ท่านพุทธทาสฝากไว้
ท่านพุทธทาสเขียนหนังสือ ฟ้าสางระหว่าง ๘๐ ปี อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์ พิมพ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ในโอกาสครบรอบอายุ ๘๐ ปี โดยมีมรดกธรรม ๑๘๙ ข้อ ที่ท่านฝากไว้ให้แก่ชาวพุทธสืบทอดต่อไป หนังสือแบ่งเป็นสองภาค คือมรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายวัตถุธรรมและพิธีกรรม กับมรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายนามธรรมและสติปัญญา
คำนำ
ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร ที่จะฝากไว้กับเพื่อนพุทธบริษัท ผู้เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย นอกจากสิ่งที่ระบุไว้ในข้อความข้างล่างนี้ ด้วยความหวังว่า ถ้ายังมีการสืบมรดกนี้อยู่เพียงใด กิจกรรมสวนโมกขพลาราม ก็จะยังคงมีอยู่ตลอดกาลนานเพียงนั้น และ “พุทธทาส” ก็จะยังคงมีอยู่ในสถานที่นั้นๆ ตลอดกาล เพียงนั้นขอได้โปรดรับพิจารณากันเสียแต่บัดนี้ ซึ่งจะเป็นการง่ายในการสืบมรดก ดังกล่าวขอให้ถือว่า เป็นมรดกธรรมแก่บรรดาเพื่อน ผู้มอบกาย ถวายชีวิต ในการสืบอายุพระศาสนา เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลกเถิด มิได้เป็นเรื่องส่วนบุคคลแต่ประการใด.
ข้างบนเป็นลิงก์ต้นทาง แต่ผมเอามา markup (format) ใหม่โดยไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาตัวสะกดของภาษาโบราณนะครับ แต่พบว่ามีพิมพ์ผิดเยอะเหมือนกันซึ่งได้แก้ไขไปแล้ว หากจะดูต้นฉบับ ก็ขอให้คลิกลิงก์ข้างบน
มรดกที่ ๑. ทุกคนสามารถเป็นพุทธทาสได้ ถ้าเขาต้องการโดยบริสุทธิ์ใจ คือรับใช้ในการเผยแผ่พุทธศาสนา ด้วยการทำตัวอย่างในการปฏิบัติให้ดู มีความสุขให้ดู จนผู้อื่นพากันทำตาม
มรดกที่ ๒. ปณิธาน ๓ ประการ ควรแก่ผู้ที่เป็นพุทธทาสทุกคน ถือเป็นหลักในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลก คือ
๑. พยายามทำตนให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ
๒. พยายามช่วยกันถอนตัวออกจากอำนาจของวัตถุนิยม
๓. พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
มรดกที่ ๓. ปณิธานข้อแรก คือ การทำให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดการปฏิบัติดี-ตรง-เป็นธรรม-สมควรแก่การหลุดพ้น เพื่อสนองพุทธประสงค์โดยตรงได้อย่างแท้จริง
มรดกที่ ๔. ปณิธานข้อที่สอง คือ การทำโลกให้ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม หรือรสอันเกิดจากวัตถุทางเนื้อหนังนั้น ควรเป็นกิจกรรมแบบสหกรณ์ ของคนทุกคนในโลกและทุกศาสนา เพื่อโลกจะเป็นโลก สะอาด-สว่าง-สงบ จากสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มรดกที่ ๕. ปณิธานข้อที่สาม คือ การทำความเข้าใจระหว่างศาสนานี้เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพราะโลกนี้ต้องมีมากศาสนา เท่ากับชนิดของคนในโลก เพื่อจะอยู่ร่วมโลกกันได้โดยสันติ และทุกศาสนาล้วนแต่สอนความไม่เห็นแก่ตัว จะต่างกันบ้างก็แต่วิธีการณ์เท่านั้น
มรดกที่ ๖. สวนโมกข์ คือ สถานที่ให้ความสะดวกในการเป็นเกลอกับธรรมชาติ ทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ, ควรจัดให้มีกันทุกแห่งหน เพื่อการศึกษาธรรมชาติโดยตรง, เพื่อการรู้จักกฏของธรรมชาติ, และเพื่อการชิมรสของธรรมชาติ จนรู้จักรักธรรมชาติซึ่งล้วนแต่ช่วยให้เข้าใจธรรมะได้โดยง่าย
มรดกที่ ๗. สวนโมกข์ คือ มหรสพทางวิญญาณ เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีสำหรับสัตว์ที่มีสัญชาตญาณแห่งการต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจ อันเป็นปัจจัยฝ่ายวิญญาณ เพิ่มเป็นปัจจัยที่ห้าให้แก่ ปัจจัยทั้งสี่อันเป็นฝ่ายร่างกาย, ขอให้ช่วยกันจัดให้มีขึ้นไว้สำหรับใช้สอย เพื่อประโยชน์ดังกล่าวแล้วแก่คนทุกคน.
มรดกที่ ๘. สวนโมกข์นานาชาติ สำหรับแสงสว่างทางวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ ต่างชาติ ต่างภาษา โดยเฉพาะ, เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมา เมื่อมองเห็น คนเหล่านั้นดิ้นรน เสาะแสวงหา เพื่อให้พบตัวของตัวเอง. ขอฝากไว้ให้ช่วยกันจัดและรักษาที่จัดแล้วไว้สืบไป.
มรดกที่ ๙. มหรสพทางวิญญาณ เพื่อความเพลิดเพลินทางวิญญาณด้วยรสแห่งธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี เพื่อแทนที่มหรสพทางเนื้อหนัง ที่ทำมนุษย์ให้เป็นปีศาจชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ต้องมีความเพลิดเพลิน (Entertainment) เป็นปัจจัยที่ห้า ของชีวิตจำเป็นที่จะต้องจัดหาให้ ให้ดีๆ.
มรดกที่ ๑๐. สัญญลักษณ์เสาห้าต้นบนหลังคา หมายถึง นิวรณ์ห้า ปัญจุปาทานขันธ์ห้า พละห้า อินทรีย์ห้า ธรรมสาระห้า มรรคผลนิพพานห้า แม้ที่สุดแต่ นิ้วมือทั้งห้า ของตนเอง ล้วนแต่เป็นเครื่องเตือนใจในเรื่องการกำจัดความทุกข์ของคนเราทั้งสิ้น.
มรดกที่ ๑๑. คติพจน์ หรือ Slogan ประจำสวนโมกข์ คือ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฎิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง ฯลฯ ดังนี้ เป็นต้นนั้น เป็นหลักปฏิบัติเพื่อไม่มีปัญหา ทางด้านการเป็นอยู่ฝ่ายวัตถุ และเหมาะสมแก่การก้าวหน้าทางจิตใจ โดยหลักธรรมชาติ ที่ว่า กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง นั่นเอง
มรดกที่ ๑๒. ปริญญาจากสวนโมกข์ มีอยู่ว่า “ตายก่อนตาย” คือ จิตหมดความรู้สึกว่า ตัวกูของกู เสียก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย เหลืออยู่แต่สติปัญญาบริสุทธิ์ในชีวิตนี้เป็นสิ่งที่มีได้แต่เดี๋ยวนี้ ดังนั้นตายได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีกำไรชีวิตเท่านั้น.
มรดกที่ ๑๓. ภาษาคน-ภาษาธรรม มีไว้สำหรับแยกกันใช้พูดให้ถูกต้อง ในระหว่างเรื่องทางวัตถุ และเรื่องทางจิต แล้วจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ลึกซึ้ง สำเร็จประโยชน์ อย่าใช้รวมกัน หรือ กลับกัน จะเกิดการเวียนหัว.
มรดกที่ ๑๔. ระบบการใช้ ภาษาคน-ภาษาธรรม เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีอย่างแน่นอน เพื่อใช้ในการศึกษาและสั่งสอนพุทธศาสนา เพราะธรรมะทั้งหมดมีที่ตรัสไว้ ทั้งโดยภาษาธรรมของคนธรรมดา (ปุคคลาธิษฐาน) และ ภาษาธรรมของคนที่เห็นธรรมะแล้ว (ธรรมาธิษฐาน) ดังนั้น จึงต้องสังเกตให้ดีๆ ทั้งในการศึกษา การสั่งสอน การสนทนา มิฉะนั้นจะเกิดอาการเวียนหัว.
มรดกที่ ๑๕. การล้ออายุ และ การให้ของขวัญ วันล้ออายุ อย่างที่กระทำกันอยู่ที่สวนโมกข์นั้น มีผลทางจิตใจในความไม่ประมาท และรู้จักตัวเองดีขึ้นทุกปี ขอฝากไว้ สำหรับรักษากันไว้สืบต่อไป เพื่อความก้าวหน้าทางจิตใจของทุกคน.
มรดกที่ ๑๖. พุทธบริษัทที่แท้จริง ไม่ควรมีแม้แต่เรื่องปวดหัว โดยไม่ต้องกล่าวถึงโรคประสาท หรือ โรคจิตทั้งนี้ เพราะอาศัยหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่ว่า “ตถตา” หรือ “เช่นนั้นเอง” คือ การที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยของมัน และจะต้องแก้ไขกันที่นั่นโดยไม่มีอะไรแปลก จึงขอฝากไว้ในฐานะเป็นมรดก.
มรดกที่ ๑๗. สาม ส. คือ สะอาด-สว่าง-สงบ เป็นคุณลักษณะของพระอริยเจ้า และมีภาวะเป็นหัวใจของพระรัตนตรัยในพุทธศาสนา ขอฝากไว้เป็นมรดก แก่ทุกคน ในฐานะเป็นบทมนต์ประจำจิต.
มรดกที่ ๑๘. กฏบัตรของพุทธบริษัทที่ได้ช่วยกันทำขึ้นไว้แล้ว อย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา สำหรับพุทธบริษัทถือเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อความถูกต้อง เป็นผลดี และสะดวกดาย ในการเป็น ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ไม่ตกไปสู่หนองของไสยศาสตร์และวัตถุนิยม ขอฝากไว้เป็นมรดกตลอดกาลนาน.
มรดกที่ ๑๙. วรรณกรรม ชุดธรรมโฆษณ์ จากพระโอษฐ์-ลอยปทุม- หมุนล้อธรรมจักร ขอฝากไว้เป็นมรดกอนุสรณ์ของผู้ประคองจิต ร้อยกรองแล้วประคอง ปล่อยลงสู่ธรรมวารี คือ ห้วงหฤทัย แห่งสาธุชนทั้งหลายทั่วพื้นปถพี เพื่องอกงามในห้วงแห่งธรรมวารีนั้น ตลอดกัลปาวสาน อย่ารู้สิ้นสุด.
มรดกที่ ๒๐. บทสวดมนต์แปล แบบสวนโมกข์ คือ สวดมนต์แปลที่ได้ พยายามกระทำให้สวดกัน ได้ลื่นสละสลวย ได้เลือกมา เฉพาะเนื้อความที่เป็นหลักธรรม เข้มข้น และรัดกุม ใช้เป็นอารมณ์แห่งสมาธิ และวิปัสสนาไปได้ในตัว ขอฝากไว้ให้ใช้สวดกันตลอดกาลนาน.
มรดกที่ ๒๑. การตักบาตรสาธิต แบบที่ทำกันอยู่ในสวนโมกข์ เป็นการศึกษาอยู่ในตัว ว่าจะสามารถเลี้ยงพระจำนวนร้อยได้อย่างไร, สะดวกเท่าไร, ควบคุมกิเลสได้โดยวิธีไหน. ขอให้ช่วยกันรักษาพิธีกรรมแบบนี้ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่การพิทักษ์รักษาพุทธศาสนาไว้ โดยวิธีประหยัด ไม่ยุ่งยากลำบาก และรักษาแบบฉบับโบราณ นับแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา
มรดกที่ ๒๒. สระมะพร้าวนาฬิเกร์ คือ บทเรียนด้วยของจำลองมาจาก บทกล่อมลูกให้นอนของประชาชน ที่แสดงว่า สมัยโน้นประชาชน ได้เข้าถึงธรรมะสูงสุดกันเพียงไร จนถึงกับนำเอาเรื่องของพระนิพพาน มาทำเป็นบทเพลงกล่อมลูกได้ ขอให้รักษาเกียรติของบรรพบุรุษในข้อนี้ และทำตนให้สมกับเป็นลูกหลานของท่าน จงทุกคนเถิด.
มรดกที่ ๒๓. การแสดงธรรมในรูปของการแสดงปาฐกถา ซึ่งบางคราวถึงกับต้องยืนพูดนั้น ไม่ผิดธรรมวินัยแต่ประการใด สะดวกและเหมาะสมแก่สมัย ทำให้การเผยแผ่พระศาสนาเป็นไป อย่างราบรื่นและได้ผลดี ไม่จำเป็นต้องถือตามตัวอักษร เพราะระเบียบวัฒนธรรมคนละยุค คนละสมัย.
มรดกที่ ๒๔. หลักการที่ถือกันอยู่ในสวนโมกข์ ว่าไม่ยินดีต้อนรับคนที่ล้างจานข้าวไม่เป็น กินแล้วต้องให้คนอื่นช่วยล้างจานนั้น เป็นหลักการที่ไม่ขัดกับ หลักพุทธศาสนา ไว้คัดเลือกคนที่เหมาะสมสำหรับจะพักอยู่ในวัด เพื่อการปฏิบัติธรรม เพราะมีจิตใจสมคล้อยกับ หลักแห่งการไม่เห็นแก่ตัว หรือ เอาเปรียบผู้อื่น ขอให้ช่วยกันรักษาไว้ เป็นมรดกสืบทอดต่อไปเถิด.
มรดกที่ ๒๕. การหนุนหมอนไม้ เป็นสิ่งที่พุทธองค์ทรงชักชวนไว้โดยตรง เพื่อฝึกฝนการเป็นคนไม่มักมากในการนอน. มารไม่ได้โอกาสครอบงำ คนไม่เห็นแก่นอน มีความเข็มแข็งว่องไว ทั้งทางกายและทางจิต บรรพชิตและนักรบสมัยโน้น จึงหนุนหมอนไม้ โดยเฉพาะพวกกษัตริย์ลิจฉวี.
มรดกที่ ๒๖. ขอคัดค้านคำกล่าวที่ว่า “งานคือเงิน - เงินคืองาน” ว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้ทำงานในฐานะเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด มิใช่ทำเพื่อหาเงินมาปรนเปรอชีวิต ให้หลงระเริงในอบายมุข หรือความเริงรมย์ ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่อง “บ้าวูบเดียว” ขอฝาก มรดกการคัดค้านนี้ไว้ด้วย
มรดกที่ ๒๗. เคล็ดลับของแบบเซ็น นั้นคือวิธีเดิมแท้ในพุทธศาสนา ที่บวกสมถะเข้ากับวิปัสสนาให้ทำงานร่วมกัน ในขณะที่มีสมาธิและเพ่งพิจารณา เพื่อเข้าถึงสภาพเดิมของจิต คือความไร้กิเลสได้โดยฉับพลัน ไม่แยกกันทำทีละอย่าง เพราะความยึดมั่นเฉพาะอย่าง, หลักนั้นมีว่าฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน.
มรดกที่ ๒๘. หลักการที่ว่าเอาเชื้อโรคมาแก้ไขโรคนั้น นำมาใช้ได้ในการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา โดยเอากำลังของความโลภมาละโมบ ในการทำความดี หรือบุญกุศล เอากำลังของความโกรธ มาอาฆาตโกรธแค้นต่อกิเลสและความทุกข์ เพื่อทำลายเสียในฐานะศัตรู เอากำลังของโมหะ มาหลงในการทำความดีขั้นต้นๆ แทนการหลงชั่ว ทั้งนี้เพราะเรามีสิ่งทั้งสามนี้เป็นเดิมพันอย่างรุนแรงอยู่ในจิตใจกันอยู่แล้วอย่างเต็มที่.
มรดกที่ ๒๙. การมีธรรมะตลอดวันตลอดคืนเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยาก คือเมื่อจะทำหน้าที่ใดๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ทำโดยรู้สึกต่อความจริงข้อหนึ่งอยู่ในใจว่า “หน้าที่นั่นแหละ คือ ธรรมะ” เพราะหน้าที่เป็นสิ่งที่สามารถกำจัดปัญหาได้ทุกชนิด และนำมาซึ่งผลดีอันพึงปรารถนา ข้อนี้ตรงกับความหมายของคำว่า “ธรรม” คือ สิ่งที่ช่วยผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกลงสู่ความทุกข์ ดังนั้นเมื่อทำหน้าที่ตลอดวัน ก็มีธรรมะได้ตลอดวัน แม้การพักผ่อน ก็เรียกว่าหน้าที่ที่ต้องทำด้วยเหมือนกัน คือ จะได้มีกำลังในการทำหน้าที่.
มรดกที่ ๓๐. มหาปเทสฝ่ายวินัยตามแบบพระวินัย ขอฝากไว้ให้ถือว่า เป็นสิ่งจำเป็นต้องนำมาใช้ในโลกปัจจุบันซึ่งเจริญด้วยวัตถุ จนเต็มไปด้วยวัตถุชนิดที่เป็นปัญหา ทางศีล ทางวินัย ทั้งแก่บรรพชิต และฆราวาส ขอให้ศึกษามหาปเทสนั้นอย่างแตกฉาน เพื่อป้องกันความงมงาย.
มรดกที่ ๓๑. มหาปเทสฝ่ายธรรมในมหาปรินิพพานสูตร เป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ควบคู่กันกับหลักตัดสินธรรมวินัยในโคตมีสูตร เพื่อว่าถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดในการตัดสินความถูกต้อง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัทแห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกที วิธีการณ์อย่างนี้ ได้เคยใช้ประสบผลดีมาแล้ว จึงขอฝากไว้เป็นมรดกเพื่อใช้กันสืบไป.
มรดกที่ ๓๒. ปฏิจจสมุปบาทแบบ “ฮัมเพลง” (ในโยคักเขมวรรค สฬายตนสังยุตต์ สํ.) เป็นสูตรที่ตรัสไว้อย่างเข้าใจได้ง่าย ปฏิบัติได้ง่ายกว่าแบบทั่วไป ควรทำความเข้าใจกับแบบนี้เสียก่อน แล้วจึงพิจารณาแบบทั่วไป แต่การปฏิบัติก็ยังเป็นอย่างเดียวกัน คือ มีสติ เมื่อมีผัสสะ (รายละเอียดหาดูได้ จากปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์).
มรดกที่ ๓๓. การใช้หลัก อิทัปปัจจยตา - ปฏิจจสมุปบาท - ตถตา - สุญญตา เป็นอมฤตโอสถซึ่งทำให้อยู่เหนือความตาย หรือเหนือการเวียนว่ายตายเกิด เพราะทำให้หมดตัวตนและของตนนั้นเป็น กิจกรรมประจำวันของพุทธบริษัทที่แท้จริง เป็นทางลัดสั้นที่สุด มีผลดีที่สุด จึงขอฝากไว้เป็นมรดก ในฐานะ เป็นสิ่งที่เคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว
มรดกที่ ๓๔. บาลี วิมุตตายตนสูตร เป็นหลักธรรมที่ควรสนใจเป็นพิเศษ คือบอกให้รู้ว่าคนเราสามารถบรรลุธรรม ได้ถึง ๕ เวลา คือ เมื่อกำลังฟังธรรมอยู่, เมื่อกำลังแสดงธรรมให้ผู้อื่นอยู่, เมื่อกำลังสาธยายธรรมอยู่, เมื่อเพ่งธรรมอยู่, แล เมื่อพิจารณาใคร่ครวญธรรมอยู่; นับว่าโอกาสมีมากในการบรรลุธรรม แต่พวกเราพากันประมาทเสีย ไม่ฉวยเอาได้แม้แต่โอกาสเดียว.
มรดกที่ ๓๕. การใช้หลักกาลามสูตร ๑๐ ประการให้ถูกต้องและครบถ้วน เป็นหลักการและ วิธีการณ์อันแน่นอน ในการที่จะรักษาพุทธศาสนาเอาไว้ได้ และ ในลักษณะที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง และเป็นการสืบอายุพุทธศาสนา ที่ตรงตามพุทธประสงค์ ได้เคยใช้วิธีนี้อยู่เป็นประจำ และสำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมาย จึงขอนำพิธีกรรมอันนี้ มาฝากไว้เป็นมรดก.
มรดกที่ ๓๖. การศึกษา สติปัฎฐานสี่ จาก อานาปานสติสูตร ได้ผลดีกว่า จาก มหาสติปัฎฐานสูตร ซึ่งกล่าวไว้อย่างยืดยาว มีลักษณะกำกวมฟั่นเฝือ ไม่มีลำดับ ติดต่อกัน อย่างชัดแจ้ง, เพียงแต่อ่านอย่างเดียว ก็กินเวลา หลายชั่วโมง ส่วนข้อความจาก อานาปานสติสูตร นั้น ติดต่อกันเป็นสาย ๑๖ ขั้น จนตลอดเรื่อง นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ ไปจนกระทั่ง ถึงการรู้ว่า บรรลุผลสำเร็จแล้ว และเป็นหลักที่พระองค์ ทรงยืนยันว่า ได้อาศัยหลักนี้ ในการตรัสรู้ ของพระองค์เอง ขอให้พิจารณากันให้ดี และขอฝาก ข้อเท็จจริงอันนี้ ไว้เป็นมรดก ด้วย
มรดกที่ ๓๗. สุญญตาสำหรับฆราวาส แม้ที่เป็นผู้หญิงและเด็กคือ มีสติสัมปชัญญะ ไม่ให้เกิดความรู้สึกยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งใด จนเกิดความรัก - โกรธ - เกลียด - วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ - อิจฉาริษยา - หวง - หึง ด้วยอำนาจความรู้สึกเป็นตัวกูของกู. ขอยืนยันว่าข้อนี้ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตามสติกำลัง และควรปฏิบัติ จึงขอฝากไว้เป็นมรดกพิเศษสำหรับฆราวาส.
มรดกที่ ๓๘. หลักการตามรอยพระอรหันต์ที่ได้ใช้ร่วมกัน ทั้งสำหรับฆราวาสและบรรพชิต คือการดำรงชีวิตชนิดที่เป็นการขูดเกลากิเลส และบรรเทาความเคยชินที่จะเกิดกิเลส (อนุสัย) อยู่ตลอดเวลา โดยมีสติสัมปชัญญะ ในขณะ สัมผัสอารมณ์ไม่ปล่อยให้ปรุงเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมา, หรือถ้าปรุงแล้ว ก็มีสติปิดกั้นการปรุงนั้นเสีย.
มรดกที่ ๓๙. “งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย” นี้คือของเก่า ที่ปัดฝุ่นแล้วนำมาใช้ใหม่ เพื่อรักษาสติปัญญาของบรรพบุรุษไว้ ว่าเคยเฉียบแหลมลึกซึ่งอย่างไร แล้วลูกหลานชั้นหลัง ก็จะมีสติปัญญาไม่น้อยไปกว่าบรรพบุรุษ ก็จะเป็นพุทธบริษัทได้เต็ม ตามความหมาย ไม่เอ นิพพานไปเก็บไว้สำหรับตายแล้วตายอีก หลายหมื่นหลายแสนชาติจึงจะได้ผล ขอให้ช่วยกันรักษามรดกข้อนี้ของบรรพบุรุษกันเถิด.
มรดกที่ ๔๐. ขอให้เรามีความมุ่งหมายเป็นพิเศษกันไว้สักข้อหนึ่ง ว่าไม่เร็ว ก็ช้า จะมีโลกสักยุคหนึ่ง อันเป็นโลกสมบูรณ์ด้วยธรรมะ โดยที่ทุกคนทำหน้าที่ ของตนๆ โดยมีสติสัมปชัญญะรู้สึกอยู่ในใจว่า หน้าที่อันถูกต้องนั่นแหละ คือธรรมะที่จะช่วยให้คนเรา อยู่เหนือปัญหาทั้งปวงได้ ทั้งนี้เป็นสิ่งที่มีได้ เพราะ โลกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จงให้ปัจจัยแห่งความเปลี่ยนแปลง เพื่อความเป็นอย่างนี้แก่โลกเถิด.
มรดกที่ ๔๑. ถ้าคนทั้งโลกเขาไม่เห็นด้วย ในการทำโลกให้มีธรรมะเพราะเห็นว่าเหลือวิสัย ก็ตามใจเขา เราคนเดียว ก็อาจจะทำตนเองให้ดับทุกข์ได้ด้วยธรรมะอย่างถึงที่สุด, ดังนั้นอย่าได้ท้อใจเลย ในการที่คนทั้งหลายเขาไม่สนใจใยดีกับธรรมะ.
ทั้งหมดนี้ เป็น มรดกฝ่ายวัตถุธรรม และพิธีกรรม เป็นภาคหนึ่ง ของ มรดกที่มอบไว้ ในฐานะเป็นมรดก. ต่อไปนี้ เป็นมรดก ฝ่ายนามธรรม ที่ได้เคย ค้นคว้า สังเกต ศึกษา และ ทดลองปฏิบัติ มาแล้ว มีผล เป็นที่น่าพอใจ จึงขอสรุปไว้ เป็นข้อๆ นำมามอบไว้ ในที่นี้ ในฐานะ เป็นมรดก เช่นเดียวกัน.
มรดกที่ ๔๒. พุทธะ ผู้รู้ - ผู้ตื่น - ผู้เบิกบาน ตรงกันข้ามจากไสย ซึ่งหมายถึง หลับ - สงสัย - สะดุ้ง หวาดผวา อยู่ตลอดเวลา. การที่จะเป็นพุทธ์ หรือ เป็นไสย ต่างกันอย่างตรงกันข้ามที่ตรงนี้.
มรดกที่ ๔๓. การมีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้ หรือ แขวนคอกัน ในบัดนี้ มีทั้งที่เป็นไสยศาสตร์ คื ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองป้องกัน หรือเป็นเครื่องรางของขลัง, และที่เป็นพุทธศาสตร์ คือวัตถุอนุสสติ หรืออย่างมากก็เป็นเพียงปูชนียวัตถุ. พุทธบริษัท จะต้องระวังสังวร กันไว้ให้ดีๆ ไม่เสียเกียรติของพุทธบริษัท กลายเป็นผู้ถือลัทธิบูชาวิญญาณ (Animism) ไปเสีย.
มรดกที่ ๔๔. การมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร เป็นสิ่งที่ต้องสนใจ กันให้มาก ให้สมกับที่ตรัสไว้ว่า “ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีการ เกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย จักพ้นจากการเกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย” พวกเรากลับมาถือกันเสียว่า เรามีการเกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย เป็นของธรรมดา ไม่ล่วงพ้นการเกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย ไปได้อย่าง น่าสังเวช.
มรดกที่ ๔๕. พระพุทธเจ้า ตามทรรศนะของบุคคลนั้นๆ มักจะเป็นภูเขาหิมาลัยบังธรรมะ สำหรับเขา เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งอุปาทาน และตามอุปาทานของเขา. ดังนั้น จงรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถูกตรงพระองค์จริงกันเถิด.
มรดกที่ ๔๖. พระพุทธองค์ ท่านมีการตรัสทั้งโดยภาษาคนและภาษาธรรม ต้องฟังให้ดี เช่น ตรัสโดยภาษาคนว่า “ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน” แต่ตรัสโดยภาษาธรรม ว่า “ตัวตนของตน นั้นไม่มี” ดังนี้ ถ้าฟังไม่ดีจะไม่รู้เรื่อง และเห็นว่าเป็นคำพูดที่ขัดกัน. ถ้ารู้จักฟังโดยหลัก ภาษาคน-ภาษาธรรม แล้ว จะไม่ขัดกันเลย ดังนี้เป็นตัวอย่าง.
มรดกที่ ๔๗. ตรัสว่า แต่ก่อนก็ดี บัดนี้ก็ดี เราบัญญัติ แต่เรื่อง ความทุกข์ กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น ดังนั้นพวกเราอย่าต้องเสียเวลาในการศึกษา การถาม การเถียงกันด้วยเรื่องอื่นที่มิใช่สองเรื่องนี้กันอีกเลย.
มรดกที่ ๔๘. พระพุทธองค์มิได้ทรงเสียเวลาในการกระทบกระทั่ง หรือยกเลิกลัทธิคำสอนของเก่าก่อนพระองค์ หากแต่ทรงแสดงเรื่องของพระองค์ที่ดีกว่า - จริงกว่า - มีประโยชน์กว่า ให้ผู้ฟังเลือกเอาเอาอย่างมีเหตุผล จึงไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เหมือนกับที่เกิดแก่ศาสดาอื่นบางองค์.
มรดกที่ ๔๙. การมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ปรุงขึ้นตามทรรศนะ ของบุคคลนั้นๆ ทำให้ เป็นปัญหามากและไม่ถูก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์จริง ซึ่งมีหัวใจ เป็นความ สะอาด - สว่าง - สงบ เพราะว่างจากกลิ่นไอและความหมายแห่ง ตัวกู - ของกู
มรดกที่ ๕๐. ไสยศาสตร์ คือลัทธิหลับ (ด้วยอวิชชา) พุทธศาสตร์ คือลัทธิตื่นจากหลับ (ประกอบอยู่ด้วยวิชชา) ดังนั้น จงระวังการกระทำที่เกี่ยวกับพระพุทธรูป หรือ พระเครื่อง; เพราะมีได้ทั้งที่เป็นพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ แล้วแต่ว่าผู้นั้น ทำไปด้วยวิชชาหรือด้วยอวิชชาอุปาทาน.
มรดกที่ ๕๑. หลักการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ (เข้าโลง) ล้วนแต่เป็นสันทิฎฐิโก - อกาลิโก คือ ปรากฏแก่ใจในทันทีที่กระทำและรับผลของการกระทำ ส่วนที่เนิ่นนานไปจากนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ฝ่ายวัตถุธรรมในความรู้สึกของปุถุชนธรรมดา.
มรดกที่ ๕๒. สิ่งที่เรียกกันว่า “ตัวตน” นั้น เป็นเพียงมายา คือเป็นเพียงความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในใจอันปรุงแต่งขึ้นมาจากตัณหา หรือความอยาก ด้วยอำนาจอวิชชา ที่เกิดขึ้นในจิตโดยธรรมชาติอัตโนมัติ, เป็นเพียงความรู้สึกผิดๆ ของสิ่งที่เรียกว่า อุปาทาน อันเกิดมาจากตัณหา มิได้เป็นตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความรู้สึกลมๆ แล้งๆ แต่ก็มีความเข้มข้นจนผู้รู้สึกรู้สึกว่าเป็นตัวตน.
มรดกที่ ๕๓. การจำแนกธรรมะเป็น ๔ ความหมาย ให้ความสะดวก ในการศึกษาธรรมะอย่างทั่วถึง คือ รู้จักตัวธรรมชาติ - กฏของธรรมชาติ - หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และผลอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น จนสามารถดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติปราศจากปัญหาใดๆ.
มรดกที่ ๕๔. ธรรมะมีความหมายหลายอย่าง ถ้าเอาใจความเพียงอย่างเดียว ก็คือหน้าที่ที่ได้กระทำอย่างถูกต้องแก่สถานภาพของผู้ปฏิบัติ ตามกฏของธรรมชาติ เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกฝ่าย ทุกกาละ และเทศะ
มรดกที่ ๕๕. ธรรมะทั้งหมดในทางปฏิบัติ อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือธรรมะเครื่องมือ และธรรมะผลที่ประสงค์ สีล - สมาธิ - ปัญญา เป็นธรรมะเครื่องมือ, มรรค - ผล - นิพพาน เป็นธรรมะผลที่ประสงค์, แม้ธรรมะที่เป็นเครื่องมือ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมะหลัก เช่น สติปัฎฐานสี่ และธรรมะอุปกรณ์ เช่น อิทธิบาทสี่ หรือ สัมมัปปธานสี่, จงรู้จักธรรมะที่จะใช้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกรณี
มรดกที่ ๕๖. จงทำให้งานของท่านทุกชิ้น ทุกอนุภาคกลายเป็นธรรมะ ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ รู้สึกอยู่ว่า หน้าที่นั่นแหละ คือธรรมะ, ปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละ คือ ปฏิบัติธรรมะ; แล้วท่านก็จะมีธรรมะ อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ แล้วทำงานทุกอย่างได้สนุกเหมือนเล่นกีฬา มีความสุขเสียแล้ว ในขณะที่ทำงาน ไม่ต้องไปหาสถานเริงรมณ์ อบายมุข หรือ ยาเสพติด
มรดกที่ ๕๗. ธรรมะ คือสิ่งที่เรียกกันในภาษาไทยว่า “หน้าที่” ของทุกสิ่งที่มีชีวิต อันเขาจะต้องทำเพื่อความรอด ทั้งทางกาย และทางจิต ทั้งเพื่อตนเอง และ เพื่อสังคม แม้จะแปลคำคำนี้กันว่า คำสั่งสอน การเรียน การปฏิบัติ ความหมายสำคัญ ก็ยังคงอยู่ที่ความเป็นหน้าที่เพื่อความรอด ดังนั้น เมื่อใดมีการทำหน้าที่ เมื่อนั้น ก็คือการปฏิบัติธรรม.
มรดกที่ ๕๘. ธรรมะในโบสถ์ - หรือ ธรรมะกลางทุ่งนา ก็เป็นธรรมะอย่างเดียวกัน เมื่อประพฤติกระทำ ในฐานะที่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง เพื่อความรอดอันแท้จริง.
มรดกที่ ๕๙. สิ่งที่เป็นนิรันดร - อมิตาภะ - อมิตายุ - อกตะ - อมตะ - อสังขตะ - นั้น มีอยู่ ๓ อย่าง คือ กฏธรรมชาติ ๑ ความว่าง ๑ นิพพาน ๑ สามอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น แม้แต่พระเจ้าก็สร้างไม่ได้ เพราะมีฐานะเป็นพระเจ้าเสียเอง.
มรดกที่ ๖๐. พุทธศิลป์ที่แท้จริง มิใช่วัตถุศิลป์อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นระบบการกระทำด้วยสติปัญญา ที่ดับทุกข์ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศไว้อย่างมีความงามใน เบื้องต้น - ท่ามกลาง - เบื้องปลาย ในภายในจิต ของสัตว์.
มรดกที่ ๖๑. ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของตนทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น, เรียกสั้นๆ ว่า “หน้าที่” นั่นแหละ คือ พระเป็นเจ้า ผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง.
มรดกที่ ๖๒. ธรรมะมีไว้ช่วยให้อยู่ในโลกอย่างชนะโลก หรือเหนือโลก มิใช่ให้หนีโลก แต่อยู่เหนืออิทธิพลใดๆ ของโลก ไม่ใช่จมอยู่ในโลก มักสอนให้เข้าใจกันผิดๆ ว่าต้องหนีโลก ทิ้งโลก สละโลก อย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครเลย.
มรดกที่ ๖๓. ธรรมะเป็นสิ่งที่อธิบายยาก เพราะคำพูดของมนุษย์มีไม่พอ คือไม่มีคำสำหรับใช้กับสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน; ดังนั้น จึงต้องพยายามพูด และพยายามฟังจนเข้าใจหรือรู้จักโดยความหมาย ทั้งในภาษาคนและภาษาธรรมพร้อมกันไป.
มรดกที่ ๖๔. ธรรมะมิใช่ตัวหนังสือ หรือเสียงแห่งการแสดงธรรม แต่เป็นการกระทำหน้าที่ที่ถูกต้องของผู้ปฏิบัติแต่ละคน อยู่ทุกอิริยาบถ - ทุกเวลา - ทุกสถานที่อย่างถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกัน จึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้อง ตามหลักแห่งพุทธศาสนา อันนำมาซึ่งความสงบสุขได้จริง.
มรดกที่ ๖๕. ศีลธรรมกลับมา เพื่อโลกาสงบเย็น, ปรมัตถธรรมกลับมา เพื่อโลกาสว่างไสว ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาวินาศ, ถ้าปรมัตถธรรมไม่กลับมา โลกามืดมนท์; ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกัน ทำให้กลับมา ในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีสำหรับโลก.
มรดกที่ ๖๖. ไม่ต้องอาลัยอดีต - ไม่ต้องพะวงอนาคต ขอแต่ให้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องในปัจจุบัน ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่เป็นทุกข์ และไม่เป็นปัจจัยแก่ สัสสตทิฎฐิ คือตัวตนที่เวียนว่ายไปในวัฎฎะ
มรดกที่ ๖๗. ก ข ก กา ของพุทธศาสนา มิได้ตั้งต้นที่พระรัตนตรัย แต่ตั้งต้นการศึกษาที่การกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่า ได้ก่อให้เกิดตัณหา อุปาทาน แล้วเกิดทุกข์ ควบคุมการเกิดเหล่านี้ได้ ก็จะดับทุกข์ได้ แล้วก็จะมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นมาเอง
มรดกที่ ๖๘. โลกทั้งหมดสำเร็จ อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเรามีตา ฯลฯ โลกจึงมี และเกิดกรณีต่างๆ ที่เป็นปัญหาขึ้น เพราะไม่รู้ความจริงของเรื่อง ตา ฯลฯ หรือ โลกอย่างถูกต้องนั่นเอง.
มรดกที่ ๖๙. ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์ เกิดขึ้นทุกคราวที่จิตมีตัณหาคือโง่ เมื่อมีผัสสะโง่ เวทนาโง่เพราะอำนาจของอวิชชา จนเกิดตัณหา หรือมีกิเลสครอบงำ; ดังนั้น ระวังอย่าโง่เมื่อมีผัสสะใดๆ ให้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์เกิดขึ้น.
มรดกที่ ๗๐. ปฏิจจสมุปบาทมีขึ้นรอบหนึ่ง ทุกครั้งที่มีการสัมผัสอารมณ์ ด้วยอวิชชา หรือพูดได้ว่า ทุกครั้งที่มี จิตเศร้าหมองด้วยการปรุงแต่งของอวิชชา มิใช่มีอย่างคร่อมภพ คร่อมชาติ ถึงกับปฏิจจสมุปบาทรอบเดียว คร่อมชาติ สามชาติเหมือนที่แนะนำสั่งสอนกันอยู่โดยมาก จนกลายเป็นสัสสตทิฎฐิไป.
มรดกที่ ๗๑. การปฏิบัติที่ดูเหมือนมิได้ปฏิบัติอะไรเลย คือการปฏิบัติทางจิตใจ ให้รู้สึกพอใจอยู่ในความว่างจากตัวตนของตน กระทำหน้าที่ทุกอย่างกลมกลืนอยู่กับกฏของธรรมชาติ ทำงานเพื่อหน้าที่มิใช่ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวกู-ของกู.
มรดกที่ ๗๒. ภาษาธรรมะชั้นสูงก็ล้วนแต่เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาชาวบ้าน จงพยายามถือเอาความหมายในภาษาชาวบ้านให้มากที่สุด ก็จะเข้าใจคำนั้นๆ ได้ถูกต้อง และถึงที่สุดได้โดยง่าย เช่น นิพพาน คือ เย็น, มรรค คือหนทาง,ผล คือ ลูก, กิเลส คือ สิ่งสกปรก, สังโยชน์ คือ ผูกมัด, อาสวะ คือ สิ่งกดดัน ออกมาจากการหมักดอง. พุทธะ คือ ตื่นจากหลับ. ธรรมะคือ หน้าที่. สังฆะ คือ หมู่ของสิ่งที่พึงปรารถนา.
มรดกที่ ๗๓. มนุษย์สูญคือผู้ที่มีจิตใจกำลังปราศจากความยึดมั่นถือมั่น คือไม่รู้สึกยึดมั่นในความหมายที่เป็นตัวตน หรือของตนด้วยอุปาทานไปตามอำนาจของอวิชชา จงมาเป็นมนุษย์สูญ (ว่าง) กันเถิด จะเบาสบาย เฉลียวฉลาด ปราศจากอคติใดๆ มีจิตใจเหมาะสมแก่การงาน ทุกชนิด โดยอัตโนมัติ.
มรดกที่ ๗๔. เมื่อจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งหลงยึดมั่นในคุณค่าอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ตามสมมติสัจจะว่า “ตัวตน” แล้ว ดี-ชั่ว บุญ-บาป กิเลส-โพธิ หรือ อะไรที่บัญญัติกันว่าเป็นของคู่ตรงกันข้ามนั้น ก็จะเป็นของที่เท่ากัน หรือเป็นสิ่งเดียวกัน เช่นเป็นเพียงสังขารเสมอกัน เป็นสมมติบัญญัติที่เท่ากันเป็นต้น.
มรดกที่ ๗๕. เรามีนรก สวรรค์ หรือ นิพพาน ชนิดที่เป็นสันทิฎฐิโกที่สัมผัสได้กันที่นี่กันดีกว่า จริงกว่า กว่าชนิดที่คิดว่าจะมีกันต่อเมื่อตายแล้ว ซึ่งพระพุทธองค์ ตรัสเรียกว่าอายตนิกนิริยะ อายตนิกสัคคะและสันทิฎฐิกนิพพาน ขอให้รู้จักกันไว้ให้ดี ๆ เถิด จะได้เป็นพุทธบริษัท สมชื่อ.
มรดกที่ ๗๖. แผ่นดินเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ประทับอยู่อาศัย และดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ตลอดพระชนมชีพ จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็น ที่ศึกษา และปฏิบัติธรรมเกินกว่าที่จะจัดเป็น “บรมมหาวิทยาลัย” เมื่อนำไปเทียบกับมหาวิทยาลัยในโลกปัจจุบัน ดังนั้นเราน่าจะ นั่งเรียนธรรมะ กันกลางดิน ยิ่งกว่านั่งเรียนบนตึกราคาล้านๆ.
มรดกที่ ๗๗. กฏเกณฑ์เกี่ยวกับลำดับชั้น ของ นิวรณ์ - กิเลส - อนุสัย - อาสวะ ที่ควรรู้จัก คือเกิดโลภครั้งหนึ่ง ก็สะสมราคานุสัยไว้หน่วยหนึ่ง, เกิดโกรธครั้งหนึ่ง ก็สะสมปฏิฆานุสัย ไว้หน่วยหนึ่ง, เกิดหลงครั้งหนึ่ง ก็สะสมอวิชชานุสัยไว้หน่วยหนึ่ง, สำหรับจะเกิดกิเลสนั้นๆ ได้โดยง่าย สะสมไว้ในสันดาน กลายเป็นอาสวะ สำหรับจะกลับออกมาเป็นกิเลส หรือเป็นเพียงนิวรณ์ก็ได้ แล้วแต่กรณี
มรดกที่ ๗๘. กามารมณ์ หรือ เพศรส คือค่าจ้างของธรรมชาติ เพื่อให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์ อันเป็นสิ่งเหน็ดเหนื่อย - น่าเกลียด - สกปรก, ยากที่สัตว์จะหลีกเลี่ยงได้ แม้จะเป็นเพียงค่าจ้างที่เป็นอาการบ้าวูบเดียว.
มรดกที่ ๗๙. ความว่าง - จิตว่าง - ทำงานด้วยจิตว่าง - เห็นโลกโดยความเป็นของว่าง - มีชีวิตอยู่ด้วยความว่าง นี้คือทั้งหมดของพุทธศาสนาโดยหัวใจ, สำหรับการศึกษา - ปฏิบัติ - เสวยผลของการปฏิบัติอย่างพุทธบริษัทแท้ แต่คงจะเป็นการยากที่ใครจะเห็นด้วย.
มรดกที่ ๘๐. อย่าเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ในลักษณะที่ท่านทรงทนนั่งต้อนรับไม่ไหว เพราะเต็มไปด้วยสัญญลักษณ์แห่งไสยศาสตร์ และความมีตัวกู - ของกู ถึงขนาดยกหู ชูหาง มีท่าทางแห่งการยกตนข่มผู้อื่น
มรดกที่ ๘๑. สิ่งที่เรียกว่าอภิธรรมนั้น สมมติว่าเอาไปทิ้งทะเลเสียทั้งกระบิ เราก็ ไม่ขาดความรู้เรื่องการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ เพราะเกิดขึ้นสำหรับสติปัญญา ที่เฟ้อเกินจำเป็น ทำให้เนิ่นช้าแก่สติปัญญาทั่วไป ดังนั้น ใครๆ ไม่ต้องเสียใจ หรือน้อยใจว่าไม่มีโอกาสจะเรียน หรือเรียนไม่ไหว.
มรดกที่ ๘๒. มิติที่สี่ของอารมณ์ทั้งหลายนั้น คือการกินเวลา กับการกินเนื้อที่ที่สัมพันธ์กันอย่างดี ถ้าใครรู้เท่าทันเรื่องนี้แล้ว จะไม่หลงใหลในความงาม - ไพเราะ - หอม - อร่อย - นิ่มนวลชวนสัมผัส แล้วก็โง่ไปเกลียดชังฝ่ายที่ตรงกันข้าม.
มรดกที่ ๘๓. รสของกามารมณ์ทุกรูปแบบ เป็นเรื่อง “บ้าวูบเดียว” แต่มนุษย์และเทวดาก็หลงบูชา ถึงกับยกให้เป็นเรื่องกามเทพ เสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเอาเสียทีเดียว แต่สัตว์เดรัจฉาน หาเป็นเช่นนั้นไม่ จงคิดดูให้ดีเถิด.
มรดกที่ ๘๔. สวรรค์ที่มีได้ทุกอิริยาบถ คือความรู้สึกว่าตนเองได้ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง แล้วก็พอใจในการกระทำของตนเองอยู่ทุกอิริยาบถ ถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกคราวที่ระลึกถึง นี้คือสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ สวรรค์อื่นทุกชนิดขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้
มรดกที่ ๘๕. ต้นไม้พูดได้และแสดงธรรมอยู่เสมอ แต่คนไม่ได้ยินเอง มันพูดเรื่องหน้าที่ เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องความสงบ และพูดว่าพวกมนุษย์ อย่าบ้ากันเกินไปนักโว้ย แต่มนุษย์ก็ไม่ได้ยินเอาเสียเลย.
มรดกที่ ๘๖. ถ้ามีการมองที่ดี ก็จะมีแต่การได้ ไม่มีเสียไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้ที่สุดแต่ความตาย นับประสาอะไร กับการสูญเสียเล็กๆ น้อยๆ หากแต่คนโง่ ไม่รู้จักมอง ให้เกิดปัญญา ว่าสิ่งเหล่านั้นมาสอนให้อย่างไรบ้าง ทั้งที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่มาสอนทั้งนั้น.
มรดกที่ ๘๗. เรื่องกรรมที่ถูกต้องแท้จริงในพุทธศาสนา คือเรื่อง กรรมไม่ดำ ไม่ขาว เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำ กรรมขาว คือเหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพานส่วนเดียว เพียงแต่สอนว่า ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่วนั้น ยังมิใช่ของพุทธแท้ เพราะมีสอนกันอยู่ก่อนพุทธกาล แต่ก็ยังคง เรียกว่า กรรมวาที ได้เหมือนกัน เป็นเรื่องกรรมครึ่งเดียว ไม่สมบูรณ์.
มรดกที่ ๘๘. ปรมัตถธรรมต้องกลับมา เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม ซึ่งบอกแต่เพียงว่าให้ทำอย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่าเหตุไร จึงต้องทำอย่างนั้น และยังบอกอะไรอื่นอีกบางอย่าง เพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในการกระทำนั้น ดังนั้น จงสนใจใน ปรมัตถธรรมกันให้เพียงพอเถิด เพื่อความสมบูรณ์ แห่งการมีศีลธรรม.
มรดกที่ ๘๙. การสมรสทางวิญญาณ กับบุคคลทุกคน ในโลก เป็นสิ่งที่กระทำได้ โดยที่ เขาเหล่านั้น ไม่รู้สึกตัว นั่นคือการทำตนเป็นเพื่อนทุกข์ ในการ เกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย และมีเมตตาธรรมชนิดอัปปมัญญา.
มรดกที่ ๙๐. การเห็นแก่ตัวคือจุดศูนย์กลางของความไม่มีศีลธรรมและปรมัตถธรรม จึงทำบาป อกุศล ได้อย่างมั่นใจว่าถูกต้องและเป็นธรรมทุกประการแล้ว ดังนั้นศาสนาทุกศาสนา จึงมุ่งหมายสอนการทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ามิฉะนั้น ก็มิใช่ศาสนา.
มรดกที่ ๙๑. โดยหลักธรรมะ เราอาจจะมีจิตเป็นสุขแท้จริงได้ ตั้งแต่เมื่อกำลังทำการงานนั้น ๆ อยู่ แต่ไม่มีใครสนใจความสุขที่แท้จริงชนิดนี้ เพราะชะเง้อหาแต่ความเพลิดเพลินอันหลอกลวง เพื่อแลกเอาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา.
มรดกที่ ๙๒. การเกิดทางวิญญาณ ในขณะแห่งปฏิจจสมุปบาทที่คนไม่รู้จักนั้น มีทุกคราวที่คนสัมผัสอารมณ์ด้วยอวิชชาแล้วเกิดตัณหา มิใช่หมายถึงการเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ซึ่งเป็นการเกิดฝ่ายรูปธรรมดังที่เข้าใจกัน แล้วก็ไม่อาจจะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท.
มรดกที่ ๙๓. การบรรลุธรรม หรือมีธรรมนั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนอภิธรรม - กินแต่ผัก - ห่มจีวรกรัก - แบกกลด - ถือไม้เท้ายาว - พูดเบาๆ - เดินค่อยๆ - แขวนลูกประคำ เป็นต้น แต่บรรลุหรือมีได้ด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องตาม กฏอิทัปปัจจยตา ของสีล - สมาธิ - ปัญญา.
มรดกที่ ๙๔. ธรรมะของโพธิสัตว์ สรุปได้เป็น ๔ หัวข้อ คือ สุทธิ - ปัญญา - เมตตา - ขันตี ซึ่งมีแววแสดงอยู่ที่ใบหน้าของอวโลกิเตศวรปฏิมา ที่ศิลปินกระทำขึ้น ถึงระดับมาตรฐานของยอดศิลปะ
มรดกที่ ๙๕. ความทุกข์สอนอะไรๆ ให้เราได้ดีกว่าความสุข คือสอนตรงกว่า - มากกว่า - รุนแรงกว่า; ความสุข มีแต่ทำให้ลืมตัว เหลิงเจิ้งไม่ทันรู้ และไม่ค่อยสอนอะไร. ขอขอบใจความทุกข์ ซึ่งเป็นเสมือน “เพชร” ในหัวคางคก.
มรดกที่ ๙๖. เพชรในหัวคางคก คือความดับทุกข์ที่หาพบในความทุกข์ เสมือนการดับไฟ ก็หาพบที่ไฟนั่นเอง จงรู้จักความลับข้อนี้ด้วยกันทุกคนเถิด มิฉะนั้นจะหาไม่พบสิ่งที่ควรพบตามธรรมชาติทั่วไป
มรดกที่ ๙๗. ระบบการปฏิบัติดับทุกข์ไม่เหลือในขั้นสุดท้ายนั้น เป็นการตกกระไดพลอยกระโจน คือเมื่อรู้ว่าจะดับชีวิตหรือตายแน่แล้ว ก็ไม่มีจิตกวัดแกว่ง อย่างใด แต่ตั้งจิตสมัครดับไม่เหลือจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีหวังในการเกิดใหม่โดยสิ้นเชิง.
มรดกที่ ๙๘. ขอย้ำเรื่องนรก-สวรรค์ที่แท้ ในพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง ว่าได้แก่ผลที่ได้รับจากการกระทำผิด หรือกระทำถุกทางอายตนะ เมื่อมีผัสสะที่ตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย - ใจ อันกำลังรู้สึกอยู่ในจิต ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นรกใต้ดินหรือสวรรค์บนฟ้า ต่อตายแล้วที่กล่าวกันมาแต่ก่อนพุทธกาลนั้น ขึ้นอยู่กับนรกสวรรค์ ที่แท้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
มรดกที่ ๙๙. การสอนเรื่องทางจริยธรรมทุกเรื่อง ต้องสอนครบเป็นคู่ๆ คือ สอนทั้งข้อที่ว่าให้ทำอย่างไร (ตัวศีลธรรม) และข้อที่ว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น (ตัวปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นเหตุผลของศีลธรรม) และถ้าเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่ามันจะมีผลแท้จริงอย่างไรเข้าอีกด้วยก็จะยิ่งดี ขออย่าได้บกพร่องในหลักเกณฑ์ข้อนี้.
มรดกที่ ๑๐๐. หัวใจพุทธศาสนาสำหรับคนทั่วไป ทั้งที่กำลังปฏิบัติและที่เสร็จการปฏิบัติแล้วนั้น คือสัจจธรรมที่ว่า “สิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น โดยความเป็น ตัวตน - ของตน” ทุกคนต้องปฏิบัติสิ่งนี้และได้รับผลของสิ่งนี้
มรดกที่ ๑๐๑. ชาติในปฏิจจสมุปบาท คือการเกิดทางจิต - ทางวิญญาณ อันจะมีขึ้น ทุกคราวที่มีความรู้สึกเป็น ตัวกู - ของกู เกิดขึ้นมาในจิต และเป็นทุกข์ทางใจ อย่างหนักหน่วงทุกคราวที่เกิด; ส่วนชาติทางกายนั้น มีครั้งเดียว มีครั้งเดียวจนกว่าจะเข้าโลง และมีทุกข์ทางกายพอสถานประมาณ ไม่ทรมานมากเหมือนทางจิต
มรดกที่ ๑๐๒. ทำบุญด้วยปาก (ธรรมทาน) ได้บุญมากกว่า ทำด้วยของ (วัตถุทาน) แต่คนส่วนมากทำไม่ได้ เพราะเต็มอัดอยู่ด้วย ความทุกข์ มืดมนท์ยิ่งกว่าตาบอด พูดเรื่องดับทุกข์ไม่เป็น, พูดเป็นแต่เรื่องการจมอยู่ในโลก ซึ่งมิใช่เรื่องธรรมทาน เพื่อให้มีจิตใจอยู่เหนือโลกทั้งที่กายอยู่ในโลก, ขอให้ทุกคนเลื่อนระดับ การทำทานของตน ให้ขึ้นมา อยู่ในระดับที่เรียกว่า ธรรมทาน.
มรดกที่ ๑๐๓. ชีวิตเป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้จนกว่าจะเต็ม คือเติมลงไปด้วยการทำหน้าที่ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด.
มรดกที่ ๑๐๔. ธรรมะในบทกล่อมลูกที่แสดงว่าบรรพบุรุษรู้ธรรมะอย่างพอตัว คือบทกล่อมลูก ที่ว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง คือทะเลแห่งบุญและบาป, และจะถึงต้นมะพร้าวได้เฉพาะผู้พ้นทั้งบาปและบุญแล้วสัมผัสกับนิพพาน หรือมะพร้าวต้นนั้น ในลักษณะที่หาพบนิพพานได้ท่ามกลางวัฎฎสงสาร.
มรดกที่ ๑๐๕. สีล - สมาธิ - ปัญญาของธรรมชาติ มีในกิจการทุกอย่างของมนุษย์ (แม้สัตว์) คือมีความเป็นอยู่ถูกต้อง มีกำลังจิตเพียงพอ มีความรู้เพียงพอในหน้าที่ของตน ชีวิตทุกชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาสิ่งนี้ ทุกรูป ทุกนาม.
มรดกที่ ๑๐๖. อนันตริยสมาธิ เป็นสิ่งที่ควรรู้จักในฐานะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองอย่างเพียงพอ ทุกคราวที่เรามีความต้องการ และทำอะไรด้วยสติปัญญา สัมมาทิฎฐิอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครสนใจ.
มรดกที่ ๑๐๗. ถ้าสมรสกันทางเนื้อหนังไม่ได้ ก็สมรสกันทางจิต ทางวิญญาณได้ แม้กับพระพุทธองค์ที่พูดกันว่านิพพานแล้วกว่าสองพันปี แต่ยังทรงอยู่โดยพระคุณ นั่นคือการกระทำให้ถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ ร้อยเปอร์เซนต์ในการปฏิบัติธรรม.
มรดกที่ ๑๐๘. ศึกษา หรือ สิกขา ตามความเห็นของข้าพเจ้า คือการรู้จักตัวเอง - เห็นตัวเอง - ด้วยตัวเอง - ในตัวเอง - เพื่อตัวเอง อย่างแจ่มชัด ถูกต้อง และสมบูรณ์ จนทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย.
มรดกที่ ๑๐๙. ความริษยา คือไฟเงียบที่จะเผาลนจิตใจของผู้มีมัน เหมือนตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่ต้นจนตลอดเวลา ทั้งที่ผู้ถูกริษยาไม่รู้สึกอะไรเลยตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้น จะทำไปทำไม? คุ้มค่ากันที่ตรงไหน?
มรดกที่ ๑๑๐. บัดนี้ ยิ่งเจริญคือยิ่งยุ่ง ยิ่งเจริญที่สุดคือยิ่งเกินจำเป็น เพราะปราศจากสติปัญญา อันทำให้รู้จักเจริญอย่างถูกต้อง พอเหมาะพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา จงรู้จักเจริญกันเสียใหม่ ในด้านจิตวิญญาณ ที่อาจดับทุกข์ของตนได้เถิด
มรดกที่ ๑๑๑. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมให้ดีๆ มันจะเกิดเป็นนรกขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติผิด และจะเกิดเป็นสวรรค์ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติถูก ณ ที่นั้นๆ จงจัดการกับ ตา ฯลฯ ใจ ให้ถูกต้อง ในเมื่อมีการสัมผัส ณ ที่นั้น ๆ จนเป็นสวรรค์อยู่ได้จนตลอดเวลาเถิด จะเป็นพุทธบริษัท โดยสมบูรณ์ อยู่ในขั้นต้น.
มรดกที่ ๑๑๒. ถ้าไม่มีการเกิดทางจิตของวิญญาณในจิตใจว่า ตัวกู - ของกู แล้ว การเกิดทางกาย ที่เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ก็หาอาจทำให้เกิดทุกข์ ใดๆ ได้ไม่. แม้ความแก่ - เจ็บ - ตาย ก็หาทำให้เกิดทุกข์ ได้ไม่ เพราะไม่มีการรับเอา มาเป็นของกู.
มรดกที่ ๑๑๓. การบรรลุมรรคผล นิพพาน มิได้มีไว้เพื่อบอกให้ผู้อื่นทราบ และแม้ที่จะรู้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบรรลุขั้นไหนเท่าไร เพียงแต่รู้ว่าทุกข์กำลังดับไป ๆ จนกว่าจะหมดสิ้นก็พอแล้ว เหมือนรองเท้าสึก ก็รู้ว่าสึก (จนกว่าจะใช้ไม่ได้) ก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่ามันสึกกี่มิลในวันหนึ่งๆ.
มรดกที่ ๑๑๔. ความสุขที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ต้องได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เหมือนดั่งที่ตรัสว่า ถอนความรู้สึกว่า ตัวตนเสียได้แล้ว ก็ได้นิพพานมาเปล่าๆ ไม่ต้องเสียมูลค่าอะไร ส่วนความสุขเทียม หรือความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น ใช้เงินซื้อมาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จนตัวตายก็ไม่พบกับความสุขที่แท้จริง.
มรดกที่ ๑๑๕. สังขารทั้งปวง แม้ไม่เที่ยง แต่มันก็ตะโกนฟ้องตัวเองว่าไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา. พวกเรามันหูหนวกเอง ไม่ได้ยินแล้วก็หาว่าลึกลับ; ดูจะช่วยแก้ตัวให้ความหลงของตัวเองเสียมากกว่า แล้วจะได้หลงกันต่อไปตามใจกู.
มรดกที่ ๑๑๖. โลกต้องมีศาสนาครบทุกชนิด ทุกระดับ เพื่อเหมาะสำหรับคนทุกชนิดที่มีอยู่ในโลก การที่พยายามจะทำให้มีศาสนาเดียวนั้น เป็นเรื่องบ้าหลัง และไม่อาจจะเป็นไปได้ มีแต่จะสร้างความยุ่งยาก โดยมีมนุษย์ที่ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลกมากขึ้น.
มรดกที่ ๑๑๗. ชาวพุทธแท้ ไม่กินสิ่งที่หมายมั่นว่าเป็นเนื้อ หรือเป็นผัก แต่กินอาหารที่บริสุทธิ์ ถูกต้อง สมควรแก่การกิน โดยความเป็นธาตุตามธรรมชาติ และ กินเท่าที่จำเป็น จะต้องกินเหมือนน้ำมันหยอดเพลารถ หรือการกินเนื้อบุตรของตนเองที่ตายลงเมื่อหลงทางกลางทะเลทราย เพื่อประทังชีวิตให้รอดออกไปได้เท่านั้น.
มรดกที่ ๑๑๘. ในร่างกายและจิตใจ มีสิ่งที่อาจเรียกว่าพระไตรปิฏกที่แท้จริงให้ศึกษา ชนิดที่ไม่อาจเติมเข้าหรือชักออกแม้แต่อักขระเดียว ขอให้พยายามอ่านพระไตรปิฏกเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ จากพระไตรปิฏกเล่มนี้กันจงทุกคนเถิด.
มรดกที่ ๑๑๙. ต้องศึกษาเรื่องดับทุกข์จากร่างกายที่ยังเป็นๆ มิใช่จากสมุดพระไตรปิฏกในตู้, นี้ถือเอาตามคำตรัส ที่ตรัสว่าโลก เหตุให้เกิดโลก ความดับสนิทแห่งโลก และ ทางให้ถึงความดับสนิทนั้น ตถาคต กล่าวว่ามีอยู่พร้อมในกายอันยาววาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสัญญาและใจ (คือยังเป็นๆ).
มรดกที่ ๑๒๐. ยิ่งเรียนพระไตรปิฏก แล้วยิ่งวนเวียน ไม่บรรลุธรรมะ ก็ต้องเปลี่ยนไปเรียนที่ขันธ์ห้าโดยตรง จนรู้จักการ เกิด - ดับ แห่งอุปาทาน ว่าตัวกู - ของกู อันมีอยู่ในขันธ์ห้านั้น จนเป็นภาวนามยปัญญา ตัดอุปาทานนั้นได้.
มรดกที่ ๑๒๑. การจัดพระไตรปิฏกเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เหมาะสมสำหรับยุคปรมาณูโดยเฉพาะ คือชักออก ๓๐% สำหรับนักศึกษาปัญญาชน, ชักออกอีก ๓๐% สำหรับนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีตัวยง; ที่เหลืออยู่ ๔๐% เป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรง ก็ยังมากกว่าคัมภีร์ในศาสนาอื่นๆ อีกมากมายหลายเท่า. ทั้งหมดนี้ มิได้เป็นการจ้วงจาบพระไตรปิฏก แต่เป็นการปรับให้เหมาะสมสำหรับยุค.
มรดกที่ ๑๒๒. เรียนชีวิตจากชีวิต ดีกว่าเรียนจากพระไตรปิฏก ซึ่งบอกเพียงวิธีเรียนชีวิตได้อย่างไร แล้วนำไปเรียนที่ตัวชีวิตเอง เมื่อยังไม่ตาย และมีเรื่องดับทุกข์โดยเฉพาะ ให้เรียนอย่างเพียงพอ; นี้คือการเรียนความดับทุกข์ จากความทุกข์ และพบความดับทุกข์ ที่ตัวความทุกข์นั่นเอง.
มรดกที่ ๑๒๓. การเตรียมพระไตรปิฏกเพื่อเสนอแก่โลกยุคปรมาณูอันสูงสุดนั้น ต้องเป็นคนกล้าและบริสุทธิ์ใจพอที่จะใช้ หลักกาลามสูตร เป็นเครื่องคัดเลือก และจัดสรร ให้เหลืออยู่แต่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา แล้วจึงหยิบยื่นให้ไป จึงจะสำเร็จประโยชน์.
มรดกที่ ๑๒๔. นิพพานแท้ที่เป็นสันทิฏฐิโก คือความเย็นแห่งชีวิต ที่เย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะกิเลสไม่เกิดขึ้น และไม่มีอุปาทานว่าตัวตนสำหรับรับผลกรรมใดๆ ทั้งดีและชั่ว; นี่แหละ คือข้อที่นิพพานแท้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความตาย.
มรดกที่ ๑๒๕. ยิ่งเจริญ คือยิ่งบ้า ตามประสาวัตถุนิยมชักนำไป แล้วเข้าใจว่ายิ่งเจริญ; นั่นคือการวิ่งฝ่าเข้าไปในดงแห่งปัญหาอันยุ่งยาก อันมนุษย์สร้างขึ้นมาเอง โดยไม่รู้ความหมายแห่งความเป็นมนุษย์.
มรดกที่ ๑๒๖. การอยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาตินั้น ให้ความสะดวกในการเข้าถึงสัจธรรมของธรรมชาติ อันจะทำให้หมดปัญหาทุกประการที่เกิดมาจากธรรมชาติ เพราะสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยแท้จริง.
มรดกที่ ๑๒๗. ปุถุชน คือคนที่ยังไม่รู้จักสิ่งที่ควรรู้จัก แม้จะตำตาอยู่เสมอ คือไม่รู้จักนิวรณ์ทั้งห้าอันได้แก่ ความครุ่นคิดในกาม - พยาบาท - หดหู่ - ฟุ้งซ่าน - ลังเลในชีวิต ว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความสงบสุข หรือไม่รู้ว่า ความโลภ - โกรธ - หลง นั้น เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งทุกข์, แล้วก็ไม่กลัว; จึงได้ชื่อว่าปุถุชน คือคนมีความหนาแห่งไฝฝ้าในดวงตา.
มรดกที่ ๑๒๘. ธรรมะสำหรับคนเกลียดวัดที่บูชาอบายมุข ทรมานอยู่ด้วยโรคประสาท เพราะบูชาเงินจะได้สำนึกตัวเสียบ้าง ก็คือความรู้ ในข้อที่ว่าเราไม่ได้เกิดมาสำหรับเป็นทาสกิเลส หรือเป็นทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางเนื้อหนัง แล้วจมปลักอยู่ในกองทุกข์ในโลกนี้ เพราะความเป็นทาสนั่นเอง.
มรดกที่ ๑๒๙. ศีลห้าที่มีความหมายอันสมบูรณ์นั้น สรุปลงได้ในคำว่า “ความไม่ประทุษร้าย ๕ ประการ” คือไม่ประทุษร้าย ชีวิต - ไม่ประทุษร้ายทรัพย์ - ไม่ประทุษร้ายของรัก - ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมของผู้อื่น - ไม่ประทุษร้ายสติสมปฤดีของตนเอง. อย่างนี้แล้ว ไม่มีช่องว่างสำหรับจะบิดพลิ้ว หลีกเลี่ยง หรือ แก้ตัว แต่ประการใด
มรดกที่ ๑๓๐. โดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครตาย มีแต่กระแสแห่งสังขาร การปรุงแต่งตามกฏอิทัปปัจจยตาของธาตุตามธรรมชาติ เมื่อไม่มีใครตาย แล้วจะมีใครไปเกิด ดังนั้นตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้หรือวิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่, เว้นเสียแต่จะพูดโดยภาษาคน ของมนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ แล้วก็พูดตามๆ กันมา.
มรดกที่ ๑๓๑. ขอย้ำอีกว่า สิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” เป็นเพียงความรู้สึกที่เพิ่งเกิดปรุงขึ้นมา เมื่อมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยอำนาจของอวิชชาเกิดขึ้นมาในใจเท่านั้น. เมื่อเป็นเพียงความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาของความอยาก เช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นของลมๆ แล้งๆ ไม่มีตัวจริง อะไรที่ไหน แต่ถึงกระนั้น ก็มีอำนาจมากพอที่ทำให้เกิดกิเลสสืบต่อไป และเป็นความทุกข์ได้.
มรดกที่ ๑๓๒. นรกที่แท้จริง คือความรู้สึกอิดหนาระอาใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง ตรงกันข้ามกับสวรรค์ คือ ความรู้สึกพอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้อย่างชื่นใจ ที่นี่และเดี๋ยวนี้. นรกและสวรรค์อย่างอื่นๆ จะมีอีกกี่ชนิดก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับนรกและสวรรค์ ๒ ชนิดนี้ทั้งนั้น.
มรดกที่ ๑๓๓. การเห็นตถตา หรือ “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของสิ่งทุกสิ่งนั้น คือญาณทัสสนะอันสูงสุดของพระอริยเจ้า สามารถห้ามเสียซึ่งความประหลาดใจ ในสิ่งใดๆ ห้ามความรัก - โกรธ - เกลียด - กลัว - วิตกกังวล - อาลัยอาวรณ์ - อิจฉาริษยา - หึง - หวง - ลังเล - ฟุ้งซ่าน ฯลฯ อันเป็นสมบัติของปุถุชนเสียได้โดยเด็ดขาด.
มรดกที่ ๑๓๔. การที่จะเกิดสุขหรือทุกข์ ทำผิดหรือทำถูกนั้น ขึ้นอยู่กับการสัมผัสอารมณ์ที่มากระทบ ว่าสัมผัสมันด้วยวิชชาหรืออวิชชา, คือมีสติสัมปชัญญะ หรือไม่มี ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ก็ควบคุมการปรุงแต่งของจิตไว้ได้ ในลักษณะที่ไม่เกิดกิเลสและความทุกข์ ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะ ก็ตรงกันข้าม.
มรดกที่ ๑๓๕. ของจริง เห็นด้วยใจของพระอริยเจ้า, ของเท็จ เห็นด้วยตาของปุถุชน ดังนั้นจึงต่างกันมาก: ต่างฝ่าย ต่างเชื่อ ตามความรู้สึกของตนๆ และได้ผลตรงตามสถานภาพแห่งจิตของตนๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
มรดกที่ ๑๓๖. หลักตัดสินว่า ผิด - ถูก ชั่ว - ดีในพุทธศาสนา ไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนของพวกปรัชญาชนิด Philosophy หรือ พวกตรรกวิทยา Logics คือ ถ้ามีผลไม่เป็นที่เสียหายแก่ใครและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ก็ถือว่า ถูก หรือ ดี. ถ้าตรงกันข้าม ก็ถือว่าผิด หรือ ชั่ว, ไม่ต้องอ้างเหตุผลอย่างอื่นให้ลำบาก.
มรดกที่ ๑๓๗. อย่าทำอะไรด้วยความหวัง หรือด้วยความยึดมั่นถือมั่น แต่ทำด้วยสติปัญญา หรือสมาทานด้วยสติปัญญา มิใช่ด้วยอุปาทาน อันมีความหมายแห่งการทำเพื่อตัวกู. การทำด้วยสติปัญญานั้น เป็นการทำเพื่อธรรม อย่างที่เรียกว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่, มิใช่ทำเพื่อตน แต่ทำเพื่อคนทั้งโลก หรือทุกโลก.
มรดกที่ ๑๓๘. ลัทธิที่สอนว่ามีตัวตน ย่อมนำไปสู่ความเห็นแก่ตนระดับใดระดับหนึ่งเสมอไป จึงดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่ได้ เพราะเป็นกิเลส หรือมีกิเลสอยู่ในความเห็นแก่ตนนั่นเอง ต้องเห็นแก่ธรรม คือหน้าที่ที่ถูกต้อง สำหรับการดับทุกข์, โดยหมดตน จึงจะหมดทุกข์.
มรดกที่ ๑๓๙. ความไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนของตน ยังมีแต่สิ่งที่กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้น ไม่เกี่ยวกับลัทธิอะไรๆ ที่ถือว่าตายแล้วสูญ หรือว่าไม่มีอะไรเสียเลย มันต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดิน, ขอให้พยายามเข้าใจอย่างถูกต้องเถิด จะเข้าถึงหัวใจพุทธศาสนาที่ว่าทุกอย่างมิใช่ตนนั้น อย่างถูกต้อง.
มรดกที่ ๑๔๐. ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่กลับทำให้เงินเหลือ ความสุขที่หลอกลวง ยิ่งต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้ ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการทำงานด้วยความพอใจจนเกิดความสุข เมื่อกำลังทำงาน จึงไม่ต้องการความสุขชนิดไหนอีก, เงินที่เป็นผลของงานจึงยังเหลืออยู่ ส่วนความสุขที่หลอกลวงนั้น คนทำความพอใจให้แก่กิเลส ซึ่งไม่รู้จักอิ่ม จักพอ เงินจึงไม่มีเหลือ.
มรดกที่ ๑๔๑. ขอให้ตั้งต้นการศึกษาธรรมะ ด้วยการรู้จักนิวรณ์ และภาวะที่ไม่มีนิวรณ์ อันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยกันทุกวัน และทุกคน. นี้จะเป็นการง่ายเข้า ในการที่จะรู้จักกิเลสอย่างชัดเจน และปรารถนาชีวิตที่ไม่มีกิเลส หรือคุณค่าของพระนิพพานได้ง่ายเข้า.
มรดกที่ ๑๔๒. “ชีวิตใหม่” สำหรับผู้ถือศาสนาอะไรก็ได้ คือการทำหน้าที่ให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตนๆ ทุกขั้นตอน แห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
มรดกที่ ๑๔๓. “อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่เกี่ยวกับความตาย หากหมายถึงความดับเย็น ถึงระดับเย็นสนิทของกิเลสและเบญจขันธ์ มีชีวิตอยู่เสวยรสแห่งความเย็นนั้นจนกว่าจะสิ้นชีวิต เพราะหมดปัจจัย ส่วนชีวิตหรือรูปนาม, ถือเป็นหลักได้ว่า “นิพพานในพุทธศาสนา ในทุกความหมาย ไม่เกี่ยวกับความตาย”.
มรดกที่ ๑๔๔. นิพพานเป็นของให้เปล่า โดยไม่ต้องเสียสตางค์ นั้นเป็นเพียงการเสียสละความยึดถือว่าตัวตนออกไปเสีย, เป็นความสงบเย็นสูงสุดแห่งชีวิต ที่มีความเต็มสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่ก็ยังไม่เป็นที่สนใจในหมู่พุทธบริษัทเอง ต้องการแต่ชนิดในอนาคตกาลนานไกล และต่อตายแล้ว โดยยอม เสียสตางค์มากๆ เพื่อเตรียมสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่นิพพาน.
มรดกที่ ๑๔๕. ขอยืนยันว่า นิพพานก็มิใช่ตัวตนของใคร หรือแม้แต่ของนิพพานเอง แล้วจะมาเป็นสมบัติของใครได้ เพียงแต่ทุกคนเปิดใจให้ถูกต้อง เพื่อรับรัศมีเย็น อันเกิดมาจากความไม่มีตัวตนของนิพพานจนตลอดชีวิตก็พอแล้ว คือทำตนไม่ให้เป็นของใคร หรือแม้แต่ของตนเอง.
มรดกที่ ๑๔๖. ดับทุกข์ที่ทุกข์ ดับไฟที่ไฟ อย่าเอาไปไว้คนละแห่ง คนละชาติ คือทุกข์อยู่ในชาตินี้ แล้วจะดับทุกข์ หรือนิพพาน ต่อชาติอื่นอีกหลายร้อย หลายพันชาติ จะดับไม่ได้ และมีแต่การละเมอ เพ้อฝัน จะต้องดับที่ตัวมัน และให้ทันแก่เวลา เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น ก็มีสติ สัมปชัญญะ ทันควัน จัดการกับผัสสะนั้นทันที จนทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้น หรือดับไป, เดี๋ยวนี้ มักจะเอาทุกข์กับดับทุกข์ไว้คนละชาติ.
มรดกที่ ๑๔๗. ทั้งชั่วทั้งดี ล้วนแต่อัปรีย์ คือไม่น่ารัก ล้วนแต่ทำให้วิ่งแจ้นไปในความวนเวียน ด้วยอำนาจการผลักดันของความชั่วและความดีนั้น. มาแสวงหา และอยู่กับความสงบ ที่ไม่ชั่วไม่ดีกันดีกว่า. ไม่ต้องวิ่งให้วุ่นวาย ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ แล้วอยู่ด้วยความสงบเย็น.
มรดกที่ ๑๔๘. ปัญญาต้องมาก่อนทุกสิ่งที่จะปฏิบัติ นี้คือหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เหมือนอริยมรรคมีองค์แปดที่มีสัมมาทิฎฐิเป็นตัวนำ มิฉะนั้น การปฏิบัติจะเข้ารกเข้าพง พลาดวัตถุประสงค์ไปเสียหมดสิ้น นับตั้งแต่สรณาคมน์และศีล ดังที่กำลังมีอยู่ในที่ทั่วไป.
มรดกที่ ๑๔๙. สวดปัจจเวกขณ์กันเพียงครึ่งท่อนของความจริงทั้งหมด ว่าเรามี ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่อาจพ้น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปได้; แต่พระพุทธองค์ ตรัสว่า “ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ทั้งหลายจะพ้นจาก ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย” และตรัสระบุการปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์แปด ว่าเป็นการมีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร. เรามีแต่ สวดบทที่หลอนตัวเองให้กลัวการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ, นี้เป็นความเหลวไหลของสาวกเอง ในการนับถือพุทธศาสนา.
มรดกที่ ๑๕๐. จิตว่างแท้ทางธรรมะ ต่างจากจิตว่างอันธพาล ซึ่งไม่รู้จักจิตว่างที่แท้จริง แล้วกล่าวหาว่าจิตว่างไม่ทำอะไร ไม่รับผิดชอบอะไร ทั้งที่จิตว่างแท้จริงนั้น ทำหน้าที่ทุกอย่างได้อย่างเฉลียวฉลาด ถูกต้อง และไม่เห็นแก่ตัว จงรู้จักจิตว่างกันเสียใหม่เถิด
มรดกที่ ๑๕๑. ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า นิพพานหาพบได้ที่วัฏฏสงสาร เพราะความดับแห่งวัฏฏสงสาร ก็ต้องมีที่วัฏฏสงสารนั่นเอง เหมือนการดับไฟ ก็ต้องมีที่ไฟ นั่นแหละ; นิพพานคือการดับแห่งวัฏฏสงสาร จึงหาพบได้ที่วัฏฏสงสาร ฉันใดก็ฉันนั้น. นี้เป็นอภิธรรมที่ยิ่งกว่าอภิธรรม!
มรดกที่ ๑๕๒. การพูดว่าทุกข์เพราะความยึดมั่นนั้นถูกกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า กว่าที่จะพูดว่าทุกข์เพราะตัณหา, เพราะยึดมั่นสิ่งใด ก็หนักอกหนักใจเพราะสิ่งนั้น และตามกฏปฏิจจสมุปบาท ก็กล่าวว่าตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัย ให้เกิด ภพ-ชาติ-ทุกข์; นั่นคือ ตัณหาต้องปรุงเป็นอุปาทานเสียก่อน คือยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเกิดความหนักและเป็นทุกข์ได้ในบทว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก ดังนี้.
มรดกที่ ๑๕๓. ทฤษฎีและคำพูดที่เกี่ยวกับ ตัวกู-ของกู นั้น มีทั้งภาษาคนและภาษาธรรม: ภาษาคนสำหรับเด็กๆ และคนโง่ พูดตามที่พูดกันอยู่ด้วยความรู้สึก ยึดมั่นในตัวตน ส่วนภาษาธรรมนั้น สำหรับพระอริยเจ้าพูดด้วยจิตที่ปราศจากความยึดถือ จึงฟังยากสำหรับปุถุชน.
มรดกที่ ๑๕๔. โลกรอดได้ แม้เพียงด้วยมนุษย์เป็นผู้กตัญญูกตเวที คือรู้ว่ามนุษย์แต่ละคนต่างมีบุญคุณต่อกันแล้ว ก็เบียดเบียนกันไม่ได้, และรู้ว่าโลกมีบุญคุณแก่มนุษย์ โดยให้ปัจจัยแก่ชีวิต จึงทำลายโลกไม่ได้ เพียงเท่านี้ โลกก็รอดแล้ว.
มรดกที่ ๑๕๕. สวรรค์มีขึ้นในใจของผู้นั้นทันทีที่เขายกมือไหว้ตัวเองได้ ในการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องตามธรรม และพอใจตัวเองถึงขีดสุด นี่เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ สวรรค์อย่างอื่นทุกชนิด ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้.
มรดกที่ ๑๕๖. สิ่งที่ต้องรู้จักเป็นพิเศษ คือ ๓ ก. และ ๓ ส. ; ๓ ก. คือ กิน - กาม - เกียรติ ย่อมกัดเอาผู้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างโง่เขลา แล้วก่อให้เกิดกิเลส. กำจัดโทษของ ๓ ก. แล้วมี ๓ ส. คือ สะอาด - สว่าง - สงบ. ที่ต้องรู้จักเป็นพิเศษ ก็เพราะยากที่จะรู้จักตามที่มันเป็นจริง, มักจะรู้จักกันอยู่ตามที่มันแสดงตัวอย่างที่มันไม่เป็นจริง เพราะความเขลาของผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องนั่นเอง.
มรดกที่ ๑๕๗. คู่ชีวิตที่แท้จริง คือธรรมะที่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง อยู่กะเนื้อกะตัว ช่วยให้รอดชีวิต และปราศจากปัญหาทั้งปวง; มิใช่คู่กิน คู่นอน ซึ่งมีการกระทำ อันส่งเสริมกิเลส และสร้างปัญหาผูกพันขึ้นนานัปการ โดยมีการกระทบ ฮื่อแฮ่กันอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องระงับอีกนั่นเอง, ขอให้รู้จักสิ่งที่อาจจะเป็นคู่ชีวิตได้จริง อย่างที่ผีจะไม่หัวเราะเยาะ.
มรดกที่ ๑๕๘. หน้าที่และสิทธิของสตรี ที่แท้จริงและควรจะมีเพื่อความรอดของมนุษยโลกนั้น มิใช่ความมีสิทธิเสมอภาคและอย่างเดียวกันกับบุรุษ, หากแต่ยอมรับหน้าที่ในการอบรมลูกที่เกิดมา ให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์, โดยไม่ต้องแย่งหน้าที่ของพ่อบ้านมาทำอย่างที่ทำกันอยู่ ซึ่งจะทำให้โลกนี้ ปราศจากมารดา.
มรดกที่ ๑๕๙. ทำไมต้องไปหาหมอดูให้เสียเวลา; เพราะแม้หมอจะทายว่าโชคดี เราก็ยังต้องทำดีด้วยความไม่ประมาทอยู่ดี, แม้หมอทายว่าโชคร้าย เราก็ยังต้องทำดีด้วยความไม่ประมาทอย่างเต็มที่อย่างนั้นเอง พุทธบริษัทไม่ต้องไปดูหมอให้เสียทรัพย์ เสียเวลา เพราะเขารู้จักสิ่งที่มีอำนาจอยู่เหนือโชคโดยประการทั้งปวง คือ การประพฤติถูกต้องตามกฏอิทัปปัจจยตา ชนิดที่ทำให้อยู่เหนือโชค เหนือกรรมได้สิ้นเชิง.
มรดกที่ ๑๖๐. คนที่เติบโตขึ้นมา โดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบของศีลธรรม ได้รับการแวดล้อมแต่ด้วยระบบความก้าวหน้าแห่งยุคปรมาณูนั้น จะมีนิสัยทะนง ก้าวร้าว โอหังด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างไม่เห็นแก่ชาติของตัว แล้วจะเห็นแก่โลก ได้อย่างไร.
มรดกที่ ๑๖๑. ความเจริญที่เต็มไปด้วยแสง - สี - เสียงนั้นมีไว้สำหรับให้ผีหัวเราะเยาะคน ว่าดีแต่ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แล้วสร้างปัญหายุ่งยากทางเศรษฐกิจ และศีลธรรมให้แก่ตัวเอง จนเป็นโรคประสาทและมีอาชญากรรมกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว.
มรดกที่ ๑๖๒. กิจกรรมที่เป็นอบายมุข คือขุมสมบัติของพวกนายทุน ผู้เห็นแก่ประโยชน์ตน จนถึงกับทำนาบนหลังคนเขลา คนผีสิง ได้อย่างสนุกสนาน แต่เดือดร้อนกันค่อนบ้าน ค่อนเมือง ทั้งนี้เพราะเห็นแก่ตัวโดยไม่เห็นแก่ธรรม อย่างที่ไม่น่าจะมีในโลก.
มรดกที่ ๑๖๓. ผลลัพธ์ของปรัชญาชนิด Philosophy นั้นเป็นเพียงทรรศนะหนึ่งๆ เท่านั้น ยังมิใช่ความเห็นแจ้งแทงตลอด ตามความหมายของคำว่าปรัชญา ในภาษาของชาวอินเดีย แต่ชาวโลกแห่งยุคปัจจุบัน ได้ฝากจิตใจไว้กับปรัชญาชนิด Philosophy กันมากเกินไปจนถอนไม่ออก.
มรดกที่ ๑๖๔. ขอชักชวนในความกล้าหาญทางจริยธรรม แม้ในกรณีที่ต้องสละชีวิตเพื่อความคงอยู่ของจริยธรรมในโลก อันเป็นหนทางรอดทางเดียวของมนุษยชาติ. แต่การศึกษาของโลกสมัยนี้ ไม่ได้ให้คุณค่าทางจริยธรรมมากถึงขนาดนี้.
มรดกที่ ๑๖๕. กินแต่เนื้อก็เป็นยักษ์ กินแต่ผักก็เป็นค่าง ดังนั้นพุทธบริษัท จึงกินแต่อาหารที่บริสุทธิ์ ปราศจากความหมายมั่นด้วยอุปาทานว่าเป็นนั่นเป็นนี่, นอกจากเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ ควรแก่การบริโภคของบุคคลผู้ปรารถนาความเป็นอิสระจากกิเลส.
มรดกที่ ๑๖๖. ระบบธรรมชีวีของฆราวาสในทุกอิริยาบถ เป็นระบบที่ควรสนใจ นั่นคือความมีสติสัมปชัญญะ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกชนิด ทุกระดับ ในฐานะเป็นธรรมะที่ช่วยให้รอด ทั้งทางกายและทางจิต อยู่อย่างเป็นสุข ในขณะที่กำลังทำหน้าที่นั้นๆ ไม่ต้องซื้อหาความสุขอย่างอื่นให้เปลืองเงิน และ เป็นสิ่งหลอกลวง.
มรดกที่ ๑๖๗. สัตว์ไม่กลัวผี เลยไม่มีผี คนกลัวผี เลยมีผี นี่น่าหัวและน่าละอายสัตว์ไหม? มันเป็นความโง่ของพวกที่สร้างผีขึ้นมาเอง แล้วกลัวผีอยู่หรือเปล่า? จงได้พิจารณาดูให้ดีๆ เถิด จะได้หมดปัญหาเรื่องผีกันเสียที.
มรดกที่ ๑๖๘. ในโลกนี้ มีแต่การแลกวัฒนธรรมผีสิง (เช่น แบบระบำที่คุณย่า คุณยาย ดูแล้วเป็นลม เป็นต้น) ไม่มีผลเพื่อสันติภาพเลย แล้วยังส่งเสริมกิเลส ซึ่งเป็นรากฐานของวิกฤตกาลทุกๆ อย่าง ในโลกอีกด้วย. ระวังการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับชาติประเภทนี้กันให้ยิ่งกว่าระวังคอมมิวนิสต์ ซึ่งระวังกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้พวกคอมมิวนิสต์หัวเราะเยาะเปล่าๆ
มรดกที่ ๑๖๙. ขอเน้นความกล้าหาญทางจริยธรรมอีกครั้งหนึ่ง ว่าเป็นสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาของสังคมได้ คือกล้าหาญในการเว้นชั่ว - ทำดี - ช่วยให้มีการทำดี และปราบปรามการทำชั่ว, ซึ่งสรุปความได้ว่าเป็นการยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อความมีอยู่ แห่งธรรมะ และยอมตายด้วยการมีธรรมะ ซึ่งเป็นยอดสุดของความกล้าหาญ.
มรดกที่ ๑๗๐. รบกันพลาง แลกธรรมะกันพลาง นี้คือการกระทำที่เหมาะสมแก่โลกยุคปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยวิกฤตกาลแห่งสงคราม อย่ามัวแต่แลกวัฒนธรรม ที่ส่งเสริมกิเลส และความเห็นแก่ตัวกันอยู่เลย.
มรดกที่ ๑๗๑. ท้าวมาลีวราช ที่นั่งจับปูใส่กระด้งอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้น น่าจะได้แก่องค์การสหประชาชาติที่ระงับวิกฤตกาลแต่ละกรณี โดยไม่ใช้หลักธรรมะ ในแต่ละศาสนา เข้าไปเป็นเครื่องตัดต้นเหตุเสียเลย.
มรดกที่ ๑๗๒. แผ่นดินทอง ต้องสร้างด้วยแผ่นดินธรรม ของแผ่นดินไทย ที่พลเมืองไม่เป็นทาสของกิเลส จนอยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา ซึ่งทำให้บูชาอบายมุข เป็นต้น จึงจะสำเร็จ.
มรดกที่ ๑๗๓. การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ไม่อาจตกเป็นหน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นหน้าที่ขององค์การรวมประเทศ เช่น สหประชาชาติ เป็นต้น จะพึงกระทำ เพื่อสามารถใช้ หัวใจของทุกศาสนารวมกัน แล้วใช้แก้ปัญหาของโลกได้ ซึ่งจะไม่ต้องใช้เงิน เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ซึ่งกำลังใช้อยู่ในการกระทำบางอย่าง.
มรดกที่ ๑๗๔. พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า แต่มิใช่เป็นพระเจ้าอย่างบุคคล หรือเป็นจิต เป็นวิญญาณ ที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล; หากแต่เป็นกฏของธรรมชาติที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท ที่สามารถสร้างพระเจ้าอย่างบุคคลขึ้นในหัวใจของมนุษย์ ผู้ไม่อาจจะรู้จักพระเจ้าที่แท้จริง อย่าคิดว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า.
มรดกที่ ๑๗๕. ความหมายของคำว่าพระเจ้าในภาษาธรรม คือกฏหรืออำนาจ ที่บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกฏ ส่วนพระเจ้าในภาษาคน คือผู้ที่ถูกสมมติ เรียกกันว่าผู้สร้าง - ผู้ควบคุม - ผู้ทำลาย มีไว้สำหรับพวกที่ทำอย่างไรเสีย ก็ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าในภาษาธรรม
มรดกที่ ๑๗๖. พุทธศาสนา เป็นระบบวิทยาศาสตร์ และมีกฏธรรมชาติเป็นพระเจ้า อย่างมิใช่บุคคล เป็นกฏที่สามารถแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ปรมาณู ของทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล, และบังคับสิ่งนั้นๆ ให้เป็นไปตามกฏ.
มรดกที่ ๑๗๗. ในแง่ของจริยธรรม พระเจ้าก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่ช่วยให้มนุษย์รอดทั้งสองความหมาย (คือรอดชีวิต และ รอดจากความทุกข์) ซึ่งที่แท้ก็คือ ธรรมะที่ต้องประพฤติให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ นั่นเอง. เราจงบูชาพระเจ้ากันด้วยการทำหน้าที่ของตนๆ อย่าให้บกพร่อง แม้แต่ประการใด. ทุกคนก็จะมีพระเจ้าที่อาจจะช่วย หรือ อาจจะคุ้มครองตนได้อย่างแน่นอน
มรดกที่ ๑๗๘. GOD ก็คือ กฏ ในเมื่อเราออกเสียงคำนั้นให้สั้นเข้า, นี้เป็นการบังเอิญทางภาษาที่น่าขบขัน แต่ก็ทำให้มี GOD กันได้ทุกพวกทั้งที่เป็น และมิได้เป็นนักวิทยาศาสตร์; ทำให้มีทางที่จะหันหน้ามามองดูกันได้ ในระหว่างมนุษย์ของทุกๆ ศาสนา
มรดกที่ ๑๗๙. สิ่งที่เรียกว่า Religion หรือ ศาสนา ที่แท้จริงนั้น คือระบบปฏิบัติที่ทำให้เกิดการผูกพัน และถึงกันเข้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด หรือ บรมธรรม ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกสิ่งนั้นว่านิพพาน อันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตที่แท้จริง ยิ่งกว่าการเข้าอยู่กับพระเป็นเจ้าที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล
มรดกที่ ๑๘๐. หัวใจของพุทธศาสนา ที่มีอยู่ที่หน้าแรกๆ ของ คัมภีร์ไบเบิ้ล คือ คนเริ่มมีความทุกข์ หรือ มีบาป ตั้งแต่เริ่มรู้จัก ดี-ชั่ว สำหรับจะ ยึดถือด้วยอุปาทาน เพราะได้กินผลไม้ (คือ การเจริญขึ้นมาถึงขั้น) ขนาดที่รู้จัก ดี-ชั่ว สูงกว่า สัตว์ก่อนหน้านั้น
มรดกที่ ๑๘๑. สัญญลักษณ์กางเขนของศาสนาคริสต์ อาจมองเป็นสัญญลักษณ์แห่งหัวใจของพุทธศาสนา คือการตัดเสียซึ่งตัวตน หรือ The “I”; ถ้ามองเช่นนี้ ก็จะทำงานร่วมกันได้ ในการช่วยโลกให้พ้นจากความเห็นแก่ตน ซึ่งเป็นรากฐานแห่งวิกฤตกาลอันถาวรของโลก.
มรดกที่ ๑๘๒. คำพูดของพระเยซูที่พุทธบริษัทยินดีรับฟัง คือข้อความที่ว่า เขี่ยผงในตาตัวเองก่อน, - จูงอูฐลอดรูเข็ม ง่ายกว่าจูงมิจฉาทิฎฐิมาหาพระ, - ชีวิตมิได้รอดอยู่ด้วยข้าวปลาอาหาร แต่รอดอยู่ด้วยพระธรรมของพระเจ้า; และคำตรัสอย่างอื่นๆ อีกบางแห่ง.
มรดกที่ ๑๘๓. การศึกษาที่ปรียบด้วยสุนัขหางด้วนของทั้งโลก นั้นคือให้เรียนกันแต่วิชาหนังสือกับวิชาชีพ ไม่เรียนธรรมะ หรือศาสนาที่สอนให้รู้ว่าเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องได้อย่างไรกันเสียเลย. ขอให้รีบลืมตาและแก้ไขกันเสียก่อนแต่ที่โลกจะเกิดมิคสัญญี.
มรดกที่ ๑๘๔. เด็กทั้งหลายนั่นแหละ คือผู้สร้างโลกในอนาคต เราจงพากันสร้างโลก โดยผ่านทางการสร้างเด็กอย่างถูกต้องเสียแต่บัดนี้เถิด อย่าปล่อยเด็กให้เป็นไปตามบุญตามกรรมเลย จึงจะเป็นการกระทำที่มีความรับผิดชอบอย่างสูงสุดของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ แห่งยุคนี้ ซึ่งถือว่าเป็นยุคของสติปัญญา.
มรดกที่ ๑๘๕. ดี ๖ ดี: บุตรที่ดีของบิดามารดา - ศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ - เพื่อนที่ดีของเพื่อน - พลเมืองที่ดีของชาติ - สาวกที่ดีของศาสนา - มนุษย์ที่เต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ เหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาที่ถูกต้องแท้จริงของมนุษย์.
มรดกที่ ๑๘๖. ครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำทางวิญญาณ คือผู้สร้างโลกในอนาคตโดยผ่านทางเด็ก และเป็นผู้มีอาชีพอย่างปูชนียบุคคล. จงรู้จักครูกันในลักษณะนี้ และร่วมมือกับครูในการทำหน้าที่ของครูอย่างแท้จริง.
มรดกที่ ๑๘๗. ในที่บางแห่ง วันครูนั่นแหละ เป็นวันที่ครูกินเหล้ามากกว่าวันธรรมดา เมามายกันอย่างลืมตัว เพราะว่าวันอื่นไม่ได้มาชุมนุมกัน มากมายเหมือนวันนี้ ควรจะปรับปรุงวันครูให้เป็นวันครูอย่างแท้จริง คือรับความเคารพอันบริสุทธิ์ของมหาชน ด้วยความเป็นปูชนียบุคคลอย่างเพียงพอ.
มรดกที่ ๑๘๘. โลกเสียเวลาไปมากในการศึกษาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ ของโลกโดยตรง เช่น ศิลปะ - โบราณคดี - ประวัติศาสตร์ - ภูมิศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ และ อารยธรรมทางวัตถุ ฯลฯ ที่ไม่ค่อยจะ เกี่ยวข้องกับการดับทุกข์ ของมนุษย์ มักจะเตลิดเลยไปแต่ในเรื่องนั้นๆ น่าจะมีการค้นคว้า และศึกษากันเสียให้ถูกต้อง เกี่ยวข้องกับกรณีที่จำเป็นสำหรับการดับทุกข์ของมนุษย์.
มรดกที่ ๑๘๙. ธรรมิกสังคมนิยม เป็นหัวใจของพุทธธรรม หรือของศาสนาทุกศาสนา อย่างที่ไม่มีใครมอง ลัทธินี้มุ่งประโยชน์ร่วมกันทั้งของฝ่ายนายทุนและฝ่ายกรรมกร, และของชีวิตทุกชนิด กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน และแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ โดยถือเอาหลักแห่งการเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันเป็นหลักพื้นฐาน.
« « Prev : วิธีปฏิบัติที่รวบรัด
Next : เชื่อเพราะเห็น ทำให้หลงได้ง่าย » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ท่านพุทธทาสฝากไว้"