พระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน
อ่าน: 4064ประวัติพระธาตุแห่งแห้ง จังหวัดน่าน ตามที่ปรากฏในจารึกหน้าวัดครับ
บ้านเมืองแต่ละแห่ง มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ถ้ามีโอกาสผ่านไป ก็ควรศึกษาเพื่อให้เข้าใจความเป็นมาเป็นไป เห็นทั้งความเจริญรุ่งเรือง และความเสื่อม ตามกฏของไตรลักษณ์
ด้วยความเคารพต่อความแตกต่าง และความเฉพาะตัวของแต่ละชุมชน ยังมีข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งคือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากไม่รวมกัน ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็จะไม่มีใครที่มีกำลังพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีสาธารณูปโภค/อาหาร/การศึกษา/ความหลากหลาย/ภาษี/ทรัพยากร/สินค้าและบริการ ที่เพียงพอสำหรับทำนุบำรุงประชาชนในท้องถิ่นให้มีชีวิตที่ดี
เมื่อพิจารณาในแนวนี้ แนวคิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ดูจะเป็นไปเพื่ออำนาจในการปกครอง ซึ่งซ่อนอยู่หลังเหตุผลอื่นๆ ที่ยกมาอ้าง แม้ว่ารวมกันอาจตายหมู่ แต่แยกกันอยู่นั้นตายแหง — เช่นเดียวกันกับทุนนิยมสุดขั้วที่มุ่งกอบโกย เบียดเบียนผู้อื่น โดยหารู้ไม่ว่าในที่สุดแล้ว จะกลายเป็นการเบียดเบียนตัวเองและลูกหลานวงศ์ตระกูล กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว
มัชฌิมาปฏิปทา — ทางสายกลาง เป็นทางที่ดีเสมอไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
ประวัติพระธาตุแช่แห้ง
พระมหาธาตุแห่งนี้ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า สร้างสมัยใด ในตำนานกล่าวว่าเมื่อครั้งพุทธกาล ภูเพียงแช่แห้งแห่งนี้ได้ประดิษฐานพระเกศาธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ด้านซ้าย และเศษของพระสรีรังคารธาตุมาประดิษฐานไว้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์และเทวดาได้สักการะตราบ ๕๐๐๐ พระวัสสา
เท่าที่สืบหา หลักฐานได้พระมหาธาตุแห่งนี้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.๑๘๙๖ ตรงกับสมัยของพระยาการเมือง แห่งราชวงศ์ภูคา ครองเมืองน่าน (พ.ศ.๑๘๙๖-๑๙๐๖) พระองค์ได้เสด็จไปสร้างวัดหลวงอภัย ที่อาณาจักรสุโขทัย เมื่อภารกิจทั้งมวลเสร็จแล้ว พระมหาธรรมราชาลิไทได้ถวายพระมหาชินธาตุเจ้า ๗ พระองค์ พระวรรณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด สุกใสดังแก้ว ๒ พระองค์ มีพระวรรณะดั่งมุก ๓ พระองค์ มีพระวรรณะดั่งทองคำ เท่าเมล็ดงาดำ ๒ พระองค์ พร้อมด้วยพระพิมพ์เงินพิมพ์ทองอันงามประณีต อย่างละ ๒๐ องค์ ให้แก้พระยาการเมือง เมื่อพระองค์เสด็จกลับถึงเมืองน่าน ได้ทรงปรึกษากับพระมหาเถระธรรมบาล และเห็นสมควรประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ที่เนินภูเพียงแช่แห้ง ระหว่างแม่น้ำเดี๋ยน (แม่น้ำเกี๋ยนปัจจุบัน) และแม่น้ำลิงค์(น้ำลิ่งแม่น้ำน่านปัจจุบัน) พระยาการเมืองโปรดให้ช่างหล่อปูนเต้าปูนสำริดขนาดใหญ่แล้วทรงนำพระบรทสารีริกธาตุพร้อมด้วยพระพิมพ์เงินพิมพ์ทองลงบรรจุไว้ปิดฝาสนิทพอกหุ้มด้วยสะดายจีน(ปูนผสมแบบโบราณ)เป็นก้อนกลมเกลี้ยงเหมือนศิลา เสร็จแล้วโปรดให้ขุดหลุมลึก ๑ วาแล้วอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุ และพระพิมพ์เงินพิมพ์ทองลงประดิษฐานไว้และก่ออิฐทับครอบเป็นเจดีย์สูง ๑ วา ตลอดรัชกาลของพระองค์ ทรงให้ความสำคัญแก่วัดนี้มากถึงกับย้ายจากวรนครเมืองพลัวมาสร้างเมืองใหม่ โดยมีวัดพระธาตุแช่แห้งเป็นวัดหลวงประจำราชสำนัก หลักฐานการย้ายเมืองครั้งนั้นก็คือแนงกำแพงเมืองและคูโบราณที่สร้างไว้ถึง ๒ ชั้น เมื่อ พ.ศ.๑๙๐๒ อายุกว่า ๖๐๐ ปี ยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน เมื่อสิ้นราชวงศ์ภูคาแล้ว เมืองน่านจะถูกปกครองโดยเชียงใหม่ (พ.ศ.๑๙๙๓-พ.ศ.๒๑๐๑) หรือโดยพม่า (พ.ศ.๒๑๐๑-พ.ศ.๒๓๓๑) และที่สุดขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบันก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่าพระธาตุแช่แห้งนี้ เจ้าผู้ครองนครน่านทุกพระองค์ที่ผ่านมาได้เอาพระทัยใส่ดูแลปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมสืบต่อกันมาจนได้รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ลงตัวและมีเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ดังปรากฏให้เห็นตราบทุกวันนี้
พระมหาธาตุแช่แห้ง เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาติ มีความสำคัญทั้งในด้านแบบแผนทางศิลปกรรม เป็นหลักฐานทางโบราณคดีและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์จังหวัดน่าน มีความยาวของฐานล่าง ซึ่งเป็นฐานเขียงรูปแท่งสี่เหลี่ยม ด้านละ ๑๙.๒๕ เมตร และมีความสูงจากฐานล่างระดับพื้นดินจนถึงปลายสุดของดอกไม้ทิพย์ มีความสูง ๔๓.๔๙ เมตร นับเป็นพระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแผ่นดินล้านนา เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือชองชาวจังหวัดน่านและพุทธศาสนิกชนทั่วไปจะมีงานนมัสการพระมหาธาตุทุกปีในวันเพ็ญเดือน ๖ เหนือ (ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔) ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๖๑ ตอนที่ ๖๕ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ประกาศขอบเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๙๗ ตอนที่ ๑๕๙ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
« « Prev : เมืองน่าน
Next : รู้ทันจิตแบบเข้าใจง่าย » »
3 ความคิดเห็น
เพิ่มเติมจากการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ฯน่านค่ะ
น่านมีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำด้วยหินจัดแสดงให้เห็น เดินไล่ดูเห็นว่าพัฒนาการเป็นชุมชนเมืองอย่างแท้จริงน่าจะอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ที่เริ่มสร้างบ้านแปงเมืองและคงอยู่ในสมัยเดียวกับเชียงราย ที่เห็นในพิพิธภัณฑ์มีอยู่ประมาณ 5 ชนเผ่าหลักๆ คือตองเหลือง ไทลื้อ แม้ว เย้า ถิ่น(มั้ง)
ด้วยเป็นเมืองต้นน้ำน่านที่เป็นแม่น้ำสำคัญ 1 ใน4 ของสาขาลำน้ำเจ้าพระยา จึงเป็นจุดสำคัญของการค้าและการเมือง แม้จะมีขุนเขาโอบล้อม แต่ก็เป็นที่ปรารถนาของหลายกลุ่มฝ่ายเพราะเชื่อมโยงไปสู่ลุ่มน้ำโขงของดินแดนล้านช้างได้ (เฮฯ 10 ที่น่านของพี่ภูคาน่าจะรวมหงสาของพี่เปลี่ยนด้วยเนาะคะ ไปซัก 5 วัน ลาพักผ่อน1 อาทิตย์เลยน่าจะดี อิอิอิ)
อารยธรรมทางศิลปกรรมของเมืองน่านแสดงชัดเจนถึงการติดต่อกับสุโขทัย หลักศิลาจารึกที่พบมีลักษณะตัวอักษรคล้ายสุโขทัยมากเลยค่ะ เครื่องถ้วยเคลือบก็น่าสนใจ พระก็มีลักษณะคล้ายสุโขทัย..และศิลปกรรมเริ่มเปลี่ยนรูปแบบมาทางล้านนาเมื่อผนวกดินแดนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เห็นภาพพิธีศพของเจ้าครองนครน่านก็เห็นความสำคัญของเมืองเล็กๆเมืองนี้ที่ยังมีความสำคัญเรื่อยมาแม้ในสมัยรัตนโกสินทร์
งาช้างดำ มีตำนานกล่าวถึงว่ามาจากเมืองเชียงตุง(บรรณาการ?) บนงามีอักษรธรรมล้านนา มีน้ำหนัก15,000 (หน่วยไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร) หรือประมาณ 18 กก.ค่ะ ชอบครุฑที่แบกงาช้างดำ เพราะหน้าเค้ายิ้มดีจัง อิอิอิ ไม่เหมือนครุฑตัวอื่นๆ
การสอนประวัติศาสตร์กลับสร้างภาพเจ้าเมือง พ่อขุน กษัตริย์ มหากษัตริย์ กลายเป็นลำดับชนชั้นแสดงอำนาจ แสดงอาณาเขต ทั้งที่การคมนาคม การติดต่อสื่อสารไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง แต่การปกครองเมืองก็ยังสนใจอยู่พื้นที่จำกัดมาก เท่าที่สายตาจะมองเห็นเท่านั้น
เมืองเล็กที่อยู่ไกลออกไป ส่งทรัพยากรเข้ามาเมืองที่ใหญ่กว่าในรูปของส่วย/อากร/บรรณาการ/การแลกเปลี่ยนค้าขาย แลกกับการปกป้องทางด้านความปลอดภัยจากสงคราม/โจร/ผู้ร้าย ทำให้อาณาจักรดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพากัน และเป็นการพึ่งพาบนการยอมรับในความแตกต่าง (บางทีเรียกว่าการเมือง)
น่าเสียดายที่การสอนประวัติศาสตร์ แทนที่จะให้ความรู้ในแนวมานุษยวิทยา กลับไปเน้นปี/ลำดับเหตุการณ์/ลำดับราชวงศ์ และอำนาจ เสียโอกาสที่จะศึกษาพลวัตของสังคม ตลอดจนการพึ่งพากัน
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ศรีสัตนาคนหุตซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม แตกเป็นสองก๊กคือฝ่ายหลวงพระบาง และฝ่ายเวียงจันทร์ [ในคำนำ (๓) ของประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๒] แสดงว่าศรีสัตนาคนหุต ยังมีอิสระในทางการปกครองจากกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งเวียงจันทร์ และหลวงพระบางต่างกล่าวอ้าวว่าตนคือศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง ร่มขาวทั้งคู่ แต่แผนที่สยาม รวมอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตเอาไว้ ไม่รู้จะเอาไปเบิ้ลกับใคร
เวลาไทยบอกไทยลาวบ้านพี่เมืองน้อง ลาวจะบอกทำไมไทยต้องเป็นพี่(วะ)