ความรู้อาจเรียนทันกันหมด

อ่าน: 6271

ประมาณปี 2526 ผมเป็นหัวหน้าเด็กอยู่ในบริษัทดาวรุ่งแห่งหนึ่ง เป็นกิจการที่ทำเรื่องที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ทัศนคติของสังคมในขณะนั้น ไม่เชื่อถือฝีมือคนไทย งานที่ทำจึงมีแต่บริษัทฝรั่งบางแห่งที่ให้โอกาส ต่อมาเมื่อบริษัทไม่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ ก็ถูกซื้อไปโดยกลุ่มการค้า ในวิสาหกิจขนาดยักษ์ของไทย ซึ่งในปัจจุบันไม่มีกลุ่มนี้ีแล้ว

เมื่อถูก take over บริษัทยักษ์ก็ส่งคนเข้ามาจัดการ โดยส่งคนเก่งๆเข้ามาดูหลายคน รวมทั้งเด็กปั้นผู้หนึ่ง ซึ่งจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองด้วย — เผอิญเรียนรุ่นเดียวกันแต่คนละมหาวิทยาลัย จึงเป็นคนร่วมสมัย อายุเท่ากัน เรียนเร็วเหมือนกัน เลยคุยกันได้ถูกคอ และเป็นโอกาสดีอันหนึ่งในชีวิตของผม

เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างบริษัทยักษ์รายนี้ มีการ identify คนที่มีศักยภาพไว้เป็นรุ่นๆ ให้โอกาส ให้ประสบการณ์ อบรม-สั่งสอน-ถ่ายทอดกันมาอย่างเป็นระบบ และทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง

เพื่อนได้รับคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ระดับสูงให้พิจารณาดูกระบวนการเรียนรู้ตามระบบ เช่นเรียนวิศวะ อ่านหนังสือวิชาพื้นฐานประมาณ 50 เล่ม(ในสี่ปี) เรียนโทอาจจะประมาณ 20-30 เล่มในวงที่แคบลง พอปริญญาเอกอาจจะเป็น 20-30 เล่มในเรื่องเฉพาะที่สนใจ — ถึงตัวเลขคลาดเคลื่อนไปก็ไม่แปลก แนวคิดยังเป็นเช่นเดิม

เมื่อเริ่มทำงาน หากอ่านหนังสือ-ด้วยอัตราที่ช้ามาก-เดือนละ 1 เล่ม แต่อ่านจนเข้าใจ ไม่ฉาบฉวย-ไม่อ่านผ่านๆไป รู้จักเลือกหนังสือ เพิ่มพูนความรู้ให้กว้างขวางในหลายๆด้าน หัดคุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลายๆแขนงจนแตกฉาน กว่าจะเกษียณอายุ ก็อาจจะอ่านไปแล้วพอๆกับจำนวนหนังสือสำหรับการเรียน ตรี-โท-เอก กว่าห้ารอบ; จริงอยู่ที่ว่าคงไม่เหมือนกับการเรียนจริงๆ ห้ารอบ แต่ท่านผู้อ่านคงได้ไอเดียว่าผมพยายามจะชี้ประเด็นอะไร

เคยมีพนักงานมาถามว่าทำอย่างไรจึงจะ “เก่ง” เหมือนผม ซึ่งผมให้ความเห็นไปหลายอย่างคือ

  1. อย่าคิดจะเป็นเหมือน หรือเป็นแทน อย่างกับเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์เลย เพราะคนเราไม่เหมือนกัน คนที่สมบูรณ์แบบนั้น ตายไปหมดแล้ว น่าจะศึกษาแนวคิดมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวมากกว่า อะไรดีก็ปรับใช้ อะไรไม่ดีก็ทิ้งไป แบบนี้แต่ละคน “เก่ง” กว่าผมได้อีก
  2. ความสามารถในการเรียนรู้  และความกล้าที่จะศึกษาสิ่งที่ไม่รู้นั้น ไม่เหมือนกับคำว่า “เก่ง”; ถ้ารู้แต่ไม่ทำ ก็ไม่เรียกว่าเก่ง หรือถ้าทำไม่ได้ ก็น่าจะมีเหตุมาจากการไม่รู้(จริง)มากกว่า
  3. คนรู้นั้น สามารถทำเองได้ แต่จะทำหรือไม่ทำนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง; ส่วนคนไม่รู้นั้น มักจะสั่งแทนการแนะนำ เพราะไม่มีอะไรจะไปแนะนำ
  4. ถ้าผมยังเรียนอยู่ตลอดเวลา แต่เขาหยุดเรียนตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมาแล้ว อย่างนี้จะทันกันได้อย่างไร ยิ่งผมล่วงหน้ามาหลายสิบปีแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
  5. มีความรู้เป็นจำนวนมาก ที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเลย ในเวลาที่เราศึกษานั้น ไม่มีทางรู้แน่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ แต่สามารถวางแผน/จัดลำดับความสำคัญของการเรียนรู้ตามแผนของชีวิตได้
  6. ความรู้ของชีวิตเป็นสหวิทยาการ การรู้ลึกในด้านใดด้านเดียว อาจช่วยให้เติบโตได้เร็วในหน้าที่การงานอยู่ช่วงหนึ่ง แต่จะไปตันอย่างแน่นอน
  7. ไม่มีใครจะรู้อะไรทั้งหมด อย่าไปคิดว่าเรารู้ดีกว่าใคร หัดฟัง หัดไว้ใจ และหัดเรียนรู้จากผู้อื่นอย่างจริงจังบ้าง
  8. การเรียนในห้องเรียนตามรูปแบบ เป็นการเรียนที่มีประสิทธิภาพน้อย เนื่องจากสิ่งที่ได้รับการบอกเล่ามา ไม่ได้ปรับให้เข้ากับตัวเรา ทั้งด้านความต้องการ ความเร็ว และพื้นฐาน — การอบรมแบบบรรยาย จึงมีประสิทธิภาพสู้การคุยกันไม่ได้
  9. ผมเห็นว่าความรู้เกี่ยวกับคน และจิตใจคน เป็นสุดยอดของความรู้ ยอมรับคนแบบที่เขาเป็น จะช่วยให้หงุดหงิดน้อยลง แต่ก็ต้องประเมินกันบ่อยๆ เพราะคนเปลี่ยนแปลงได้ อย่าใช้อคติมาตัดสิน (อคติคือการตัดสินใจก่อนที่จะประเมิน)
ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ ฤๅไหว
บทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕

« « Prev : ทักษะชีวิต: อยู่ให้รอด

Next : ทิ้งเมือง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 October 2008 เวลา 11:12

    เห็นด้วย…..

  • #2 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 October 2008 เวลา 16:35

    ความรู้เกี่ยวกับคน และจิตใจคน เป็นสุดยอดของความรู้

    เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าไม่มีตำราเล่มไหนที่ซับซ้อนและชวนเรียนเท่าตำราคนและจิตใจคน 

  • #3 jchrn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 October 2008 เวลา 23:12

    เมื่อเริ่มทำงาน หากอ่านหนังสือ-ด้วยอัตราที่ช้ามาก-เดือนละ 1 เล่ม แต่อ่านจนเข้าใจ ไม่ฉาบฉวย-ไม่อ่านผ่านๆไป รู้จักเลือกหนังสือ เพิ่มพูนความรู้ให้กว้างขวางในหลายๆด้าน หัดคุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลายๆแขนงจนแตกฉาน กว่าจะเกษียณอายุ ก็อาจจะอ่านไปแล้วพอๆกับจำนวนหนังสือสำหรับการเรียน ตรี-โท-เอก กว่าห้ารอบ; จริงอยู่ที่ว่าคงไม่เหมือนกับการเรียนจริงๆ ห้ารอบ แต่ท่านผู้อ่านคงได้ไอเดียว่าผมพยายามจะชี้ประเด็นอะไร

    ตรงนี้น่าสนใจมากค่ะ

  • #4 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 October 2008 เวลา 7:48

    กำลังจะไปเริ่มงานของเช้าวันนี้  มาเจอเรื่องราวดีๆ อีกแล้ว  ขอบคุณนะคะ

  • #5 nontster ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 October 2008 เวลา 21:17

    ศึกษาเพราะต้องเรียน ต้องสอบ กับ ศึกษาเพราะอยากรู้ มันต่างกันมาก แต่อยากรู้ไปหมด แล้วไม่เลือกก็ทำให้ชีวิตลำบากเหมือนกันครับ

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 October 2008 เวลา 21:30
    #5 ปัญหาอยู่ตรงคำว่า “อยาก” มั๊งครับ

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.7022910118103 sec
Sidebar: 0.4037458896637 sec