันอยู่ แตกแยกกันหมด มีประโยชน์อะไร?  ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด กลุ่มใด หลังเสร็จการบรรเทาทุกข์แล้วควรพูดคุยกันได้เพื่อหาทางช่วยเหลือกันต่อไป ให้เขายืนได้ด้วยตัวเองนะคะ

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2011 เวลา 10:30
    ขอบคุณหมอเบิร์ดครับ สไลด์ของกรมสุขภาพจิตอาจมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรทางสุขภาพจิต แต่ผมซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายได้อ่านแล้ว กลับเห็นประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย ขยายเป็นบทเรียนการใช้อคติทำงานได้เลยนะเนี่ย (อคติ=อดีต≠ปัจจุบัน)
  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 May 2011 เวลา 13:22

    มีหลายกรณีที่ความปรารถนาดีกลับส่งผลร้ายด้วยครับเพราะแสดงออกด้วยบนพื้นฐานความคิดว่า เราปรารถนาดี แต่ผู้รับไม่อยู่ในอารมณ์ หรือฐาน หรือเงื่อนไข หรือจังหวะที่จะรับความปรารถนาดีนั้นๆ หลายครั้งก็เกิดกับตัวเอง หลายครั้งเกิดกับคนข้างๆ หลายครั้งเกิดกับ เจ้านายกับลูกน้อง พ่อแม่กับลูก ครูกับศิษย์ ฯลฯ

  • #6 ลานซักล้าง » เติมพลังพลเมืองฟื้นฟูประเทศไทย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 December 2011 เวลา 22:21

    [...] ความปรารถนาดีอย่างเดียวไม่ได้ช่วย


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.14263391494751 sec
Sidebar: 0.1591010093689 sec