สมานใจด้วยความดี ปลูกไมตรีในผองชน
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2554 มีงาน Ignite Thailand++ ครั้งที่ 3 ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า
Igniter ท่านแรกคือพระไพศาล วิสาโล ท่านพูดเรื่อง “สมานใจด้วยดี ปลูกไมตรีในผองชน” ซึ่งมีร่างอยู่บนเว็บไซต์ visalo.org
ถอดเสียงพูดด้วยภาษาเขียน
ขอเจริญพรสาธุชนทุกท่าน
คนเรานี่ไม่ได้มีแต่กิเลสและความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว แต่ว่าเรามีความดีงามอยู่ในจิตใจด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในหัวใจของเรา
ความดีนี่ล่ะ ที่ทำให้เรารู้สึกปลื้ม ตื้นตันใจเมื่อเห็นคนอื่นได้ทำความดี และขณะเดียวกันก็ทำให้เรารู้สึกสงสารเห็นใจคนที่เขามีความทุกข์ จนกระทั่งเราอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ แต่ต้องออกไปเพื่อช่วยเหลือเขา แม้จะประสบความทุกข์ยากเพียงใดก็ตาม ความดีนี่ล่ะ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเราได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่นเบียดเบียนผู้อื่น
เราควรจะเปิดโอกาสให้ความดีงามในจิตใจได้เบ่งบานขึ้นมา เปิดประตูใจของเราเพื่อให้พลังแห่งความดีงามนี้ขับเคลื่อนชีวิตของเรา เพื่อเป็นไปอย่างเกื้อกูลผู้อื่น และสิ่งนี้จะทำให้เรามีความสุข ด้วยการที่เราเปิดตัวออกไป ก้าวเข้าไปหาผู้ที่ประสบความทุกข์ ช่วยเหลือเขา รับฟังความทุกข์ของเขา ตลอดจนรับฟังเรื่องราวดีๆ ที่น่าประทับใจ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการบ่มเพาะ หล่อเลี้ยง เพิ่มพูนความดีงามในจิตใจของเรา และทำให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า มีความหมาย
แต่การดึงความดีงามออกมาจากใจของเราอย่างเดียวคงไม่พอ เราต้องพยายามที่จะดึงความดีงามออกมาจากใจของผู้อื่นด้วย ไม่ว่าเป็นคนใกล้ตัวหรือคนที่อยู่ไกล ตลอดจนแม้กระทั่งคนที่อยู่ห่างเหินจากเรา คนทุกคนมีความดีอยู่ในจิตใจ แม้จิตใจเขาจะแข็งกระด้าง แต่ก็มีความอ่อนโยนอยู่ภายใน เหมือนก้อนหินที่ยังมีพื้นที่ให้กับความอ่อนโยน ให้กับต้นกล้าเล็กๆ น้อยๆ
เราสามารถที่จะดึงความดีงาม เชิญชวนความดีงามออกมาจากจิตใจของเขาได้ ด้วยการที่เรานิ่งสงบเมื่อเขากราดเกรี้ยว ยื่นไมตรีให้กับเขาในยามที่เขาหันหลังให้ หยิบยื่นความช่วยเหลือเมื่อเขาประสบทุกข์ และยิ้มให้เขาเมื่อเขามีความสุขหรือได้ทำความดี ตลอดจนชื่นชมเมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ดีงาม
การที่เราระดมความดีงามออกมาจากจิตใจนี่แหละ ของผู้คนมากเท่าไร มันจะกลายเป็นพลัง ในการที่จะขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถทำให้สังคมเกิดความสงบสุขได้
ถ้าหากว่าเราร่วมมือกัน แม้จะมีความแตกต่างกันเพียงใดก็ตาม แต่ความแตกต่างกันนั้นไม่เป็นอุปสรรค หากว่าเรามีความดี ใช้ความดีประสานใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราทำความดีต่อกัน ก็จะทำให้เราเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน สามารถก้าวข้ามความแตกต่างหรือความเกลียดชังกันได้ เมื่อเราร่วมกันทำความดี มันไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดพลังในการสร้างสรรค์สังคมให้สงบสุขเท่านั้น แต่ว่ายังสามารถมีพลังในการเปลี่ยนชีวิตของเราให้มีความสุข
ความสุขนั้น ไม่ได้เกิดจากการที่เราใฝ่เสพใฝ่บริโภค แต่ยังเกิดจากการที่เราทำความดี ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มันทำให้เรามีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความภาคภูมิใจที่ทำใช้ชีวิตของเรามีคุณค่าขึ้นมา ความสุขไม่จำเป็นต้องเกิดจากการที่เราหลบลี้หนีจากผู้คน แต่เพียงแค่เราเข้าไปหาผู้คนและช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ นี่เป็นความสุขที่ทำให้ชีวิตของเราโปร่งโล่ง เบาสบาย เพราะได้ละอัตตาตัวตน เพราะได้ละวางซึ่งความเห็นแก่ตัว
ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าสุขแท้มีอยู่แต่ในงาน แน่นอนว่าต้องเป็นงานที่สร้างสรรค์เกื้อกูลผู้อื่น ความดีงามสร้างสรรค์นี่แหละ ที่จะทำให้เราได้สัมผัสถึงความสุข เป็นความสุขที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ความสุขเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องหนีออกจากโลก
ใช่หรือไม่ว่าในท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น มีความโปร่งโล่ง ในใจกลางความแห่งความวุ่น มีความว่าง นี่คือความว่างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า
ขอเจริญพร
สาธุ (ในงาน ผมเพียงแต่เปล่งเสียงสาธุการโดยไม่ได้ปรบมือครับ)
“We cannot be loving and compassionate unless at the same time we curb our own harmful impulses and desires.” — Dalai Lama
« « Prev : คาถาธรรมบท พุทธวรรค
Next : หลบภัย (1) — แนวคิดเกี่ยวกับภัย » »
1 ความคิดเห็น
สาธุ สาธุ สาธุ